ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 78: เจดีย์เจ็ดดาวปราบมาร

บทที่ 78: เจดีย์เจ็ดดาวปราบมาร

“นั่นเสียงอะไรน่ะ” สี่คนในห้องที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักล่าวิญญาณถามพร้อมเพรียงกันทันที

“… ไม่มีอะไรเหรอ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่” ฉินเย่ยืนขึ้นและเดินตรงไปที่ห้องน้ำ ทันทีที่เขาเข้าไปเขาดึงลูกบอลวิญญาณออกมาทันที

“สิ่งนั้นคืออะไร!”

อาร์ทิสก็อับจนคำพูดเช่นกัน นางใช้เวลาหลายวินาทีก่อนจะตอบว่า “เจดีย์เจ็ดดาวปราบมาร…ที่จริงแล้วมัน….มันคือค่ายกลชนิดหนึ่ง ”

“กระดูกเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงกระดูกธรรมดา ๆ แต่ละชิ้นเป็นกระดูกของปีศาจสมัยโบราณกาล … ”

“เดี๋ยวนะ” ฉินเย่พูดขึ้น

“ปีศาจงั้นเหรอ? ทำไมจู่ ๆ ถึงมีปีศาจโผล่ออกมาล่ะ?”

“มีอะไรน่าแปลกงั้นรึ” เนื่องจากพวกเขาอยู่ในห้องน้ำ ลูกบอลผนึกจึงลอยออกมา

“มนุษย์ผีและปีศาจล้วนอาศัยอยู่ทั้งสามพิภพนั่นแหละ ปีศาจก็มีวิญญาณเช่นกัน และวิญญาณเหล่านี้ก็จะลงนรกเมื่อพวกเขาตาย แม้ว่าความเฟื่องฟูของมนุษยชาติจะทำให้ปีศาจลดน้อยลง และแม้ว่าข้าจะเคยพบเจอมาครั้งสองครั้งเมื่อในอดีตก็เถอะ ซึ่งทุกตนแทบจะไม่มีตัวตนให้น่าจดจำเท่าไหร่นัก”

“ในทางกลับกันเคยมีวิญญาณของปีศาจบางตนอาศัยอยู่ในนรก แต่…บอกตามตรงว่าตัวตนของพวกเขาค่อนข้างน่าสมเพช ตอนพวกเขาอยู่บนโลกนอกเหนือจากการฝึกตนแล้ว พวกนั้นก็ไม่มีสังคมอื่นใดอีก พวกปีศาจนั้นซ่อนตัวได้ยากยิ่งกว่ายมทูตเสียอีก ทันทีที่ทักษะหรือความสามารถพิเศษของพวกเขาสูญสลายไป พวกเขาส่วนใหญ่จบลงด้วยการหาเลี้ยงชีพด้วยการทำตัวน่ารัก ๆ ในสวนสัตว์นครวิญญาณ… ”

“ …… ” ฉินเย่เริ่มเงียบขรึม ด้วยเหตุผลแปลก ๆ เขามีความรู้สึกว่านครวิญญาณที่เขาควรจะสร้างขึ้นมาใหม่นั้นเป็นอะไรที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง…นี่ข้าคิดไปเองหรือไม่เนี่ย?

เสียงของอาร์ทิสดังขึ้นอีกครั้ง “กลับมาที่เรื่องนี้ ถ้านี่คือเจดีย์เจ็ดดาวปราบมาร กระดูกที่เจ้าเห็นนั้นต้องมีอายุอย่างน้อยหนึ่งพันปีแน่ถ้าข้าเดาไม่ผิด ซึ่งย้อนกลับไปในยุคที่ทั้งสามพิภพยังคงมีความเจริญรุ่งเรืองเท่า ๆ กัน”

“นั่นทำให้งานหลักของเจดีย์เจ็ดดาวปราบมาร ตั้งใจจะปราบปรามนั้น แน่นอนว่ามันต้องเป็นวิญญาณพันปี! เหตุการณ์ที่มีวิญญาณมาหวีผมเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากการรั่วไหลของพลังหยินของหน่วยงานลึกลับเท่านั้น อีกทั้งมันยังไม่มีเจตนาจะฆ่าเจ้าด้วย… นอกจากนี้ข้าคิดว่าเวลาที่พวกรัฐบาลเคลื่อนไหว มันต้องมีแผนการอะไรบางอย่างเป็นแน่”

ฉินเย่ครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะพูดขึ้น “ท่านหมายถึง … เหตุใดรัฐบาลจึงตัดสินใจเลือกเมืองเป่าอันเป็นสถาบันผู้ฝึกตนแห่งแรกใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง! มีตัวเลือกอื่น ๆ มากมายเช่น เทือกเขาจงหนาน เขาชิงเฉิง เขาหลงหู่ … สถานที่เหล่านี้ทั้งหมดเป็นทางเลือกที่ดีทั้งสิ้น! แถมยังมีภูเขาขนาดใหญ่อื่น ๆ อีกหลายแห่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าเช่นกัน แม้ว่าสถานที่แห่งนั้นอาจจะไม่ใช่พื้นที่โซนสีเขียว แต่ก็ไม่แย่เท่ากับพื้นที่โซนสีเหลือง

“นอกจากนี้สถานที่อื่น ๆ เหล่านี้ต้องยินดีต้อนรับการจัดตั้งสำนักผู้ฝึกตนในบริเวณใกล้เคียงแน่นอน นั่นทำให้ข้าสงสัยว่าเหตุใดรัฐบาลจึงต้องเลือกเมืองเป่าอัน”

ดวงตาของฉินเย่กะพริบจนเห็นเป็นแสงแวววาว “เว้นแต่ … มีเหตุผลอื่นสำคัญบางอย่างที่ต้องสร้างในเมืองเป่าอัน … ใช่แล้ว การสร้างเจดีย์เจ็ดดาวปราบมารนั้นชัดเจนเกินไป ประชาชนย่อมไม่เห็นด้วยแน่ และการย้ายพลเมืองหลายล้านคนเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวจะทำให้พวกเขาถูกต่อต้านหนักยิ่งกว่า การก่อความไม่สงบของเชาโยวเต๋า ทำให้รัฐบาลถือโอกาสหาข้ออ้างมาปกปิดเรื่องนี้สินะ”

ไม่ต้องรอให้อาร์ทิสตอบกลับ ฉินเย่ก็กล่าวต่อ “การคาดเดาของพวกเราก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะมีส่วนถูกอยู่บางที่ว่า เมืองเป่าอันต้องมีความลับบางอย่างที่ไม่อาจบอกให้ใครรู้ได้ หรือว่าที่นี่อาจจะมีวิญญาณพันปีซ่อนตัวอยู่จริง ๆ แต่ต้องซ่อนตัวหรืออยู่เฉย ๆ ไว้ มิฉะนั้น… ด้วยการอ่านค่าพลังงานหยินที่มีอยู่ในหลายสิบล้าน การมีอยู่เพียงอย่างเดียวอาจทำให้ประเทศจีนครึ่งหนึ่งเข้าสู่ภาวะฉุกเฉิน! รัฐบาลคงไม่กล้าสร้างเจดีย์ปราบมารในสถานที่แห่งนี้ด้วยซ้ำ!”

“ใช่ เจดีย์เจ็ดดาวปราบมารมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดอกมันดาลา [1] เมื่อสร้างเสร็จ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือลงทะเบียนนักเรียนมากถึงหนึ่งพันคนที่มีพลังหนาแน่น ไม่งั้นพวกเขาก็จะไม่มีความสามารถมากพอจะปลดผนึก กล่าวอีกนัยคือพวกเขาต้องรวมพลังกัน…ถึงว่าทำไมโลกมนุษย์ถึงได้มีภาพนั้นอยู่ในมือ”

หลังจากทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้แล้ว ฉินเย่ก็กลับไปที่ห้องอาหารสุดหรูหราอีกครั้ง

เขาพยักหน้าก่อนจะนั่งลง ซู่เฟิงคลี่กระดาษอีกครั้งและพูดต่อ “ทุกคน แม้ว่าผมจะไม่แน่ใจว่าทำไมหัวหน้างานของผมถึงไม่อนุมัติภาพพิมพ์เขียวนี้ แต่ผมก็มั่นใจว่านี่คือตราผนึกอย่างแน่นอน”

“ลองดูที่นี่ ตี้ทิง ปี่เซียะ… แต่ละลำแสงมีรูปปั้นเหมือนกันทุกประการ และถ้ามองจากบนลงล่าง… คุณคิดว่าจะเห็นอะไร”

ซู่เฟิงดึงปากกาสีแดงออกมา และทำเครื่องหมายบนรูปปั้นพิมพ์เขียวด้วยปากกาสีแดง หลี่หยุนเซวี่ยมองดูและอุทานด้วยความตกใจ “เครื่องหมายหยินยาง?”

ใช่แล้ว จากรูปภาพทั้งหมดเมื่อมองจากบนลงล่าง มันก็คือสัญลักษณ์หยินหยาง!

“ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น…” ซู่เฟิงกดปากกาลงบนพิมพ์เขียวอย่างแรง และทำเครื่องหมายอีกตำแหน่งหนึ่ง

“ตำแหน่งของหยางนั้น วางอยู่ตรงเขตไล่ล่าสุดท้ายที่เหลืออยู่ในเมืองเป่าอันพอดี! นั่นก็คือเขตไล่ล่าที่สี่! และฉันตั้งสมมติฐานว่าที่นี่แหละคือที่ผนึกใหญ่ที่สุดของมันอย่างแน่นอน!”

ฉินเย่ถามด้วยนำเสียงเรียบนิ่ง “แล้วพวกคุณจะทำยังไง ถ้าเกิดมันคือตราผนึกจริง ๆ?”

“นั่นคือภารกิจที่เรากำลังจะทำ” ซูเฟิงยิ้มและมองไปที่ฉินเย่

“คุณไม่คิดว่า…เราควรค้นหาความจริงด้วยตัวเองหน่อยหรือ?”

“ความจริงเกี่ยวกับเมืองเป่าอัน และความจริงเกี่ยวกับพลังงานที่สามสิบล้านหยินนั่น เพราะคุณคงไม่ต้องการนั่งอยู่บนระเบิดเวลาเฉย ๆ หรอกใช่ไหมล่ะ”

เขาไม่รอให้ฉินเย่ตอบก็พูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้น…คุณก็เห็นจากในที่ประชุมแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเขาพาเจ้าหน้าที่ระดับตุลาการนรกมาให้งานด้วยทำไม หากไม่ใช่เพื่อข่มขู่คุณและคนอื่น ๆ ให้เข้าร่วมกับสำนักฝึกตน พวกเขาต้องเตรียมการกระทำบางอย่างอยู่แน่”

“คุณซู่ ข้อมูลพวกนี้คุณไม่เห็นบอกกับพวกเราเลยนี่” หลินฮั่นมองไปที่ฉินเย่นิด ๆ

“อยากพูดอะไรหน่อยไหม”

ต้องพูดแน่ล่ะ…แต่ข้าจำเป็นต้องทำท่าทางกวนประสาทแบบนี้ด้วยหรือ?

ฉินเย่กลอกตาครั้งหนึ่ง และเล่าสิ่งที่เขาสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ให้ทุกคนฟัง ทุกคนนิ่งเงียบไป ครู่ต่อมาหลี่หยุนเซวี่ยก็พูดขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งมีเหตุผลในการเริ่มภารกิจมากขึ้น”

“ไปรนหาที่ตายน่ะเหรอ?” ฉินเย่แค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา

“ไม่” ซู่เฟิงพูด

“คุณฉิน คุณเพิ่งเข้าร่วมแผนกสอบสวนพิเศษ ยังมีอีกหลายอย่างที่คุณยังไม่รู้ ตัวอย่างเช่นคุณไม่รู้ว่าคะแนนความดีเหล่านี้มีค่าและหายากเพียงใด”

“เมื่อใดก็ตามที่เราทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้น เราจะได้รับคะแนนตั้งแต่น้อยที่สุด 50 คะแนนไปจนถึง 100 คะแนน ความดี สิ่งเหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นรางวัลกับแผนกสอบสวนพิเศษได้ ตั้งแต่อาวุธหินวิญญาณ หรือทรัพยากรอื่น ๆ พวกเขามีทุกอย่างอยู่ในคลังแล้วทั้งหมด!”

“ผมได้ยินมาว่าคลังของกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตกทอดมาจากราชวงศ์จีน หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ นั่นก็คือสมบัติที่สะสมมาหลายพันปี เกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ด้วยซ้ำ!”

“ด้วยแต้มความดี เราจะมีความพร้อมมากขึ้น อุปกรณ์ที่ดีกว่าเราจะได้รับแต้มความดีมากขึ้น มันเป็นวัฏจักรแห่งการเติบโตอย่างไม่รู้จักจบสิ้น…แม้ว่าเราจะละทิ้งอาวุธและสิ่งประดิษฐ์ที่เราหามาได้ แต่หินวิญญาณที่เราสามารถแลกเปลี่ยนแต้มความดีก็อยู่ในตัวมันเอง และเป็นสกุลเงินสากลที่สามารถใช้ได้ในสังคมมนุษย์ รวมถึงเงินต่างประเทศ”

“คุณฉิน…คุณรู้หรือไม่ว่าแต้มความดี 20,000 แต้ม ที่คุณครอบครองอยู่นั้นน่าอิจฉาขนาดไหน? ฉันจะได้หินวิญญาณกี่ก้อน? เราต้องใช้เวลานานเท่าไหร่คุณรู้ไหม จึงจะสะสมได้เยอะขนาดนี้”

ฉินเย่กะพริบตา “นานแค่ไหน?”

หลี่หยุนเซวี่ยพูดเสียงแผ่ว “แม้ว่าเราจะทำภารกิจทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่หยุดพัก ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปีในการสะสมแต้มความดีให้ได้ 20,000 แต้ม!”

“และอัตราแลกเปลี่ยนของหินวิญญาณคือ 10 แต้มความดีสำหรับหินวิญญาณก้อนเดียว คุณลองคำนวณดูสิ”

สองพันหินวิญญาณ!

ทันใดนั้นลูกบอลผนึกในกระเป๋าของฉินเย่ก็กระแทกที่ขาของเขาอย่างจัง ฉินเย่ไอแห้ง ๆ “ขอโทษนะ ฉันขอเข้าห้องน้ำก่อน”

บรรยากาศที่เร่าร้อนในห้องถูกขัดจังหวะทันที ริมฝีปากของทุกคนเริ่มกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ทันทีที่เขาออกจากห้องหลินฮั่นกะพริบตาถี่ ๆ และคิดอย่างสงสัย

“หรือเขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับไต?”

“นายจะอยากรู้ไปทำไม” หลี่หยุนเซวี่ยหัวเราะเย้ยหยัน

“น้องเซวี่ยเอ๋อร์ ว่าแต่ดูเหมือนเธอจะขับรถดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนี่ ไปสอบใบขับขี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

…………………………..

ทันทีที่ฉินเย่เข้าไปในห้องน้ำ เขาก็ดึงลูกบอลผนึกออกจากกระเป๋าทันที จนอาร์ทิสลอยขึ้นมาโดยอัตโนมัติ “หินวิญญาณสองพันก้อน! ข้าว่าเจ้าลองคิดดูดีอีกทีดีกว่านะ!”

ฉินเย่มองค้อนอีกฝ่ายตาเหลือก “ชีวิตของข้ามีค่าเพียงสองพันหินของวิญญาณงั้นรึ?”

“เจ้าคิดอะไรของเจ้าอยู่กัน? ชีวิตของเจ้าไร้ค่า.. แค่ก ๆ … โทษที … วางกระบี่ลงแล้วคุยกันดี ๆ เถอะ … “

อาร์ทิสไอแห้ง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจรับข้อเสนอนี่ คนอย่างเจ้าที่ให้ความสำคัญกับชีวิตของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด แต่ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใด การฝึกตนของเจ้าไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้เลย เจ้าสามารถพึ่งพาหลักฐานยืนยันตัวตนของเจ้าในฐานะยมทูต เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจ้าวนรกได้ แต่ที่ข้าจะกล่าวคือ…สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างนรกขึ้นมาใหม่!”

“ข้าได้ทำการคำนวณบางอย่างไว้แล้ว ความสามารถของอาณาจักรมนุษย์ในการสกัดและเก็บเกี่ยวแก่นแท้จากแสงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นลึกซึ้งและมีประสิทธิภาพ หากเจ้ามีศิลาวิญญาณสองพันก้อน มันก็เกือบจะเพียงพอที่จะสร้างแท่นเหนี่ยวนำวิญญาณต้นแบบแรกได้ด้วยซ้ำ”

ขมับของฉินเย่ดังตุบ ๆ “ แค่อันแรก? และเป็นเพียงต้นแบบเท่านั้นเหรอ!”

“โดยปกติแล้ว … ประเทศจีนมีหกหรือเจ็ดร้อยเมืองและอีกหลายพันจังหวัด แต่ละสถานที่จะมีแท่นเอาไว้ชักนำเหล่าวิญญาณ อย่างไรก็ตามข้ากำลังพูดถึงการชักนำวิญญาณระดับเบื้องต้น”

“การชักนำวิญญาณ….กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันจะเป็นสถานที่แรกที่วิญญาณหยินจะได้เห็นทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าสู่นรก!”

“ด้วยแท่นชักนำวิญญาณ วิญญาณหยินจะหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและสัญชาตญาณ! เมื่อเจ้ามีกำลังพลอยู่ในมือเจ้าก็จะสามารถเริ่มสร้างนรกขึ้นมาใหม่ได้อย่างแท้จริง!”

ฉินเย่รู้สึกงุนงง “แต่สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเจดีย์เจ็ดดาวปราบมารที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ได้อย่างไร?”

“แน่นอนว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องกัน!” เสียงของอาร์ทิสดังขึ้น

“ลองคิดดูสิ … ผีร้ายตัวนี้มีหรือจะโดนผนึกไว้เฉย ๆ ไม่ว่ายังไงพวกเราห้ามปลุกให้มันตื่นเด็ดขาด! เพราะเจ้าจัดการมันไม่ไหวแน่! ข้าว่าเจ้าไปเพิ่มตราผนึกที่เจดีย์เจ็ดดาวปราบมารอีกสักชั้นดีหรือไม่?”

ดวงตาของฉินเย่เบิกกว้างขึ้นทันที เขาจ้องไปที่อาร์ทิสราวกับเห็นผี

“ท่านกำลังบอกว่าเราควรสร้างทางเข้านรกใต้เจดีย์เจ็ดดาวปราบมารเหรอ? นี่ท่านยังไม่ได้บทเรียนจากเหตุการณ์ตอนที่เกิดกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์หรือไง?จำไม่ได้เหรอว่าท่านเกือบจะทำลายล้างนรกอยู่แล้ว! ท่านต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือ”

“ข้าพูดถึงความเป็นไปได้ต่างหาก!!” อาร์ทิสตอบด้วยความโกรธเคือง

“แท่นชักนำวิญญาณเป็นแหล่งรวมตัวของพลังงานหยินที่หนาแน่น หากมีสิ่งที่ถูกผนึกเอาไว้ที่แห่งนั้นจริงละก็ สิ่งนั้นจะต้องเป็นศูนย์รวมของพลังงานหยินมหาศาลอย่างแน่นอน! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพลังหยินในบริเวณนั้นหนาแน่นแค่ไหน? นอกจากสถานที่แห่งนี้แล้วเจ้ามีที่อื่นเหมาะสมมากกว่าที่นี่อีกหรือ? มีสถานที่อื่นที่มีพลังหยินหนาแน่นกว่านี้ไหม?”

“ประการที่สองการมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ใกล้ทางเข้า นั่นก็หมายความว่าไม่มีผ่านเข้าไปได้ รวมถึงจะไม่มีใครคอยเฝ้าระวังด้วย! ปลอดภัยแน่นอน”

“นรกสามารถดูดซับพลังหยินในสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ได้โดยอัตโนมัติ นี่คือสถานที่ที่ดีที่สุดในการวางรากฐานที่สำคัญของนรกอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความเคารพ ข้าไม่สามารถนึกถึงสถานที่ที่ดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการผนึกคู่ยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าผีร้ายจะไม่สามารถปลุกหรือหลุดออกจากผนึกได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง … มันจะกลายเป็นแหล่งพลังงานหยินที่จะสร้างพลังให้กับนรกแห่งใหม่!”

ฉินเย่หลับตาและไตร่ตรองตามคำพูดของอาร์ทิสเงียบ ๆ

เขาเข้าใจทุกอย่างที่อาร์ทิสพูด เจดีย์เจ็ดดาวปราบมาร ตามธรรมชาติจะถูกสร้างขึ้นเหนือตำแหน่งที่ผีร้ายอาศัยหรือถูกผนึกอยู่ และอาร์ทิสก็แนะนำว่าเขาควรจะสร้างทางเข้าสู่นรกใต้เจดีย์ปราบมาร ด้วยวิธีนี้ทางเข้าก็จะไม่มีพลังงานหยินเล็ดลอดออกมาได้

“แล้ว … จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันเกิดตื่นขึ้นมา” เขาถามอย่างระมัดระวัง

“นั่นคือเหตุผลที่เจ้าต้องไปลองดูด้วยตัวเอง” อาร์ทิสตอบว่า

“ ตราบใดที่เจ้าสามารถตรวจสอบได้ว่ามันยังคงถูกปิดผนึกดีแล้ว มันจะเป็นโอกาสของเรา!”

“และมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นสู่การเป็นจ้าวนรกของเจ้า”

[1]ดอกมันดารา มันดาลา คือ ศิลปะภาวนามีที่มาจากพระชาวทิเบตสร้างสรรค์งานศิลปะภายในวงกลมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset