บทที่ 82: บ้านผีสิง (3)
ยายเฒ่าบ้านี่!….ฉินเย่กัดฟันแน่นและเอ่ยว่า “ข่าวดี”
“ข่าวดีก็คือ ในเมื่อม่านพลังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ เจ้าก็ไม่น่าจะเป็นอันตราย ตราบใดที่เจ้าไม่ได้พยายามที่จะบุกเข้าไป”
“แล้วข่าวร้ายล่ะ?”
อาร์ทิสหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร [1] แม้ว่ากลุ่มของเจ้าจะเสี่ยงชีวิตและบุกมาที่นี่ แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ได้อะไรออกไปเลยแม้แต่อย่างเดียว รัฐบาลได้วางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว ซึ่งมันเกินกว่าที่เจ้าจะสามารถฝ่าฝืนได้ ต่อให้เจ้าจะโชคดีถึงขนาดที่สามารถระบุตำแหน่งของประตูแห่งชีวิตได้แล้วอย่างไร? หากเจ้าเข้าไป ทางรัฐบาลย่อมรู้ได้ทันที…และเมื่อเวลานั้นมาถึง แค่เจ้าไม่ถูกจับก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว แม้แต่แต้มกุศลก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้”
ให้ตายเถอะ… ฉินเย่กัดฟันกรอด
ทว่าทันใดนั้น อาร์ทิสก็เอ่ยต่อด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมว่า “แต่-!”
“…ท่านช่วยพูดมันให้จบประโยคภายในคราวเดียวเลยไม่ได้หรืออย่างไร?!”
“แบบนี้มันน่าตื่นเต้นกว่า…เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสเอ่ยตอบอย่างจริงใจ “มันยังมีอีกทางหนึ่ง ซึ่งมันก็คือการทำให้เจ้าของเขตไล่ล่าแห่งนี้ยอมช่วยเจ้า เขาคือผู้ที่รู้จักที่แห่งนี้ดีที่สุด ดังนั้นเขาต้องรู้แน่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่”
“ผู้อื่นอาจจะไม่สามารถทำเช่นนี้ เนื่องด้วยความกระหายเลือดของวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ แต่เจ้าอาจจะเป็นข้อยกเว้น”
ทันใดนั้นทั้งสองก็ชะงักค้างก่อนจะหันไปมองยังทิศทางหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นอย่างกะทันหัน ตัดผ่านความเงียบสงัดของยามค่ำคืน
“ฮืออ…ฮืก…..ฮืออออ….” เสียงสะอื้นไห้ดังก้องมาจากห้องที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขา
มันมาจากห้องอาบน้ำ
ห้อง 124
เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นกลางดึก
ฟึ่บ…ฉินเย่ดึงกระบี่ปีศาจออกมาจากฝักขณะที่อาร์ทิสเอ่ยเสียงเบา “ว่าอย่างไร?…เจ้าพร้อมที่จะลองหรือไม่?”
“…ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คือยมทูต และการปราบวิญญาณเหล่านี้ก็เป็นหน้าที่ของข้า ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”
“แล้วถ้ามันไม่ได้ข้าเล่า?”
“แน่นอน ข้าก็จะปล่อยมันไปแล้วไม่สนใจมันอีก” ฉินเย่มองลูกบอลผนึกด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับว่ามันเป็นเพียงทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับตน
ทำไมท่านถึงถามอะไรไม่คิดแบบนั้น?
“….ดี แบบนั้นจึงจะสมกับเป็นเจ้า”
“ฮึก ฮือออ…” เสียงสะอื้นดังลอยมากตามทางเดินพร้อมกับสายลม และไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
ฉินเย่เดินออกจากห้องที่ตนอยู่และมุ่งหน้าไปที่ห้องอาบน้ำ 124
ประตูห้องถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันไม่ได้ถูกเปิดใช้มานานเพียงใด ทันทีที่ฉินเย่ทาบมือของเขาลงไปบนบานประตู เสียงไฟฟ้าสถิตดังขึ้นในอากาศและไฟห้องอาบน้ำก็พลันเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ไฟฟ้าได้ถูกตัดไปนานมากแล้ว แต่วินาทีนี้ไฟภายในห้องกลับสว่างขึ้น
หลอดไฟที่เต็มไปด้วยฝุ่นส่องแสงสลัว ในขณะที่ทางเดินด้านนอกมืดสนิท นี่เป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงอย่างเดียวท่ามกลางความมืดอันไร้ขอบเขตนี้ ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างไม่แน่เชื่อ หากพูดกันตามจริง…มันทำให้ห้องดูน่าขนลุกมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ใครเป็นคนเปิดไฟท่ามกลางความมืดแบบนี้กัน?
เด็กหนุ่มผลักบานประตูและเดินเข้าไปด้านใน ภายใต้แสงไฟสลัว เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าห้องอาบน้ำตรงหน้านี้แตกต่างกับส่วนอื่น ๆ ของตึกอย่างสิ้นเชิง
ส่วนที่เหลือของบ้านพักคนชรานั้น มีตัวอักษรสีดำและสีแดงถูกขีดเขียนเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีรอยขีดข่วนเต็มไปหมด มันเหมือนกับ…สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมไม่มีผิด!
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทุกแห่ง ทว่าด้วยเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน คราบเลือดที่ติดอยู่จึงเปลี่ยนเป็นคราบสีม่วงเข้มผิดปกติ ทั้งบนกระจก เพดาน บานประตู และแม้แต่บนพื้นต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนา มีแม้กระทั่งแมลงที่ตายแล้วและหนอนซากศพที่ปะปนอยู่ในกองเลือดขนาดใหญ่ มันส่งกลิ่นเหม็นโชยอย่างไม่น่าเชื่อ
บนผนังมีรอยขีดข่วนมากมาย และรอยทั้งหมดก็ล้วนเป็นสีม่วงเข้ม ผู้พบเห็นสามารถจินตนาการได้เลยว่า ผู้ที่เป็นเหยื่อนั้นดิ้นรนมากเพียงใดก่อนสิ้นลม
“ฮืออ…ฮือออ..” เสียงสะอื้นดังมาจากห้องน้ำห้องในสุด บานประตูถูกเปิดแง้มไว้ ราวกับมันคือกล่องแพนโดร่า เชื้อเชิญให้ผู้ที่พบเห็นเปิดมัน เพียงเพื่อที่จะพบกับวิญญาณอาฆาตที่แท้จริง
ฉินเย่ผลักประตูเปิดออกอย่างไม่ลังเล
ห้องน้ำในบ้านพักคนชราแห่งนี้มีความยาวมากกว่าห้องน้ำทั่วไป มันมีความยาวลึกเข้าไปประมาณสองเมตร ด้านในสุดของมัน ร่างของสุภาพสตรีผมขาวที่สวมชุดงิ้วนั่งอยู่บนฝาโถชักโครกที่ถูกปิดสนิท กำลังร้องไห้อย่างไม่หยุดหย่อน
มันเป็นชุดสีเขียว
ทันทีที่ฉินเย่เดินเข้าไป บานประตูก็ปิดลงอย่างแรงจนเกิดเสียงดังปัง!….
และในวินาทีนั้นเอง ‘คน’ ที่นั่งอยู่บนฝาโถชักโครกก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา
ใบหน้าของนางซีดเผือดไร้สีเลือด ผมที่กระเซอะกระเซิงแยกออกเล็กน้อยเผยให้เป็นดวงตาที่โดดเด่น
มันไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์ กลับกัน….มันคือดวงตาสีแดงก่ำที่มีคราบเลือดติดอยู่รอบ ๆ!
“มันก็ยังไม่พบคลื่นพลังหยินอยู่ดี…เจ้าแน่ใจหรือเปล่าที่ตัวเองเป็นวิญญาณอาฆาตจริง ๆ? มันดูไม่มืออาชีพไปหรือไง?” ฉินเย่ใช้กระบี่ชี้ไปยังดวงวิญญาณตรงหน้า และขณะที่เขากำลังจะฟันมัน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง -โฮ่ง?
ผมขาวบนศีรษะค่อย ๆ แยกออกจากกันมากกว่าเดิม เผยให้เห็นใบหน้าแก่ ๆ ของสุนัขขนสีเหลือง
ร่างทั้งร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยชุดงิ้ว ก่อเป็นภาพลวงตาหลอกให้ผู้ที่เห็นคิดว่ามันคือสิ่งมีชีวิตคล้ายกับมนุษย์ที่กำลังนั่งอยู่บนฝาของโถชักโครกที่ปิดอยู่
สุนัขปีศาจตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวฉินเย่เลยสักนิด กลับกัน มันกระโจนออกจากชุด…หยุดลงที่ด้านข้างของเด็กหนุ่ม เริ่มถูร่างของมันกับขาของเขา แลบลิ้นห้อยออกมาและกระดิกหางไปมาอย่างดีใจ
มันผอมอย่างน่าเหลือเชื่อ
ผอมจนมองเห็นซี่โครง
“นี่คือ?” ฉินเย่หยิบโซ่ที่ตกอยู่ด้านหลังของเจ้าสุนักปีศาจขึ้นมาดูและดึงมันเบา ๆ หลังจากที่เห็นว่ามันได้ผูกอยู่กับสิ่งใด เขาก็ปล่อยมือทันที
“หืม? เจ้ารู้แล้วหรือ?” อาร์ทิสยิ้มอย่างรู้ทัน
ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมกว่าเดิม ฉินเย่พยักหน้า “โซ่เส้นนี้ขึ้นสนิมจนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มไปหมดแล้ว และมันก็ถูกผูกไว้กับท่อน้ำทิ้ง ซึ่งหมายความว่า…โซ่เส้นนี้คงจะอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานมากแล้ว”
ฟึ่บ…เขาดึงกระบี่ปีศาจออกมาและใช้มันชี้ไปที่สุนัขสีเหลือง “แต่มันยังไม่ตายนี่…”
“แกเป็นตัวอะไรกันแน่?”
น่าเสียดายที่เจ้าสุนัขตรงหน้าไม่เข้าใจคำพูดของเขาเลยสักนิด มันยังคงกระดิกหางและจ้องมองฉินเย่ด้วยดวงตากลมโตสีแดงของมัน
“มันคือผีดิบ” อาร์ทิสอธิบาย “มันตายมาเป็นเวลานานมากแล้ว และหากเจ้าดูที่ตาของมัน….เจ้าก็จะสามารถบอกได้ว่ามันเคยฆ่าคนมาก่อน คราบเลือดได้ปกคลุมไปทั่วดวงตาของมัน และศพของมันก็กลายไปเป็นผีดิบ เจ้าปีศาจนี่ไม่ได้คร่าชีวิตเพียงชีวิตเดียว แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น มันได้ถูกใครบางคนล่ามไว้ที่นี่ และไม่ได้ออกไปไหนเลยนับจากนั้น”
“แต่ถ้ามันเคยฆ่าคนมาก่อน เหตุใดมันจึงไม่มีท่าทีดุร้ายกับข้าเลยสักนิด?”
อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ว่า “เมื่อครั้งมีชีวิต มันจะต้องเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์กับเจ้านายมากแน่ ๆ ในเมื่อเจ้านายของมันไม่ปล่อยมัน มันก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ความปรารถนาของมันได้รับการเติมเต็มแล้ว และข้าก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะไม่โจมตีผู้ใดอีก”
ฉินเย่กะพริบตาปริบอย่างประหลาดใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มจับเข้าที่คอของสุนัขและยกมันก็ขึ้นมา ร่างของมันเย็นเฉียบและไร้ซึ่งพลังงานความร้อนใด ๆ ในร่างกาย
โซ่ถูกล็อกอยู่กับปลอกคอหนังที่เริ่มชำรุด สีของปลอกคอหนังจางลงจนสามารถมองเห็นเศษหนังสีน้ำตาลเหลืองที่ฐานของปลอกคอนั้น มีป้ายชื่อแผ่หนึ่งแขวนอยู่
ฉินเย่ปัดฝุ่นที่อยู่บนป้ายออก เผยให้เห็นคำสองคำ
“ผู้เฒ่า…ฮวง?” หลังจากที่อ่านคำทั้งสองคำนั้นออกมาเสียงดัง เขาก็ครางออกมาทันที “อย่างนี้นี่เอง”
12 ธันวาคม
ผู้เฒ่าหวงได้ฆ่าผู้ดูแลและพยาบาลที่อยู่ภายในบ้างพักคนชราแห่งนี้ทั้งหมด!
ฉันมัดเขาเอาไว้…
มันคือฝีมือของยวีชิวฉิง!
“ที่ผ่านมา ข้าคิดว่าผู้เฒ่าฮวงเป็นมนุษย์มาตลอด ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่ามัน…จะเป็นสุนัข” ฉินเย่ถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าของที่แท้จริงของเขตไล่ล่าแห่งนี้ไม่ใช่ยวีชิวฉิง แต่คือ…ผู้เฒ่าฮวง”
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงผีดิบเท่านั้นที่สามารถฆ่าคนได้มากขนาดนี้!
นั่นเป็นทางเดียว ที่สามารถทำให้บ้านพักคนชรากลายเป็นเขตไล่ล่าได้!
ในที่สุดปริศนาทั้งหมดก็ถูกรวมเข้าด้วยกัน เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมา “ยวีชิวฉิงไม่เคยบอกมาก่อนว่าผู้เฒ่าฮวงคือสุนัข นอกจากนี้นางยังเรียกมันว่า ‘เขา’ แทนที่จะเป็น ‘มัน’ นางยังพูดอีกว่านางมัดผู้เฒ่าฮวงเอาไว้ ข้าคิดว่า…นางคงจะคิดผู้เฒ่าฮวงเป็นญาติเพียงคนเดียวที่นางเหลืออยู่ในขณะที่ยังมีชีวิตกระมัง…”
“ยวีชิวฉิงนับว่ามันเป็นครอบครัวของนาง และผู้เฒ่าฮวงเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน มันคงจะเห็นยวีชิวฉิงถูกทำร้ายและปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้….หลังจากที่ตายไป มันจึงกลายเป็นผีดิบ ฆ่าหัวหน้าพยาบาลและผู้ดูแลทุกคนในบ้านหลังนี้ด้วย” เขาลูบหัวของผู้เฒ่าฮวงเบา ๆ และราวกับว่ามันเข้าใจสิ่งที่ฉินเย่เอ่ย ผู้เฒ่าฮวงถูหัวของมันกับมือของเด็กหนุ่มเบา ๆ
มันเย็นเฉียบ
ทว่าก็อบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
“และยวีชิวฉิง เนื่องจากกลัวว่าผู้เฒ่าฮวงจะได้รับอันตราย นางจึงล่ามเขาเอาไว้ในห้องน้ำห้องสุดท้ายของห้องอาบน้ำ แต่น่าเศร้ายิ่งนัก…นางไม่รู้เลยว่าในเวลานั้นผู้เฒ่าฮวงได้ตายไปแล้ว…”
“ฆ่าทุกคนที่ทำร้ายเจ้านายของตัวเอง…ข้าคิดว่ามันคือเหตุผลที่ทำให้มันยังอยู่ที่นี่…”
ฉินเย่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจเจ้าสุนัขตัวนี้เลยสักนิด แม้ว่ามันจะตายไปเป็นเวลานานมากแล้วก็ตาม เขาไล่มือไปตามซี่โครงของมัน สัมผัสได้ว่ามันมีเพียงผิวหนังที่หุ้มกระดูกเอาไว้เท่านั้น แทบจะไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าชีวิตและประสบการณ์แบบใดที่ทั้งคู่ หนึ่งหญิง หนึ่งสุนัข เคยประสบมา
ทั้งสองคงมีเพียงกันและกันเท่านั้นให้พึ่งพา
“ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าทำสิ่งใดผิดเลยสักนิด” เขาลูบหัวมันและลุกยืนขึ้น “หากข้าเป็นตุลาการนรก ในชาติหน้าของเจ้า….ข้าจะไม่ส่งเจ้าไปยังพิภพอสูรเป็นอันขาด”
“เพราะสุดท้ายแล้ว เจ้าก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
เด็กหนุ่มปลดโซ่ที่ล่ามไว้ที่คอของผู้เฒ่าฮวงออก แต่เจ้าสุนัขผีดิบไม่ได้หนีไปไหน มันเพียงนอนลงที่เท้าของฉินเย่อย่างประจบ
ดวงตาของฉินเย่ไหววูบ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าของเขตไล่ล่าแห่งนี้…แท้จริงแล้วจะเป็นสุนัขผีดิบ
“เจ้าช่างโชคดีจริง ๆ” อาร์ทิสเอ่ย “ทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่เจ้าก็สามารถมีความสุขจากโชคลาภอันยิ่งใหญ่นี้…นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ผู้คนมักพูดว่าคนชั่วมักจะมีชีวิตที่ยืนยาวกระมัง”
ฉินเย่ยิ้ม
ใช่แล้ว เขาเองก็รู้สึกว่าวันนี้เขาโชคดีมากจริง ๆ
ผู้ใดจะไปรู้กันว่าเจ้าของเขตไล่ล่าจะไม่ใช่มนุษย์? และตอนนี้ ด้วยการมีผู้เฒ่าฮวงอยู่รอบ ๆ มันได้เพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้เขา
ความเป็นไปได้…ที่อาจจะส่งผลให้เขาสามารถทลายม่านพลังได้สำเร็จ!
“ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด ในเมื่อเจ้าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ ว่าสิ่งใดที่เปลี่ยนให้เจ้ามาเป็นผีดิบหลังจากที่เจ้าตาย? แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อนคนอื่น ๆ ของข้าอยู่ที่ใด?”
ผู้เฒ่าฮวงยกหูของมันขึ้นและฟังคำถามของฉินเย่ ทว่าทันใดนั้นมันก็ลุกขึ้นยืน ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน กระดูกสันหลังของมันโค้งงอและเริ่มส่งเสียงคำรามออกมา ขนบริเวณหลังของมันลุกชันขณะที่มันจ้องไปยังประตูห้องน้ำอย่างระแวดระวัง
ฉินเย่ชะงักไป กระบี่ปีศาจในมือของเขาพลันระเบิดเปลวเพลิงสีเขียวออกมา จากนั้น เขาจึงกลับหลังหันไปมองไปที่ประตูห้องน้ำเช่นกัน
ตึก…ตึก…เสียงที่ชัดเจนดังก้องไปทั่วทั้งทางเดิน ในขณะเดียวกัน คลื่นพลังหยินที่เข้มข้นก็ปกคลุมไปทั่วชั้นที่หนึ่ง!
มันเป็นเสียงของรองเท้าส้นสูงที่กระทบกับพื้น
“พลังหยินขั้นนักล่าวิญญาณ…” ฉินเย่หรี่ตาลง “อาร์ทิส ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นใคร?”
อาร์ทิสเองก็งุนงงไม่แพ้กัน นางจึงตอบว่า “ข้าไม่รู้…เขตไล่ล่าแห่งนี้….มันแปลกมาก แม้แต่ในมุมมองของผู้ที่มีประสบการณ์มามากมายอย่างข้าเองก็ตาม เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันคือผลกระทบจากวิญญาณที่มีค่าพลังหยิน 30 ล้านที่อยู่ในเขตไล่ล่าแห่งนี้? เขตไล่ล่าที่มีเจ้าของมากกว่าหนึ่งอย่างนั้นหรือ? นอกจากนี้ ในไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่นี่ยังไม่มีวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณเลยสักตน แต่…วิญญาณพวกนี้กลับบรรลุขั้นภายในไม่กี่วันน่ะหรือ?”
วิญญาณที่มีค่าพลังหยิน 30 ล้านจะต้องกระตุ้นอะไรบางอย่างในคืนนั้นเป็นแน่
ตึก…ตึก….เสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้นอย่างชัดเจน ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งทางเดิน และไม่นาน…เจ้าของรองเท้าก็หยุดลงที่บริเวณห้องอาบน้ำ
ครืดดดดดดด….เสียงของเล็บที่แหลมคมขูดไปตามประตู ที่ทำจากไม้ของห้องน้ำดังก้องไปในอากาศ ประตูของห้องน้ำห้องแรกถูกเปิดออก
ฉินเย่ลอบมองออกไปด้านนอกผ่านช่องว่างระหว่างบานประตูและพื้น
แสงไฟสลัววูบไหวอย่างน่าขนลุก ทว่าไม่ว่าฉินเย่จะมองไปทางไหน เขาก็มองไม่เห็นเงาบนพื้นเลยสักนิด!
ทุกอย่างมืดสนิท บ้านพักคนชราร้างในกลางดึกของค่ำคืน และอะไรบางอย่างกำลังเปิดประตูห้องน้ำออกทีละห้อง
ประตูบานที่สอง ประตูบานที่สาม ห้องอาบน้ำแห่งนี้มีห้องน้ำเพียงแค่สี่ห้องเท่านั้น และในวินาทีที่ประตูบานที่สามถูกเปิดออก ฉินเย่ก็ได้ยินเสียงของรองเท้าส้นสูงหยุดลงที่หน้าประตูของห้องน้ำที่เขายืนอยู่
และตอนนี้เขาก็เห็นรองเท้าส้นสูงสีขาวราวหิมะ ผ่านช่องว่างระหว่างประตูกับพื้น
มันเปื้อนไปด้วยรอยเลือดสีแดงเข้ม
และมันก็ยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับ และจ้องมองฉินเย่ผ่านบานประตูไม้ที่กั้นระหว่างทั้งคู่เอาไว้
[1] สำนวนจีนหมายถึงความโลภจะชักนำมนุษย์ไปสู่หายนะ