บทที่ 63: ผู้สืบทอดตำแหน่งจ้าวนรก
“เพราะอะไร?” ฉินเย่ชักกระบี่ของตนออกมาและชี้หน้ากระบี่ไปที่ลูกบอลผนึกพร้อมกับเอ่ยเสียงลอดไรฟัน
“เหตุใดพวกท่านทุกตนถึงบังคับให้ข้าต้องทำในสิ่งที่ข้าไม่อยากทำด้วย?”
“อย่างที่ข้าเคยพูดไปเมื่อก่อนหน้านี้ เจ้าได้แลกชีวิตของเจ้ากับเศษตราจ้าวนรก นี่คือความรับผิดชอบที่เจ้ารับมันมาด้วยตัวเจ้าเอง!”
“ข้าเข้าใจดีว่าเจ้ามาจากที่ใด และข้าก็จะไม่ตำหนิเจ้า มันเป็นภาระที่ใหญ่มากจริง ๆ และการยอมแพ้มันก็เป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยได้ แต่คำถามก็คือ…นั่นเป็นทางที่เจ้าเลือกจริง ๆ น่ะหรือ?”
“เจ้าคิดบ้างหรือไม่…อาจจะยังมีใครบางคนในมณฑลเสฉวนที่ถือครองเศษตราจ้าวนรกอยู่อีกก็ได้?! ต่อให้พวกเขาไม่สามารถเสาะหาข้ามมณฑลและระบุตำแหน่งของเจ้าได้ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ต้องไม่ต่ำกว่าขั้นยมทูตขาวดำอย่างแน่นอน อันที่จริง พวกเขาอาจจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับข้าเลยก็ว่าได้! เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นจะไม่รู้ถึงประโยชน์ที่แท้จริงของตราจ้าวนรกเลยอย่างนั้นหรือ?”
“บุคคลที่คิดจะเพาะพันธุ์วิญญาณจำนวนมากด้วยเศษตราจ้าวนรกนั้น เป็นผู้ที่ต้องใช้ราชันย์วิญญาณทั้ง 6 ในการจับกุม เจ้าคิดว่าคนระดับนั้นจะไว้ชีวิตใครก็ตามที่ถือครองเศษตราจ้าวนรกของพวกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจโดยการซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของเมืองเป่าอันอย่างนั้นหรือ?”
อาร์ทิสเอ่ยพร้อมกับส่ายศีรษะไปมา “เด็กน้อย…เจ้ายังไม่เคยเห็นภูตผีที่ คลุ้มคลั่งใช่หรือไม่? ภูตผีที่มีความแข็งแกร่งเกินกว่าขึ้นยมทูตขาวดำที่ใช้วิชาสังหารที่น่ากลัว….”
“เอาเป็นว่าเจ้าอาจจะตายก่อนที่ตัวเองจะรู้ตัวเสียอีก เส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกมันได้”
ฉินเย่หลับตาลงและพยายามควบคุมจังหวะการหายใจที่รุนแรงของตนเอง วินาทีต่อมา เด็กหนุ่มก็เอ่ยตอบเสียงนิ่ง “ข้าคิดว่าเราคงต้องคุยกันเรื่องนี้เสียแล้ว ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนนั้นค่อนข้างแย่…ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอะไรดีขึ้นเลยก็เถอะ”
“มันไม่มีอะไรที่ต้องพูดแล้วเจ้าหนู เพราะเจ้าไม่มีทางที่จะหันหลังให้กับเรื่องนี้ได้ ข้อเท็จจริงที่ว่ายายเมิ่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูของเจ้าหมายความว่านางได้เลือกเจ้าแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้วิธีที่จะหนีจากปัญหานี้เช่นกัน ถ้าหากมันเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะเป็นจ้าวนรกคนต่อไปเองมากกว่า”
“ลองคิดดู จ้าวนรก…เจ้าแห่งยมโลก! ตอนนี้ เจ้ามีทั้งหลักฐานยืนยันตัวตนยมทูต รวมถึงเศษตราจ้าวนรก! มันไม่มีทางที่เจ้าจะสามารถเปิดตัวได้ดีกว่านี้อีกแล้ว!หลังจากนี้อีกหลายร้อยปี ดวงวิญญาณทั้งหมดในโลกจะต้องสั่นสะเทือนตามคำสั่งของเจ้า สตรีมากมายต่างยืนรอให้เจ้าเลือก โลกจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้า แล้วเจ้าจะอยากได้อะไรไปมากกว่านี้อีก?”
“เจ้าจะสามารถออกแบบนรกได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบได้ตามที่ใจต้องการ สามารถสร้างสะพานแห่งความจนใจขึ้นมาใหม่ หรือแม้กระทั่งสั่งให้ทุกคนดื่มโค้กก็ยังได้! เจ้าสามารถแต่งตั้งผู้กรรเชียงเรือคนใหม่โดยที่ไม่มีใครจะต่อว่าอะไร ต่อให้เจ้าจะเก็บค่าธรรมเนียมในการขึ้นเรือก็ตาม นอกจากนี้เจ้ายังสามารถสอบสวนพวกมารที่หลบหนีการจับกุมและลงโทษพวกมันในแดนมนุษย์ได้ด้วย…ยกตัวอย่างเช่น พวกที่โกงเงินประกัน หรือพวกที่ล่วงละเมิดทางเพศแล้วหลบหนี หรืออาจจะพวกที่ยอมก้มหัวให้กับความโลภของตัวเอง…ความดีจะถูกตอบแทนด้วยความดี ความชั่วจะถูกตอบแทนด้วยความชั่วที่พวกมันกระทำ! เพียงแค่เจ้าเอ่ยคำสั่งเท่านั้น!”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“แต่ข้าก็แค่อยากที่จะเที่ยวทะเลและเดินชมดอกไม้ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น….”
อาร์ทิสที่เห็นแบบนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “เด็กน้อยเอ๋ย…ทุกคนในโลกนี้ต่างก็มีเป้าหมายและหน้าที่ของตนเอง ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าได้กินเห็นเทียนสุ่ยเข้าไป เจ้าก็ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป นี้เป็นสิ่งที่เจ้าต้องยอมรับมัน หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงข้อนี้…มันก็จะไม่มีใครที่จะสามารถปกป้องเจ้าได้หรอกนะ”
“โอกาสในการสร้างนรกขึ้นมาใหม่นั้นยิ่งใหญ่มาก แม้ว่ามันจะหมายถึงการถูกไล่ล่าโดยกองกำลังของแดนมนุษย์จนกว่าที่อีกฝ่ายจะยอมแพ้ แต่ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะต้องตามล่าเจ้าอย่างสุดความสามารถแน่นอน!”
หลายสิ่งที่ฉินเย่พยายามซ่อนและปกปิดมันเอาไว้ต่างค่อย ๆ ถูกเผยออกมาทีละน้อย เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญใจกับเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่สิ ต้องพูดว่าเขาคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าวันแบบนี้จะต้องมาถึงในที่สุดมากกว่า
“บางที…การยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจ้าวนรก ก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้ายอะไร” หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ได้แต่แย้มยิ้มออกมาอย่างยอมจำนน
อาร์ทิศเองก็แย้มยิ้มออกมาเช่นกัน “มันต้องมีมากกว่านั้นอย่างแน่นอน เมื่อเริ่มสร้างนรกขึ้นมาใหม่ เจ้าก็จะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จและความภาคภูมิใจที่ได้จากการสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่นั้น ดีจนยากที่จะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้”
ฉินเย่ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มที่ยากจะตีความ ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ยกมือขึ้นทาบบนหน้าอกของตัวเองและเลิกคิ้วขึ้น “สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือเอาบันทึกนรกนี่ขึ้นมาหรือ?”
“ใช่ สมบัติของนรกนั้นมีจำนวนมหาศาล และมันก็ไม่สามารถทำลายได้ง่าย ๆ เช่นกัน แม้ว่าจะมีการตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ก็ตาม น่าเสียดายที่พวกมันคงจะกระจัดกระจายไปทั่วประเทศจีน แต่ละชิ้นของมัน ล้วนมีคุณประโยชน์เหนือคณานับ”
“ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้าได้ครอบครองบันทึกนรก เจ้าจะสามารถแต่งตั้งยมทูตของตัวเองได้แต่ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ เจ้าจะสามารถแต่งตั้งได้เพียงแค่ยมทูตที่อยู่ขั้นต่ำกว่าเจ้าเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ….”
อาร์ทิสหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่ออย่างไม่เต็มเสียง “ต่อให้คนรอบข้างของเจ้าจะตายจากไป เจ้าก็จะสามารถทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อได้ด้วยวิธีอื่น”
ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือลงไปในหลุมทันที
ในเมื่อมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหลีกเลี่ยงมันอีกต่อไป
เงื่อนไขเบื้องต้นในการใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ของเขาก็คือมันจะต้องไม่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของเขาเอง แต่ตอนนี้ชีวิตของเขาได้ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาก็คงทำได้เพียงรับมือกับมันเหมือนอย่างตอนที่เขารับมือกับผีสาวที่ตามหลอกหลอนตระกูลหวังหรือไม่ก็เชาโยวเต๋า
เขาต้องตรวจสอบมัน ทำความคุ้นชินกับมัน ดับเครื่องชน และเชี่ยวชาญมัน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงตอนที่ถูกบังคับให้ต้องยืนอยู่บนหน้าผาแห่งความเป็นตายเท่านั้น ที่มนุษย์เราจะตระหนักได้ว่าชีวิตของตนนั้นมีค่ามากเพียงใด
ความเกียจคร้านและการไม่แยแสต่อสิ่งใด โดยไม่คำนึ่งถึงชีวิตอาจจะที่ดีกว่าหากเราพยายามที่จะก้าวออกมาจากความเขลากลัว
หลุมตรงหน้าของเขาไม่ได้เป็นหลุมเปล่า ๆ อีกต่อไป
กลับกัน มันมีพลังหยินรวมตัวกันอยู่อย่างเข้มข้น จนดูคล้ายกับก้อนเมฆดำขนาดใหญ่
และตรงจุดกึ่งกลางของเมฆก้อนดังกล่าว มีประกายแสงสีทองที่ส่องสว่างราวกับดวงดาว
ฟึ่บบบบ….โซ่เส้นยาวพุ่งออกไปจากแขนเสื้อของฉินเย่และพันรอบวัตถุลึกลับนั้น จากนั้น ด้วยการดึงที่ทรงพลัง สมุดโบราณกลับเข้ามาอยู่ในฝ่ามือของเขาทันที
สภาพของมันไม่น่าดูเลยสักนิด
มันเปล่งประกายแสงสีทองอ่อน ทั้งขอบของหน้ากระดาษและหน้าต่าง ๆ ที่ขาดรุ่งริ่ง คำสองคำบนหน้าปกถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีสด ‘บันทึกนรก’
ฉินเย่จ้องมองบันทึกในมือ จากนั้นจึงส่ายศีรษะและยิ้มกับตัวเองขณะที่กำมันแน่น
ตูม!
ทันใดนั้นเอง วิญญาณของเขาก็ลอยออกจากร่างและล่องลอยไกลออกไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างโดยรอบมืดลง จนกระทั่งในท้ายที่สุด…ประตูสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขา!
ประตูหินอ่อนสีขาวดูโบราณทว่าเรียบง่าย ภาพของนรกทั้ง 18 ขุมที่ถูกสลักลงบนบานประตูนั้นดูเหมือนจริงอย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ครืดดด….บานประตูถูกเปิดออก และกลุ่มพลังหยินที่หนาแน่นก็ค่อย ๆ ลอยออกมา
มันดูยิ่งใหญ่และสูงส่ง พลังหยินที่ลอยออกมานั้นหนาแน่นจนแทบจะก่อตัวเป็นรูปร่าง ทันทีที่ฉินเย่สัมผัสกับมัน ด้านหลังของศีรษะของเขาพลันรู้สึกชาทันที และจังหวะการหายใจของเขาก็เริ่มติดขัด
กึก….ราวกับมียักษ์ที่มองไม่เห็นมากดร่างของเขาเอาไว้ ฉินเย่กัดฟันแน่นและต่อสู้กับแรงกดดันดังกล่าว ทว่าหลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที เข่าของเขาก็ทรุดลงกับพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
“นี่มันพลังของใครกัน…”
“มะ มันทรงพลัง….ทะ…แทบจะเหมือนกับว่า…เรากำลังเผชิญหน้าอยู่กับนรกอยู่!!”
ในวินาทีเดียวกับที่เข่าของฉินเย่ทรุดลง บานประตูถูกเปิดออกอย่างเต็มที่ เผยให้เห็น…ภาพอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ด้านใน
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนตัวเปล่าเปลือย ร่างถูกแขวนห้อยหัวด้วยเชือกสีดำ ในขณะที่มีมีดและขวานจำนวนนับไม่ถ้วนทิ่มแทงเข้าไปที่ร่างอย่างต่อเนื่อง มีหลายคนที่จบชีวิตลงภายใต้การจับตามองของฉินเย่ และคนพวกนั้นก็กลายเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่สลายไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว
ส่วนพวกที่ยังมีชีวิตก็จะถูกลากตัวลงมาจากเชือก และกดหน้าลงกับเหล็กร้อน กรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวชขณะที่เนื้อของพวกเขาส่งกลิ่นเหม็นไหม้ที่น่าสะอิดสะเอียนและควันดำลอยฟุ้งออกมา เผาไหม้เนื้อหนังและกระดูกจนไหม้เกรียม
แม้ว่าจะมีคนจำนวนมากที่กลายร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและสลายตัวไป แต่มันก็ยังพวกที่ยังไม่สลายไปและถูกแขวนด้วยเหล็กร้อนและปล่อยให้สายลมแห่งพลังหยินพัดผ่านร่าง เปลี่ยนให้ร่างของพวกเขากลายเป็นเพียงซากศพที่แห้งเหี่ยว
บริเวณจุดกึ่งกลางของภาพอันกว้างใหญ่นี้ มีชายสวมมงกุฎและแต่งตัวในชุดสีดำสนิทคนหนึ่งนั่งอยู่
อีกฝ่ายหันหลังให้กับฉินเย่ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าได้ ร่างนั้นสูงใหญ่ คล้ายกับพลังของอาร์ทิสที่แผ่ออกมาเมื่อครั้งก่อน
ทันใดนั้น ร่างกายของฉินเย่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง เมื่อเขากลับมาได้สติอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่หอสมาคมของเชาโยวเต๋าอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นั่น…ขุมนรกเชือกดำเหรอ? แล้วนั่นใช่ส่องตี้หวางหรือเปล่า?” ฉินเย่อ้าปากค้าง แต่เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก และมีเพียงพึมพำกับตัวเองด้วยอารมณ์ที่คาดเดาไม่ออกในใจ “ความดีและความชั่วจะได้รับผลตอบแทน…ข้ามั่นใจว่าหากใครได้เห็นภาพที่น่ากลัวพวกนั้น พวกเขาจะไม่กล้าทำชั่วอีกเลย”
อาร์ทิสเองก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจภาพที่เขาเพิ่งเห็นและพูดเสริมว่า “ใช่ พวกภูตผีไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายแต่กำเนิด นิสัยชั่วร้ายของพวกเขาเป็นเพียงสิ่งที่ติดตามมาจากชาติที่แล้วของพวกเขาเท่านั้น การดำรงอยู่ของนรกนั้นมีเพื่อทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นระเบียบโดยการจัดการกับความชั่วร้ายที่สามารถหลบหลีกการลงโทษและกลับมาล้างแค้นในแดนมนุษย์”
“มีทั้งคนแก่อายุราว ๆ 70 ปีที่แกล้งล้มลงตรงหน้ารถยนต์ และจงใจแบล็คเมล์คนขับรถเพื่อเรียกเงินหลายล้าน”
“คนแก่ที่อายุประมาณ 60 หรือ 70 ที่เดินกลับมาจากร้านขายของชำและปรารถนาที่จะได้ที่นั่งของผู้อื่นโดยอ้างว่าตนนั้นเหนื่อย แม้แต่กับคนที่ป่วยหรือไม่สบาย และเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธ พวกเขาก็จะพูดจาทำร้ายจิตใจฝ่ายตรงข้ามโดยอ้างว่าพวกเขา ‘ไม่เคารพผู้สูงอายุ’ ”
“คนที่สังหารมารดาของตัวเองตั้งแต่ตอนที่อายุ 12 แต่ก็พ้นผิดเพราะอายุของตัวเอง”
“ไหนจะพวกที่โกรธจากเรื่องราวที่ถูกใส่ร้ายป้ายสี จนไปทำร้ายอีกฝ่ายด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสมในอินเทอร์เน็ต บังคับให้เป้าหมายไปหาคำตอบโดยการฆ่าตัวตายอีกด้วย”
“ไม่ใช่ภูตผีทุกตนที่ชั่วร้าย และไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่สมบูรณ์แบบ บาปกรรมใด ๆ ที่ตนได้กระทำในชีวิต…จะได้รับการชดใช้หลังความตาย และเจตนาร้ายอยู่ในใจของคนเหล่านั้นสุดท้ายก็จะต้องได้รับกรรมในท้ายที่สุด”
น้ำเสียงที่เอ่ยของนางดูอ่อนลงเล็กน้อย “สิ่งที่เจ้ากำลังทำคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันจะนำมาซึ่งความสงบสุขให้กับโลกนี้ มันไม่มีสิ่งใดที่ต้องเป็นกังวล วิญญาณดีและชั่วจะต้องได้รับการตอบแทนก่อนที่จะเข้าสู่วัฏสงสารตามกฎของสวรรค์”
ฉินเย่พยักหน้า “แล้วถ้าเป็นบทโทษของพวกที่อ่านนิยายโดนไม่กดโหวต กดติดตาม แนะนำ หรือโดเนท [1] ล่ะ?”
สีหน้าของอาร์ทิสเคร่งขรึมและอึมครึมลงกว่าเดิม “พวกเขาจะได้รับบทลงโทษของนรกทั้ง 10 ขุมทีละแห่ง อมิตตาพุทธ….”
“รุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แน่นอน มันเป็นเหมือนกับการเพิกเฉยต่อผลของความพยายามของผู้อื่น…เป็นการกระทำที่รับไม่ได้อย่างถึงที่สุด….”
…………………………….
ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปหลายพันไมล์ ณ เมืองติ้งอัน ธงอธิษฐานที่แขวนอยู่เหนือประตูของวัดแห่งหนึ่งปลิวไสวอย่างรุนแรง
ลักษณะของมันดูคล้ายกับดอกบัว ประดับสถานที่ด้วยกระเบื้องเคลือบสีทองและคานที่ทำจากไม้ซีดาร์จีน พร้อมทั้งกระถางธูปขนาดใหญ่ที่มีความสูงหนึ่งเมตรตั้งอยู่หน้าประตู
มันเป็นเวลา 04.30 น. ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวมากมายและมีเสียงของมู่อวี๋ [2] ดังให้ได้ยินมาจากที่ไกล ๆ กลุ่มควันธูปลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
ฟิ้ว~…เมื่อสายลมพัดผ่านมา ธงอธิษฐานปลิวแรงขึ้นกว่าเดิมจนลอยเป็นแนวนอนขนานกับพื้น ปะทะเข้ากับแผ่นป้ายบนผนังที่เขียนว่า “หอแห่งความแข็งแกร่ง”
ชายสูงวัยหัวโล้นคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของพระพุทธรูปทองคำ เขาสวมเสื้อคุมผ้าไหมและคุกเข่าอยู่บนเสื่อเงียบ ๆ สัมผัสถึงสายลมที่รุนแรงจากด้านนอก จากนั้นเขาก็เปิดเหลือกตาขึ้น
ในวินาทีต่อมา…พระพุทธรูปทองคำตรงหน้าของเขาก็ส่งเสียงครืดคราด อ้าปากและเอ่ยด้วยเสียงคล้ายมนุษย์ “เจ้านาย เมืองเป่าอันถูกกองกำลังทหารแย่งกลับคืนมาได้แล้ว”
“เป็นไปตามที่คาด” ชายสูงวัยเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “เขายังด้อยประสบการณ์นัก”
“มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเราต่างก็เป็นผู้รอดชีวิตจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของนรกที่เกิดขึ้นจากการตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ระยะเวลาหนึ่งร้อยปีนั้นเทียบไม่ได้กับอนาคตที่รอเราอยู่ในภายภาคหน้า แม้แต่บุคคลที่อยู่ที่มณฑลเสฉวนเองก็ยังไม่กล้าเผยตัวออกมาแม้ว่าทุกอย่างจะถูกจัดเตรียมไว้ให้เขา แต่ชายผู้นี้กลับกล้าถึงขนาดที่คิดจะทดสอบความแข็งแกร่งของกองกำลังของแดนมนุษย์”
“มนุษย์….” ชายชราลูบมู่อวี๋ตรงหน้าของตนอย่างแผ่วเบา “เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวกว่าเรามาก….”
“เจ้านาย…ข้าขออนุญาตถามในนามของนายหญิง…เราจะรอเวลาต่อไปอย่างนั้นหรือ?”
[1] โดเนท (Donate) ที่แปลว่า บริจาค ซึ่งในที่นี้หลัก ๆ จะพูดถึงการบริจาคด้วยเงิน
[2] เครื่องดนตรีทางสงฆ์ชนิดหนึ่ง