บทที่ 90: การฝึกอบรมของเหล่าอาจารย์ (2)
“ชื่อเสียงของหลี่เทายิ่งเป็นที่รู้จักมากกว่าอีก” จ้าวไห่หลงรู้สึกดีเป็นอย่างมากที่ได้สานสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนระดับ S ที่อายุน้อยกว่าเขาถึง 20 ปี
เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับ B และกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะทะลวงระดับขั้น เพื่อก้าวสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ และไม่มีใครในครอบครัวสามารถช่วยเขาในเรื่องนี้ได้ การพูดคุยกับฉินเย่ในวันนี้ย่อมปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ต่อไปในอนาคตได้แน่
หากอีกฝ่ายไม่ได้โง่หรือดวงตก ฉินเย่น่าจะได้เลื่อนขึ้นเป็นขั้นยมทูตขาวดำในอนาคตเป็นแน่
ขั้นยมทูตขาวดำ! หากเขาได้พบกับผู้ว่า พวกเขาทั้งคู่ก็ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน!
ดังนั้นเขาจึงอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด “ในยุค 90 ในช่วงแรกที่ประเทศได้เข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การส่งผ่านข้อมูลยังไม่ราบรื่นนัก และนั่นจึงทำให้ผู้เฒ่าหลี่สร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมา”
“แม้แต่แอป ‘สังหาร’ ที่ทุกคนใช้เองก็ยืมโครงสร้างและรูปแบบมาจากเว็บไซต์ฤกษ์มงคลเช่นกัน สำหรับคุณมันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่….ด้วยความสัตย์จริง หากคุณมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยนั้น คุณก็จะรู้ว่าเว็บไซต์ฤกษ์มงคลนั้นน่าทึ่งและได้รับความนิยมในหมู่ผู้ฝึกตนมากเพียงใด”
“คุณอาจจะเรียกมันว่าดินแดนแห่งพันธสัญญาของเหล่าผู้ฝึกตนเลยก็ว่าได้! ข้อเท็จจริงที่พวกเขาสามารถเชิญคนระดับสูงเช่นเขามาเป็นรองผู้อำนวยการได้นั้นแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่ทางสำนักใช้ในการจัดการ”
ฉินเย่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
กลับมาที่ด้านหน้าของห้องบรรยาย เมื่อสวี่อันกั๋วและหลี่เทาได้กล่าวแนะนำตัวและกล่าวสุนทรพจน์จนเสร็จสิ้น สีหน้าของทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมกว่าเดิม สวี่อันกั๋วก้าวออกมาด้านหน้าและเอ่ยว่า “การประชุมของคณาจารย์ในวันและการฝึกอบรมของเหล่าอาจารย์ที่กำลังจะมาถึงนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาสำคัญบางอย่าง”
เขากวาดสายตามองหน้าทุกคน “พวกเราทุกคนที่นี่ต่างอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ ทันทีที่พวกเราก้าวออกไปจากห้องบรรยายนี้ ผู้ฝึกตน 70% จากทั่วโลกจะต้องให้ความเคารพพวกเราและยอมรับในฐานะของศิษย์พี่ พวกเรามีอำนาจที่จะพูดคุยเล่นกับระดับผู้ว่าของมณฑล เลขานุการ หรือนายกเทศมนตรี หรือผู้นำคนอื่น ๆ ของทั่ว่ทั้งดินแดน แต่…ผมขอถามทุกท่านที่นี่ – พวกคุณเคยมีประสบการณ์ในการสอนมาก่อนหรือไม่?”
ชายสูงวัยมองไปรอบ ๆ และสายตาของเขาก็หยุดลงที่ฉินเย่ หืม? เขารู้สึกคุ้นหน้าเด็กคนนี้ยังไงชอบกล
“คุณ…อาจารย์ธีโม คุณช่วยให้คำตอบกับผมที”
“ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆ!!!!” หลินฮั่นระเบิดหัวเราะออกมาจากด้านหลังของห้องบรรยาย ทว่าบริเวณด้านหน้าของห้อง โจวเซียนหลงกำลังโมโหเป็นอย่างมาก ไอ้เด็กเวรพวกนี้เป็นลูกน้องของเขา…มันชักจะอวดดีเกินไปแล้ว!
จากนั้น ด้วยเสียงฮึดฮัดที่ดังขึ้นในลำคอและการดีดนิ้วเบา ๆ หลินฮั่นก็พลันนิ่งไป
ฉินเย่ลุกขึ้นยืนอย่างหงุดหงิดและอับอาย เฮอะ!…ก็ได้! เขาคือปีศาจธีโม! แล้วฉันก็รู้แค่วิธีเพาะเห็ดเท่านั้น! พวกนายพอใจกันหรือยังล่ะ?!
เขานั่งอยู่ตรงกลางของห้อง และเขาสามารถเห็นเหล่าคณาจารย์ในวัย 30 หรือ 40 บางคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าพยายามข่มกลั้นไม่ให้ไหล่ของตัวเองสั่น ขณะที่กำลังต่อสู้กับการยับยั้งเสียงหัวเราะของตัวเอง
“ไม่ครับ!” ฉินเย่สูดหายใจเข้าจนลึกสุดปอดและเอ่ยเสริมอย่างติดตลกว่า “ผมรู้แค่วิธีเพาะเห็ดอย่างเดียว!”
โอเค เขายอมแพ้
“ฮ่า ๆๆๆๆ!” อาจารย์หลายคนที่นั่งอยู่แถวหน้าระเบิดหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหวทันที แม้ว่าหลินฮั่นจะถูกทำให้พูดไม่ได้แต่เขาก็ยังทุบโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าของตนขณะที่พยายามจะหัวเราะออกมาเหมือนกับคนอื่น ๆ
“เงียบ!!” โจวเซียนหลงไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ตะคอกออกไปด้วยเสียงอันทรงพลัง ทำให้ทั่วทั้งห้องบรรยายกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลี่เทาที่เห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ “ทุกท่าน ในภายภาคหน้า พวกเราทั้งหมดกำลังจะมาเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ชื่อของผู้ฝึกตนนั้นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ กรุณารักษามารยาทด้วย”
“อึก… ” คลื่นเสียงลูกที่สองดังก้องไปทั่วห้องบรรยายราวกับสายลมที่อ่อนโยน
สวี่อันกั๋วที่เห็นเช่นนั้นจึงยกมือส่งสัญญาณให้ฉินเย่ “นั่งลงได้”
ฉินเย่นั่งลงอย่างโมโหและมองไปยังเหล่าผู้ที่หัวเราะเยาะเขาอย่างน่ากลัว ถ้าเขาออกโรงเอง เขาจะไม่ปล่อยคนพวกนี้ไปง่าย ๆ แน่! ดูสิว่าคนพวกนี้จะยังหัวเราะเขาอยู่ไหม?
จากนั้น สวี่อันกั๋วคงเอ่ยต่อว่า “ถูกต้อง ไม่มีใครในที่นี้มีประสบการณ์ในการสอนมาก่อน ทว่ามันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าจำนวนนักเรียนกลุ่มแรกที่จะเข้ามาศึกษามีถึง 1,500 คน และพวกคุณทุกคนก็คือผู้ที่ได้รับเลือกและคัดเลือกโดยกลุ่ม นิกายที่มีชื่อเสียง และกลุ่มพันธมิตรในแต่ละมณฑล นคร และเมืองต่าง ๆ”
“การที่สำนักฝึกตนแห่งแรกจะสามารถสร้างผลลัพธ์และสร้างชื่อให้กับตัวเองได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับอาจารย์ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ ใช่ เหล่าผู้ที่สมัครเข้ามาในสำนักอาจจะไม่ใช่พวกหัวกะทิ เพราะกลุ่ม นิกาย และกลุ่มพันธมิตรของพวกเขาอาจจะไม่มั่นใจและกังวลเช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องพยายามทำให้ดีที่สุด! แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่หัวกะทิ แต่เราก็ต้องทำให้พวกเขาเป็นหัวกะทิให้ได้! มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้มั่นใจได้ว่านักเรียนกลุ่มต่อไปจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ! แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่ผ่านคุณสมบัติขั้นพื้นฐานเลยด้วยซ้ำ!”
“คุณน่ะ คนที่หัวเราะเสียงดังที่สุด” หลี่เทาชี้นิ้วไปที่หลินฮั่น “ผมขอถามอะไรคุณสักข้อ…คุณจะทำอย่างไรหากผู้ฝึกตนที่อยู่ภายใต้ความดูแลของคุณไม่เชื่อฟัง?”
“ซัดเขาน่วมไงละ!” คำตอบของหลินฮั่นนั้นตรงไปตรงมาอย่างเช่นเคย ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบ ร่างของเขาก็กระเด็นไปกระแทกกับผนังด้านหลังและร่วงลงกับพื้นอย่างแรงราวกับตุ๊กตา
ใบหน้าของโจวเซียนหลงในเวลานี้ซีดลง เนื่องจากความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุขึ้นภายในใจ
อย่างไรก็ตามหลี่เทาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวโจวเซียนหลงเลยสักนิด ความอาวุโสและชื่อเสียงของเขาทำให้เขามีอำนาจพอที่จะสามารถพูดสิ่งที่อยู่ภายในใจของตัวเองออกมา “เห็นไหม แม้แต่รองผู้ตรวจการโจว ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยยังไม่สามารถสร้างแบบอย่างที่ดีให้แก่พวกเราได้ จงอย่าลืมว่าที่นี่เป็นโรงเรียน สิ่งที่สำคัญที่สุดในทุกโรงเรียนก็คือความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน การบ่มเพาะนั้นเป็นเรื่องรองลงมา”
“การสอนนั้นจำเป็นจะต้องใช้ความสามารถเฉพาะทาง อย่างที่ทุกท่านเห็น บรรยากาศในวันนี้นั้นไม่เป็นระเบียบและวุ่นวายไปหมด แน่นอน ในฐานะของผู้ฝึกตน พวกคุณจะต้องรับผิดชอบต่อความมีวินัยตัวเอง แต่นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ในสำนักฝึกตนแห่งนี้!”
สวี่อันกั๋วทุบโพเดียมตรงหน้าของตนอย่างแรงและเอ่ยด้วยเสียงที่ดังชัดเจนว่า “สิ่งที่พวกเราจะต้องเผชิญหน้าในอนาคตอาจจะเป็นกองทัพของวิญญาณหยิน! พวกเรากำลังพูดถึงการทำสงครามกับยมโลก! นี่ไม่ใช่ข้อพิพาทส่วนตัวหรือการแข่งขันระหว่างผู้ฝึกตนอีกต่อไป! สิ่งที่พวกเราต้องการก็คือระเบียบวินัย! เราต้องการระบบ! ความเป็นมืออาชีพ! นี่คือเหตุผลว่าทำไมนิกายใหญ่ ๆ และกลุ่มพันธมิตรทั้งหมดถึงเต็มใจที่จะแบ่งปันสมบัติและศาสตร์เร้นลับของพวกเขากับเรา!”
“ผู้เฒ่าหลี่และผมได้วางแผนที่จะก่อตั้งสำนักสำหรับผู้ฝึกตนมานานหลายสิบปีแล้ว พวกเราทั้งคู่พูดคุยเรื่องนี้กันจนน้ำลายแห้ง! พวกเรา ในฐานะของผู้บริหาร ขอให้ทุกท่านที่ไร้ซึ่งระเบียบวินัยออกไปจากโรงเรียนนี้ ละทิ้งความมุ่งมั่นของตนเองไปเสีย ไม่ว่าจะอยู่แผนกใดก็ตาม! จงจำเอาไว้ให้ดี ไม่ว่าพวกคุณจะน่าทึ่งหรือมีชื่อเสียงมากเพียงใดก็ตาม พวกคุณจะต้องรู้จักถ่อมตัวเมื่ออยู่ในสำนักฝึกตนนี้!”
ไร้เสียงตอบรับใด ๆ
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสวี่อันกั๋วจะพูดกับพวกเขาแบบนี้
ริมฝีปากของโจวเซียนหลงอ้าออกเล็กน้อย วินาทีนี้เขาเข้าใจทันทีเลยว่าทำไมเขาถึงไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการของสำนักฝึกตน แม้ว่าจะดับการฝึกฝนของเขาจะโดดเด่นมากเพียงใดก็ตาม
“ขออภัยที่เสียมารยาท” เขาลุกขึ้นยืนและประสานฝ่ามือและกำปั้นเพื่อทำความเคารพสวี่อันกั๋วและหลี่เทาเงียบ ๆ และจากนั้นจึงหันไปหาคนอื่นๆ ทำเช่นเดียวกัน ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
ในเวลานี้ คนทั้งหมดนั้นดูจริงจังอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ ฉินเย่เองก็เช่นกัน เขาจ้องมองไปยังคนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยแววตาที่ไหววูบ
ตาแก่สองคนนี้…
รีบ ๆ ตายซะนะ…ไม่ อย่าเพิ่ง…ช่วยรอให้เขาสร้างนรกขึ้นมาใหม่ก่อนแล้วค่อยตาย….
วิญญาณของคนทั้งคู่ถูกเขาจับจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
สวี่อันกั๋วตอบกลับโจวเซียนหลงไปด้วยท่าทางเดียวกัน ก่อนจะเอ่ยกับผู้ฟังทั้งหมดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ด้วยเหตุนี้ การฝึกอบรมของเหล่าอาจารย์จำมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ผมไม่ต้องการให้นักเรียนใหม่คนใดมีส่วนร่วมกับอุบัติเหตุหรือสถานการณ์ที่ควรหลีกเลี่ยงใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นผู้เฒ่าหลี่และผมจึงได้ร่างกฎและข้อกำหนดขึ้นมา มันยังเหลือเวลาอีกสองเดือนกว่าจะสิ้นวันหยุดฤดูหนาว ทุกท่านจะได้มีเวลาปรับตัวกับข้อบังคับเหล่านี้จนชิน”
หลี่เทาเปิดเอกสารและเริ่มเอ่ย “ข้อแรก นักเรียน อาจารย์ ศาสตราจารย์ทุกคนสามารถรับงานและภารกิจได้ด้วยตนเอง สำนักงานกิจการภายนอกสำนักจะจัดการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานและภารกิจที่ได้รับมอบหมาย รวมถึงการคัดเลือกงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน ในแต่ละครั้งที่สามารถทำภารกิจสำเร็จลุล่วง นักเรียนจะได้รับคะแนนสิบคะแนน และผู้สอนของพวกเขาจะได้รับคะแนนคุณสมบัติห้าคะแนน”
“จงอย่าประเมินคะแนนเหล่านี้ต่ำไป ผมจะอธิบายแบบนี้ก็แล้วกัน ผู้ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้ตนภายในสำนักฝึกตนได้จะกลายเป็นผู้ที่ถูกต้องการตัวมากที่สุดในทันทีที่ออกไปจากที่นี่ นักเรียนแต่ละคนจะได้รับคะแนนเริ่มต้นที่ 100 คะแนน เมื่อใดก็ตามที่จำนวนคะแนนต่ำกว่า 60 คะแนน นักเรียนคนนั้นจะถูกไล่ออกเมื่อสิ้นสุดภาคเรียนนั้น และหากจำนวนนักเรียนที่ถูกไล่ออกภายใต้การดูแลของผู้สอนมีมากเกินสองคน ผู้สอนคนนั้นจะถูกขอให้ยื่นจดหมายลาออกเช่นกัน”
“และมันหมายความว่าคุณไม่เหมาะสมที่จะเป็นครู” สวี่อันกั๋วเอ่ยเสียงเรียบ
หลี่เทาอ่านต่อ “ข้อ 2 ด้วยความพิเศษของสำนักฝึกตน พวกเราจะสอนนักเรียนของเราตามความถนัดของพวกเขา การสอนจะแบ่งออกเป็นห้าสาขาใหญ่ ๆ สาขาช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ สาขาวิทยาศาสตร์และการทำวิจัย สาขาการผลิต สาขาทฤษฎี และสาขาการต่อสู้”
เขาเงยหน้าขึ้นและเอ่ยต่อ “ผมได้อ่านประวัติของพวกคุณทุกคนแล้ว และพวกคุณแต่ละคนก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง บางคนเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ในขณะที่บางคนเก่งในด้านทฤษฎี พวกเราจะจัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของพวกคุณเช่นกัน โปรดปฏิบัติตามข้อกำหนดที่พวกเราได้เตรียมการเอาไว้”
“นอกจากนี้…” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “ในวันปีใหม่จะมีการจัดการแข่งขันกระชับมิตรระหว่างเหล่าอาจารย์จากสาขาช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ สาขาวิทยาศาสตร์และการทำวิจัย และสาขาการต่อสู้ด้วย นักเรียนของสาขาเหล่านี้จะถูกสร้างรากฐานจากประสบการณ์จริง จำนวนนักเรียนที่ถูกจัดสรรสำหรับผู้สอนหนึ่งคนจะขึ้นอยู่กับอันดับของเหล่าตัวแทนของพวกเขาระหว่างการแข่งขันกระชับมิตร สำหรับฝ่ายกิจการของแต่ละสาขา ผมจะให้สภานักศึกษาของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยแจกจ่ายข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับพวกคุณทุกคนในภายหลัง”
นี่ยังต้องแข่งกันอีกเหรอ?
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง เขาไม่เคยแข่งขันกับมนุษย์มาก่อน แต่เด็กหนุ่มก็คิดว่ามันคงจะไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก
คนพวกนี้จะมาสู้เราได้อย่างไร? แค่ดูจากการที่พยายามดิ้นรนต่อสู้กับพวกวิญญาณขั้นตุลาการนรกก่อนหน้านี้ก็รู้แล้ว…พอคิดว่าคนพวกนี้ได้เป็นถึงเจ้าหน้าที่ระดับ S แล้ว เขาสงสัยจริง ๆ ว่าคนพวกนี้จะได้อันดับที่เท่าไหร่ในการแข่งขันที่กำลังจะมาถึงนี้
พวกเขาถือว่ามีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับระดับอื่น ๆ และภายในห้องบรรยายก็มีเจ้าหน้าที่ขั้นนักล่าวิญญาณอยู่เพียง 40-50 คนเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะต้องมีประสบการณ์ในการต่อสู้มามากมายนับไม่ถ้วนแล้วแน่ ๆ
“ข้อ 3 ไม่เหมือนกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ นักเรียนของที่นี่จะใช้เวลาเพียงสองปีเท่านั้นในการสำเร็จการศึกษาจากสำนักฝึกตนของเรา ไม่ใช่สี่ปีเหมือนคนอื่น ๆ”
“ในแต่ละภาคการศึกษาหกเดือนจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน สองเดือนครึ่งแรกจะเป็นการเรียนภาคทฤษฎี และอีกสามเดือนครึ่งที่เหลือจะถูกใช้ไปกับภาคปฏิบัติ พวกเราคงต้องขอรบกวนให้เหล่าอาจารย์ในสาขาการต่อสู้ให้ทำงานหนักในส่วนนี้ด้วย…เพราะไม่ว่าจะมีความเชี่ยวชาญในสาขาการผลิตหรือทฤษฎี หากพวกเขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้พวกเราก็ไม่ต้องการเช่นกัน”
“เหล่าภูตผีปีศาจมีวิธีมากมายในการเข่นฆ่ามนุษย์ หากนักเรียนพวกนี้ไม่มีวิธีป้องกันตัวเอง และต้องอาศัยการปกป้องจากผู้อื่น พวกเขาก็จะกลายเป็นภาระและลดความสามารถในการต่อสู้ของเราเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สำหรับสาขาการผลิตและสาขาทฤษฎี เราจะลดมาตรฐานในการประเมินลงอย่างเหมาะสม”
“ข้อ 4…” “ข้อ 5…”
ชายสูงวัยอ่านข้อกำหนดทุกข้อไปเรื่อย ๆ โดยรวมแล้วทั้งหมดมีอยู่ด้วยกันแปดข้อ ฉินเย่ฟังข้อกำหนดทั้งหมดอย่างสนใจ จนกระทั่ง…ข้อสุดท้ายที่ทำให้เขาต้องหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าเหยเก
“ข้อ 8 หลังจากการจัดอันดับในวันปีใหม่สิ้นสุดลง พวกเราจะจัดให้อาจารย์ผู้สอนทุกท่านเข้าสู่วิทยาเขตหลักของมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ที่เมืองไท่ซานเป็นเวลาเดือนครึ่ง ในช่วงเวลานี้ พวกคุณจะต้องเตรียมแผนการสอนสำหรับเวลาสองเดือนครึ่งเป็นอย่างน้อยเพื่อให้หัวหน้าของแต่ละสาขาได้ตรวจสอบ”
นี่เราต้องมีแผนการสอนด้วยเหรอ?!
ภายในใจของฉินเย่รู้สึกขมขื่นอย่างที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้
ไม่มีใครยิ้มออกเลยสักนิด หลังจากที่ได้ยินข้อกำหนดทั้งหมด ทุกคนต่างตระหนักได้แล้วว่าสำนักฝึกตนนั้นแตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ออกดีไหมนะ?
จะบ้าเหรอ? แม้แต่โจวเซียนหลง ผู้ที่ยอมรับความผิดของตัวเองก่อนหน้านี้ยังนั่งอยู่ที่นี่ต่อ การขอถอนตัวตอนนี้จะไม่เป็นการเปิดโอกาสให้พวกที่อยู่ขั้นตุลาการนรกตบหน้าหรือไง?
“เอาล่ะ ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ พวกคุณสามารถแยกย้ายได้ อ้อ! อีกเรื่องหนึ่ง! อย่าลืมที่จะเลือกหอพักของพวกคุณด้วย ตอนนี้ภายในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยมีห้องว่างมากมาย พวกคุณแค่เลือกและแจ้งให้ทางเราทราบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีการลงทะเบียนอะไรเป็นพิเศษ”
สิ้นเสียงพูดของชายสูงวัย คนทั้งหมดก็เริ่มแยกย้ายกันออกจากห้องบรรยาย ตั้งคำถามว่าพวกตนจะไปเตรียมแผนการสอนครั้งแรกในชีวิตของพวกตนอย่างไรดี
ฉินเย่เดินไปทั่วมหาวิทยาลัยอันสวยงามด้วยหัวใจที่หนักอึ้งและหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ภายในหัว ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเดินไปยังอาคารที่เคยอาศัยอยู่โดยไม่รู้ตัว
“เจ้าไม่ดีใจหรือ?” อาร์ทิสถาม
“ท่านจะให้ข้าดีใจได้อย่างไร? ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องสอนคนอย่างไรแม้ว่าจะมีชีวิตอยู่มานานมากแล้วก็ตาม และตอนนี้ข้าก็เข้ามหาวิทยาลัยเป็นครั้งที่ห้าหรือหกแล้วด้วยซ้ำ!” ฉินเย่ส่ายหน้าไปมา
ทว่าทันทีที่เขาเดินมาถึงที่หน้าตึก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเขา
“พ่อทูนหัว ในที่สุดคุณก็มาถึงสักที”
ให้ตายเถอะ…ตกใจหมด ฉินเย่หันไปมองทางต้นเสียงอย่างไม่พอใจนัก และเขาก็พบว่าเป็นจางหลินฮวานั่นเองที่ส่งยิ้มกลับมาให้ตน และในตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังเข็นรถเข็นอยู่
“ผมรู้ว่ามันอาจจะไม่ค่อยสะดวกนักสำหรับคุณ ดังนั้นผมเลยซื้อของบางอย่างมาให้ ดูสิ นี่เป็นผ้าแคชเมียร์อย่างดี อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะได้ไม่เป็นหวัด” มันแทบจะเหมือนกับจางหลินฮวานั้นความจำเสื่อมไปแล้ว รอยยิ้มของเขาสดใสและร่าเริงขณะที่ชี้ไปยังผ้าพันคอที่อยู่บนรถเข็น
ฉินเย่รู้สึกเหมือนถูกคุกคามเล็กน้อย น้ำเสียงแบบนี้…หรือว่า…ความหล่อของเราจะขยายไปถึงผู้ชายด้วยกันแล้ว…
“นี่ยังมีผ้าห่ม ซึ่งเป็นขนสัตว์เช่นกัน โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไร้สาย และอื่น ๆ ผมได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้หมดแล้ว คุณสามารถย้ายเข้าได้เลยตามต้องการ คุณต้องการจะเข้าหอพักไหนครับ? จะให้ผมช่วยขนของไหม?”
“ไม่…นาย…” ฉินเย่ชี้นิ้วไปที่กองสิ่งขอตรงหน้าของอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ และทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่ารองผู้อำนวยการหลี่เทาได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะยังมีพวกนักศึกษาของสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยบางส่วนเหลืออยู่
จางหลินฮวากะพริบตาปริบ ๆ อย่างรอคำตอบ และทันใดนั้นเองเขาก็แย้มยิ้มออกมา “อ้อ! คุณคงจะยังไม่คุ้นกับมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยเท่าไหร่นัก…ไม่สิ ต้องเรียกว่าสำนักฝึกตนแห่งแรกใช่ไหม? แต่ไม่เป็นไร ผมคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี ดังนั้นผมพาคุณเดินดูรอบ ๆ ดีหรือเปล่า? รับประกันได้เลยว่าผมจะเลือกหอพักที่หันไปทางทิศใต้ที่ทำเลดีที่สุดและอยู่ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกให้คุณเอง!”