บทที่ 61: สุนัขของจอมเวท
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเชาโยวเต๋าเปลี่ยนจากเดือดดาลและบ้าคลั่ง เป็นสีหน้าราบเรียบ
เขากำลังรอ…
กำลังตั้งตารอการมาถึงของฉินเย่อย่างใจจดใจจ่อ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน
หลังจากผ่านไป 40 นาที เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “May I come in?”
“แปลกใจจริง ๆ ที่เจ้าจำได้ด้วยว่าข้าสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้” เชาโยวเต๋าหัวเราะ “เชิญ”
บานประตูถูกเปิดออก แต่ผู้ที่เดินเข้ามากลับไม่ดูเหมือนมนุษย์เลยสักนิด
มันยังคงเป็นร่างกายของฉินเย่ อย่างไรก็ตาม ม่านตาของเขาในเวลานี้กลับเป็นสีดำสนิท ในขณะที่รูม่านตาเปลี่ยนเป็นสีขาว เส้นผมสีขาวราวหิมะปลิวไปมาโดยปราศจาสายลมพัดพา และผิวของเขาก็ขาวซีดอย่างน่าเหลือเชื่อ
คุณภาพของเครื่องแบบดูดีกว่าที่มันเคยเป็นมาแต่ก่อนมาก ราวกับว่ามันถูกทำมาจากผ้าไหมนุ่ม เสื้อคลุมสีดำถูกปักด้วยดิ้นสีขาวดำ และสวมหมวกกลมจีนฉลุสีดำ ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังสวมแผ่นป้ายรอบเอวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัวอักษรถูกสลักไว้บนแผ่นป้ายด้วยตัวอักษรสีแดงเลือด ‘นักล่าวิญญาณ’
ฉินเย่เดินเข้าไปด้านในอย่างช้า ๆ อย่างที่คาด ที่นี่ไม่มีดวงวิญญาณหยินหลงเหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว กองกำลังดวงวิญญาณทั้งหมดถูกจัดการโดยกองกำลังทหารในแดนมนุษย์ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถก้าวถอยหลังอีกต่อไป
เมื่อมีนักล่าวิญญาณที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น มันจึงไม่มีดวงวิญญาณตนไหนที่ยอมจำนนต่อเชาโยวเต๋าอีกต่อไป
“ตึก ตึก ตึก….” ฉินเย่สะพายฝักกระบี่ที่มีความยาวประมาณ 1.5 เมตรไว้บนหลัง เขากวาดตามองความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นภายในหอสมาคมอวี๋หลานและอุทานออกมา
“เสียดายชะมัด! ท่านรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองเพิ่งทำลายของตกแต่งกับข้าวของเครื่องใช้ที่มีมูลค่ากว่าหลายล้านเหรียญไป…แต่ข้าก็ต้องขอปรบมือให้กับความจริงที่ว่า ท่านไม่ได้กระอักเลือดออกมาเสียก่อนแม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความโกรธแค้นก็ตาม แสดงให้เห็นชัดเลยว่าท่านได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยมจริง ๆ”
ริมฝีปากของเชาโยวเต๋าแย้มเป็นรอยยิ้มบาง ๆ แต่เขายังคงไม่เอ่ยอะไร
ทั้งสองยืนอยู่คนละฟากของหลุม ฝ่ายหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ เชาโยวเต๋าวางเอื้อมมือไปจับที่ด้ามดาบ ดาบของเขาถูกชักออกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้และถูกเขาแทงมันลงไปที่พื้น เครื่องแบบของเขากระพืออย่างรุนแรงขณะที่พลังหยินมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากแขนเสื้อทั้งสองข้างและทวารทั้งเจ็ด
ฉินเย่เองก็เช่นกัน ทว่าทางฝั่งของเด็กหนุ่มนั้นดูน่ากลัวกว่ามาก ม่านตาสีดำสนิทแต่กลับมีรูม่านตาสีขาวนั้นคล้ายกับต้องการประกาศให้ทราบ ว่าเขานั้นแตกต่างจากเชาโยวเต๋าโดยสิ้นเชิง
“เจ้ารู้หรือไม่?” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นในที่สุด น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นนิ่งสงบอย่างน่าเหลือเชื่อ “ข้าคิดเรื่องนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว และข้าก็ได้คำตอบที่เป็นไปได้เพียงแค่สามข้อเท่านั้น”
“ข้อแรก ข้าไม่คิดว่าเศษตราจ้าวนรกที่เจ้าถือครองอยู่ จะสามารถปกปิดรัศมียมทูตบนร่างของเจ้าได้ ข้อที่สอง ข้าประเมินความไร้ยางอายของเจ้าต่ำเกินไป และข้อเท็จจริงที่เจ้ายอมซ่อนตัวภายใต้การคุ้มครองของพวกมนุษย์ ก็ได้ก้าวข้ามความเชื่อศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านรกและแดนมนุษย์ไม่ควรก้าวก่ายกันอย่างสมบูรณ์ เจ้าไม่มีบรรทัดฐานขั้นต่ำที่ยมทูตควรรู้เลยแม้แต่น้อย”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
หมายความว่าอย่างไรที่ว่าไร้ยางอาย?
มันเรียกว่าการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดต่างหาก!
เชาโยวเต๋ายังคงเอ่ยต่อ “ข้อที่สาม ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้า…จะมีหลักฐานยืนยันตัวตนยมทูต!”
“นี่เป็นทางเดียวที่เจ้าจะสามารถบรรลุสู่ขั้นนักล่าวิญญาณได้ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนชื่อลงบนบันทึกนรก ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่แตกต่างกับข้า และข้าก็ได้พ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมนี้”
ไม่มีใครพูดอะไรอีกหลังจากนั้น ทุกอย่างเงียบสนิท จากนั้น ในที่สุดฉินเย่ก็ปรับสีหน้าของตนและถอนหายใจออกมาอย่างลำบากใจ “ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องสู้กับอดีตเพื่อนร่วมงานของตัวเอง…”
“ทนไม่ได้หรือ?” เชาโยวเต๋าแสยะยิ้ม “ไม่มีใครในโลกนี้ยอมรับการมีอยู่ของบุคคลอื่นที่เหมือนกับตัวเองได้…..”
“หากข้าไม่ตายในวันนี้ ข้าก็จะพลิกสถานการณ์และทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อกลับมาฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน”
ฉินเย่ยิ้มบาง “นั่นน่ะสิ ความจริงก็คือข้าไม่เคยต้องการให้เรื่องมันลงเอยแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่ายายเฒ่านั่นบังคับข้าจนข้าจนมุม ข้าก็คงไม่คิดที่จะสู้กับท่านด้วยซ้ำ แล้วพอข้ากลับมาลองคิดทบทวนดู ข้าสามารถพูดได้เลยว่ายายเฒ่านั่นเก่งมากจริง ๆ ที่สามารถเลือกโจมตีจุดอ่อนของข้าได้อย่างแม่นยำ…”
เชาโยวเต๋าหัวเราะ “หากเจ้าได้เป็นพระยมคนต่อไป เจ้าก็คงจะเป็นพระยมที่ไม่มีศีลธรรมมากที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นแน่…”
“ท่านก็พูดเกินไป ข้าเพียงแค่ไม่อยากตายเท่านั้น หากผู้ใดพยายามที่จะสังหารข้า ข้าก็จะโต้กลับอย่างไร้ความปรานี หากโลกนี้สงบสุข ท่านก็จะพบว่าข้าเป็นเพียงปลาตัวน้อยที่ไม่มีอันตราย ว่ายน้ำอยู่ในบ่อน้ำเล็ก ๆ ของตนเองอย่างมีความสุข เอาล่ะ…” ฉินเย่วางฝักกระบี่ขนาดใหญ่ของเขาลงกับพื้น “มีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่?”
เชาโยวเต๋าดึงดาบของตนขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า “คำถามข้อสุดท้าย”
“ก่อนหน้านี้…ตอนที่เจ้าบรรลุสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ เจ้าไม่ได้เจอกับเจ้าหน้าที่ขั้นยมทูตขาวดำหรอกหรือ? ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนั้นกัน?”
ฉินเย่หัวเราะเบา ๆ “ง่ายมาก…ข้าก็แค่เดินผ่านเขาตามปกติ ข้าจะไปวิ่งเร็วกว่าเขาได้อย่างไรกันล่ะ?…ข้าก็แค่ใช้เศษตราจ้าวนรกที่ข้ามีในการปลอมตัวเป็นยมทูตขาวดำอีกคนหนึ่ง และข้ายังบอกเขาด้วยว่าข้าจะเป็นคนมาเอาชีวิตของท่านด้วยตัวเอง เพราะเหตุนั้น…เขาจึงปล่อยข้ามาโดยไม่ถามคำถามอะไรอีก”
“มันทรงพลังกว่าบันทึกนรกที่ข้าถือครองอยู่สินะ” เชาโยวเต๋าเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มบาง ในวินาทีต่อมา ดาบเล่มใหญ่ของเขาก็พุ่งตรงไปที่ลำคอของฉินเย่
“เป็นแค่ยมทูตขั้นนักล่าวิญญาณที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งแท้ ๆ แต่กล้าดีอย่างไรมาทำตัวต่อต้านรุ่นพี่แบบนี้!” ฉินเย่เอียงศีรษะหลบไปด้านข้าง เส้นผมสีขาวของเขาถูกตัดไปเล็กน้อย
เชาโยวเต๋าที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “วันนี้ ข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเองว่าพลังที่แท้จริงของนักล่าวิญญาณนั้นเป็นอย่างไร!”
ในชั่วพริบตานั้น ดาบยาวในมือของเขาพลันแยกตัวเป็นใบมีดนับพันเล่ม ครั้งนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ฉินเย่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของดวงวิญญาณนับพันดังขึ้น ก่อกวนกับจิตใจของเขาอย่างต่อเนื่อง
เคร้ง!! ทว่ากระบี่ของเขานั้นเร็วกว่าดาบยาวของอีกฝ่าย กระบี่ปีศาจนั้นมีความกว้าง 1 ฟุต 3 นิ้ว และยาว 4 ฟุต 5 นิ้ว เปลวไฟสีเขียวหยกลุกโชนไปทั้งด้าม ปะทะกับใบมีดนับพันเล่มนั้นอย่างรุนแรง
เกิดเป็นเสียงดังกึกก้องไปทั่ว ดวงตาของเชาโยวเต๋าเบิกกว้างอย่างประหลาดใจขณะที่ถูกกระแทกไปด้านหลังสามเมตรพร้อมกับส่งเสียงอู้อี้ กระแทกเข้ากับกำแพงอย่างจัง
ดาบนั้นเบาและว่องไว ในขณะที่กระบี่นั้นหนาและทรงพลัง ปราศจากซึ่งหลักฐานยืนยันตัวตนยมทูต เชาโยวเต๋านั้นย่อมเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ จากการปะทะกันของพละกำลังอย่างไม่ต้องสงสัย
เปลวไฟสีเขียวหยกยังคงลุกลามราวกับงูพิษ และก่อนที่เชาโยวเต๋าจะทันได้ปัดไล่เศษฝุ่นออกจากตัว การระเบิดของพลังตรงหน้าก็ทำให้เกิดลมพัดแรงและเกิดเป็นเสียงแหลมเสียดหู โดยปราศจากความลังเลใด ๆ เขารีบผิวปากและปล่อยลำแสงสีเขียวออกมาจากแขนเสื้อทั้งสองข้าง ปะทะกับคลื่นพลังตรงหน้าอย่างจัง
พร้อมกับเสียงดังสนั่น เปลวไฟสีเขียวกระจายออก ร่างของเชาโยวเต๋ากระเด็นไปกระแทกกับกำแพงที่อยู่ด้านหลัง แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีที่อาจถึงชีวิตได้
“เฮ้อ~” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นจึงกัดฟันแน่น ระเบิดร่างของตนและแปลงเป็นพายุพลังหยินขนาดใหญ่ที่พันไปรอบ ๆ ร่างของฉินเย่อย่างรุนแรง
แทบจะในวินาทีเดียวกัน กระบี่เล่มใหญ่ของฉินเย่ตกลงบนพื้นอย่างแรง แรงกระแทกอันทรงพลังก่อนหน้านี้ทำให้กระบี่ของเขาเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่
ตอนนี้ หัวกะโหลกที่อยู่บริเวณด้ามจับของกระบี่ได้มีโครงกระดูกงอกออกมา ราวกับว่ามันกำลังคืบคลานขึ้นไปบนตัวของใบมีด ส่งผลให้มันมีประกายขาวราวไข่มุกและขับเน้นโดยเปลวไฟสีเขียวหยกที่ลุกโชนไม่หยุดหย่อน
ควบคู่กับชุดเครื่องแบบยมทูตที่โดดเด่น ฉินเย่ในเวลานี้ดูสง่างามอย่างไร้ที่ติ ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงยมทูตในแบบต้นตำรับ
วินาทีต่อมา พลังหยินที่อยู่โดยรอบได้ก่อตัวเป็นวังวนพลังหยินขนาดหกเมตรที่โอบล้อมร่างของฉินเย่เอาไว้ ในขณะเดียวกัน จุดแสงสีฟ้านับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นภายในกระแสน้ำวน ทำให้มันดูคล้ายกับทะเลดวงดาวและพุ่งเข้าสู่ร่างของฉินเย่
ตึ๊ง! เสียงที่ดังขึ้นนั้นคล้ายกับเสียงของสายฝนที่ตกกระทบกับพิณ ระบำใบมีดของฉินเย่ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ในลูกบอลเพลิงขนาดใหญ่ ทว่าทันทีที่เขาสัมผัสกับแสงพวกนั้น ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นทันที
เจ็บ…
เขาไม่สามารถบอกได้ว่าแสงพวกนี้คืออะไร แต่พวกมันมีพลังมากพอที่จะทำให้กระบี่ปีศาจของเขาสั่นเทา ฉินเย่สามารถจินตนาการได้ถึงความเสียหายหากแสงพวกนี้กระแทกเข้ากับร่างของเขา….พวกมันจะต้องทำลายมากกว่าเส้นเอ็นและกระดูกของเขาเป็นแน่!
“งี่เง่า!!” วินาทีนั้นเสียง เสียงหนึ่งที่เงียบหายไปนานก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ใครบอกให้เจ้าสัมผัสกับพวกมันตรง ๆ กัน?”
อาร์ทิสเหรอ?
ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง นางคงจะตื่นเต็มที่อีกครั้งแล้วแน่ ๆ…
น่าเสียดาย ฉินเย่ไม่มีเวลาพอที่จะตอบอีกฝ่าย เพราะตอนนี้ แสงพวกนั้นเริ่มพุ่งเข้ามาจากรอบด้าน เปลี่ยนเป็นกำแพงแสงที่ปิดล้อมร่างของเขาเอาไว้!
“เวรเอ้ย!!” ฉินเย่สบถออกมาพร้อมกับแกว่งโซ่ตรวนวิญญาณไปรอบ ๆ ตัวอย่างรวดเร็ว คล้ายกับถังเหล็กที่ปิดกั้นร่างของเขาเอาไว้
ตู้ม!!
เปลวเพลิงสีเขียวแพร่กระจายไปทั่วทุกที่ ประกายแสงปกคลุมไปทั่วทั้งห้องจนดูคล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้า ทว่าพวกมันก็พุ่งกลับเข้าไปในกระแสน้ำวนราวกับเป็นปลาในมหาสมุทร
“นี่มันบ้าอะไรกัน? นี่ข้าจะต้องพ่ายแพ้ให้กับยมทูตที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตเนี่ยนะ?” ฉินเย่คำราม
“วัตถุหยิน” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเรียบ “วัตถุบางชนิด หากสัมผัสกับพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังหยินเป็นเวลานาน มันก็จะค่อย ๆ สะสมพลังหยินที่อยู่โดยรอบ และเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง วัตถุพวกนั้นก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนร่างเป็นวัตถุหยิน ยมทูตที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณจะสามารถใช้ศาสตร์แห่งนรกได้ น่าเสียดายที่เขาไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนยมทูต และโลกเองก็ไม่ได้จดจำเขา ดังนั้นเขาจึงยังไม่สามารถสัมผัสกับความลับของศาสตร์แห่งนรกได้”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้า…”
“ขลาดเขลานัก….” อาร์ทิสเอ่ยลอดไรฟัน
“ในฐานะของยมทูตที่แท้จริง ทุกสิ่งที่อยู่บนตัวของเจ้าล้วนเป็นวัตถุหยิน! และพวกมันก็อยู่ระดับที่สูงกว่าที่เชาโยวเต๋ามีไม่รู้กี่เท่า! สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของประทานจากนรกที่ได้ถูกอาบด้วยพลังหยินมานานนับพันปี! ใช้ฝ่ามือของเจ้ากรีดไปตามแนวของกระบี่ แล้วเจ้าจะสามารถควบคุมมันได้ทันที!”
ฉินเย่รีบใช้ฝ่ามือของตนลูบไปที่สันของกระบี่ทันที
จากนั้นเขาก็มองไปที่ลูกบอลผนึกที่ลอยอยู่ตรงหน้าของคนอย่างมึนงง
“ข้าจะ@#($*&@(#^)$$!!!” อาร์ทิสกระโดดอย่างบ้าคลั่ง นางข่มกลั้นความโกรธที่เดือดพล่านภายในใจและเอ่ยอย่าเหลืออดว่า “ใช้! ใบ! มีด!!”
ฉินเย่กลืนน้ำลายอย่างกังวลใจ ก่อนที่จะใช้คมกระบี่กรีดบนฝ่ามือของตนเองอย่างระมัดระวัง หน้าตาบูดบึ้งขณะที่มองดูเลือดของตนหยดลงบนกระบี่
“เจ้า…” อาร์ทิสกัดฟัน “ข้าคิดว่าข้าควรจะชื่นชมเจ้าที่กล้ายืนหยัดเผชิญหน้ากับเชาโยวเต๋าโดยที่ไม่คิดที่จะหนีเลยสักนิดหรือ…ดูเหมือนว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นนะ…”
“แต่เจ้ารู้อะไรหรือไม่…ข้าไม่คิดจะลังเลแม้แต่น้อยหากถึงยามต่อสู้ แต่นี่มันเป็นการเอาตัวเข้าสู้อย่างไม่จำเป็นเลยสักนิด! นี่มันเหมือนข้าต้องทนเจ็บให้รถชนเล่น แต่กลับหวาดกลัวหมอที่จะเอาเข็มมาจิ้มที่นิ้วเพื่อที่จะตรวจสุขภาพ!”
“…เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าดูมั่นใจมากขึ้นหลังจากที่ขึ้นตื่นขึ้นมากันนะ? เจ้ายังมีแรงที่จะมาบ่นนู่นบ่นนี่ขณะที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ขั้นเดียวกันเนี่ยนะ?”
ทันทีที่เลือดของเขาหยดลงบนใบมีด กระบี่ปีศาจก็พลันเปล่งประกายแสงสีแดงออกมา สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาในห้อง กลิ่นของเลือดพัดโชยไปทั่ว พลังหยินที่อยู่โดยรอบสลายไปในทันที ร่างของเชาโยวเต๋าเปลี่ยนกับเป็นร่างของอีกฝ่ายตามเดิม และภาพของคนตรงหน้าในเวลานี้ก็ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ลูกประคำที่ทำจากกะโหลกของมนุษย์ 81 ชิ้นพันอยู่รอบร่างของเขา ในขณะที่ภายในดวงตากะโหลกพวกนั้นยังคงลุกโชนด้วยเปลวไฟสีเขียวที่น่าขนลุก
“ปลดปล่อยจิตวิญญาณใบมีด…” เชาโยวเต๋ามองดูกระบี่ที่ตอนนี้ที่เปื้อนไปด้วยเลือดอย่างไม่พอใจพร้อมกับเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา “เจ้าเป็นเพียงนักล่าวิญญาณมือใหม่…เหตุใดจึงรู้เรื่องพวกนี้ได้?!!”
ฟึ่บ…ทว่ายังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะได้พูดจนจบ แสงสีแดงเลือดก็สว่างไปทั่วทั้งหอสมาคมอวี๋หลาน และร่างที่คล้ายกับมนุษย์ก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาจากใบมีด
มันมีความสูงเพียงแค่นิ้วเดียวเท่านั้น แต่ร่างของเชาโยวเต๋ากลับสั่นสะท้านอย่างรุนแรงและถอยหลังไปอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ราวกับว่าได้เห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดที่เคยเห็น เปลวไฟในลูกประคำกะโหลกมนุษย์เองก็อ่อนลงเมื่ออยู่ภายใต้แสงสีแดงนี้
ร่างที่คล้ายมนุษย์ดูเฉื่อยชาเล็กน้อย ขณะที่มันหันไปโค้งคำนับฉินเย่อย่างเคารพ จากนั้นจึงหันกลับมาหาเชาโยวเต๋า
“ไม่…”
และก่อนที่เชาโยวเต๋าจะได้เอ่ยจนจบประโยค ลมกระโชกแรงก็พัดเข้ามาในห้อง และศีรษะของชายวัยกลางคนก็ตกลงบนพื้นเสียแล้ว!
เร็ว
เร็วมาก!
ฉินเย่ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าร่างที่คล้ายมนุษย์ตรงหน้านี้โจมตีอีกฝ่ายอย่างไร ไม่สิ…ก่อนอื่น สิ่งมีชีวิตที่ตัวเล็กแค่นี้สามารถสร้างผลกระทบที่มากขนาดนี้ได้ยังไงกัน? มันไม่ได้มีแค่เชาโยวเต๋าเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แม้แต่เครื่องแบบและผมของฉินเย่เองก็ปลิวว่อนอย่างรุนแรง เพราะสายลมก่อนหน้านี้เช่นกัน เด็กหนุ่มคิดแล้วก็ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง
นี่มันคือการปราบปรามอย่างแท้จริง!
วินาทีนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ากระบี่ในมือของตัวเองนั้นเป็นสุนัขตัวหนึ่ง
สุนัขที่ถูกลากมาพร้อมกับจอมเวทของมัน