บทที่ 91: มัน…ไม่ค่อยสะอาดนัก
ฉินเย่นึกถึงสีหน้าไม่พอใจของจางหลินฮวาเมื่อตอนที่พ่อของคนตรงหน้า จางเปากัว บอกให้อีกฝ่ายมาทำความเคารพเขาก่อนหน้านี้
แล้วตอนนี้กลับมาทำทีเป็นมิตรกับเขาเนี่ยนะ?
เด็กหนุ่มเคยเห็นคนแบบนี้มามาก ปฏิสัมพันธ์ของคนพวกนี้ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง และพวกเขาก็จะลืมเลือนสิ่งเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นฉินเย่จึงไม่เก็บท่าทีของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้มาใส่ใจ
แต่…
เขาเลือกที่จะเดินเข้าไปใกล้คนตรงหน้ามากกว่าเดิม นี่เป็นการชดใช้อย่างนั้นเหรอ?
หรือว่าแค่ตามน้ำไปเฉย ๆ? เขาเดาว่าอีกฝ่ายคงจะได้เรียนรู้อะไรมาจากงานทางการเมืองของผู้เป็นพ่อมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่น่าเสียดายที่ยังขาดอะไรบางอย่างไป ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจางคงต้องเลี้ยงลูกให้ดีกว่านี้เสียแล้ว….
ข้อเท็จจริงที่ว่าฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบ ทำให้จางหลินฮวาเริ่มกังวล หัวใจของเขาเต้นแรงภายใต้รอยยิ้มที่สดใส
เขารู้ดีว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป
มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับฉินเย่ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา
“พ่อทูนหัว” ความอึดอัดใจที่ต้องเรียกคนที่อายุน้อยกว่าว่าพ่อทูนหัวนั้นไม่มีหลงเหลืออยู่อีกต่อไป อันที่จริง เขากลับพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองเอาไว้ “ทำไมพวกเรา…ไม่ไปเดินเล่นกันหน่อยล่ะ?”
ฉินเย่ยิ้ม เขาขี้เกียจเกินกว่าจะมาแสดงละครกับชายหนุ่มตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดออกไปตามตรง “เก็บเล่ห์เหลี่ยมของนายไปซะ ฉันเห็นอะไรพวกนี้มาตลอดทั้งชีวิต ทักษะทางการแสดงของนายยังห่วยเกินไป”
“ผม…”
ฉินเย่เอ่ยต่อเสียงนิ่ง “ไม่ต้องห่วง ผู้เฒ่าจางกับฉันเป็นสหายกันมาตลอดชีวิต พูดตามตรง ฉันเองก็คงจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วหากนายไม่พูดถึงมันขึ้นมา ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ผู้เฒ่าจาง รอบนี้ฉันจะให้อภัยนาย แต่…”
เขาจ้องลึกเข้าไปในตาของจางหลินฉวา “หากมีครั้งหน้า ฉันจะไม่เห็นแก่หน้านายอีกแล้ว แม้ผู้เฒ่าจางจะเป็นคนมาพูดเองก็ตาม!”
“ครับ!” จางหลินฮวาเป็นคนฉลาด ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเข้ามาอยู่ในสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่แรก เขารู้ดีว่าฉินเย่ได้เผยทุกสิ่งอย่างที่ตัวเองคิด และสิ่งที่เขาต้องทำก็คืออดทนกับมันให้ได้ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าฉินเย่ไม่ได้ต้องการให้พื้นที่เขาในการโต้แย้งใด ๆ
“พาฉันไปเดินดูรอบ ๆ ที” ในที่สุดฉินเย่ก็เอ่ยขึ้น จางหลินฮวารีบเข็นรถเข็นตรงหน้าและอธิบายทันที “พ่อทูนหัว ตรงนั้นคือหอจางเหวินหยวน…”
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง เลิกเรียกฉันว่าพ่อทูนหัวได้แล้ว” ฉินเย่เอ่ยเสียงเรียบ
“ห๊ะ?”
“เรียกฉันว่ารุ่นพี่ก็แล้วกัน” ฉินเย่ยิ้ม “คำว่า ‘พ่อทูนหัว’ ไม่ใช่คำที่จะใช้เรียกได้มั่วซั่ว”
“บางครั้ง มันก็ไม่สามารถเอามันคืนมาได้หลังจากที่พูดไปแล้ว”
จางหลินฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นแทบอยากจะตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักสองที!
ทำไมที่ผ่านมาเราถึงโง่ขนาดนี้?!
แม้ว่านายจะไม่พอใจที่ต้องเรียกเขาว่าพ่อทูนหัว แต่นายก็ไม่จำเป็นจะต้องทำให้อีกฝ่ายรู้ก็ได้! เพราะไม่ว่าอย่างไรฉินเย่ก็เป็นเพื่อนของพ่อนาย! แล้วทำไมตอนนั้นนายถึงแสดงท่าทีไม่พอใจขนาดนั้นออกมาด้วย เจ้าโง่?!
แต่ถึงจะร้องไห้ให้กับนมที่หกไปแล้วมันก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่จบไปแล้วก็คือจบไปแล้ว
“โอเค…” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ดูจริงใจและเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม “รุ่นพี่ฉิน หอจางเหวินหยวนคือหอที่ดีที่สุดภายในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย เมื่อก่อน มันถูกใช้โดยกลุ่มของศาสตราจารย์ประมาณสิบกว่าคน และผมก็ได้ดูรายชื่อครูผู้สอนในครั้งนี้แล้ว มันไม่มีทางที่พวกเขาจะเข้าไปพักในหอนี้ได้ทั้งหมด ทำไมพวกเรา…ไม่ลองเข้าไปด้านในและดูรอบ ๆ ล่ะ?”
ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “แล้วหอที่ฉันเคยอยู่ก่อนหน้านี้ล่ะ….”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะสามารถพูดได้จนจบ จางหลินฮวาก็ถอนหายใจพร้อมยิ้มแบบขมขื่น “รุ่นพี่ฉิน ตอนนั้น มันเป็นความผิดของผมเอง”
สั้น ๆ แต่ได้ใจความ
ฉินเย่มองชายหนุ่มตรงหน้าตนด้วยความประหลาดใจ เขาก้าวเท้าไปด้านหลังหนึ่งก้าว ถือได้ว่าเด็กตรงหน้ามีความก้าวหน้าไม่เลว เขามีพรสวรรค์ในด้านการเมืองเหมือนกับผู้เป็นพ่อ
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ฉันแค่อยากได้ที่ที่อยู่ใกล้หอที่ฉันเคยอยู่ แล้วที่นั่นก็เหมาะเลยไม่ใช่หรือ?”
“แต่ที่นั่น…” สีหน้าของจางหลินฮวาซีดเผือด หลังจากผ่านไปหลายวินาที เขาก็พึมพำเสียงเบาว่า “รุ่นพี่ฉิน ที่นั่นมัน…ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่”
“ไม่ต้องกังวล ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสถานที่ที่ไม่สะอาดอยู่ในเมืองเป่าอัน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น!” จางหลินฮวาเริ่มวิตกมากกว่าเดิม หลังจากที่ได้ทำพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่สามารถที่จะทำผิดเป็นครั้งที่สองได้ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเข้มกว่าเดิม “ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยแล้ว เคอร์ฟิวเองก็ถูกยกเลิกไปแล้วเช่นกัน เหตุผลเดียวที่พวกผมยังอยู่ที่นี่ก็เพราะว่า มหาวิทยาลัยกำลังถูกนำมาใช้สำหรับสำนักฝึกตนแห่งแรก และพวกเขายังต้องการความช่วยเหลือ จากนักศึกษาที่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นพวกเราจึงค่อนข้างยุ่งเป็นพิเศษ และทุกคืนที่ผ่านมาเราก็ทำงานล่วงเวลาจนถึงห้าทุ่มหรือเที่ยงคืนมาตลอด”
“และอาคารที่คุณเคยอยู่ก่อนหน้านี้…ประมาณคืนนั้นเองที่ผมเห็น…อะไรบางอย่างที่นั่น ผมยังไม่ได้บอกใครเรื่องนี้ เพราะอย่างไรแล้วผมก็เห็นมันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
แววตาของฉินเย่สั่นระริก ขณะที่สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นกว่าเดิม
มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป นับตั้งแต่ค่ำคืนแห่งโชคชะตาคืนนั้น
เขาคิดว่ามันคงจะเป็นผลมาจากความผันผวนอันทรงพลังของคลื่นพลังหยินในคืนนั้นที่ส่งผลต่อการมีอยู่ของควาฟู่ และมันก็น่าจะเป็นเพราะการตื่นขึ้นของสิ่งนั้น…ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ยังไม่มีใครทราบได้
“นายช่วยหาหอที่อยู่ใกล้ ๆ นี้แล้วช่วยฉันขนของเข้าไปด้านในที เดี๋ยวฉันจะไปดูอะไรหน่อย”
จางหลินฮวาไม่ได้โต้แย้งใด ๆ อีก เขาเพียงเข็นรถเข็นจากไป ขณะที่ฉินเย่ค่อย ๆ เดินกลับไปที่หอพักที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้
“นี่เจ้า….กำลังคิดที่จะลงไปดูที่รังของเชาโยวเต๋าอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสกระซิบ
นางสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของขั้นยมทูตขาวดำที่กวาดไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยบ้างเป็นครั้งคราว แม้ว่านางจะไม่คุ้นชินกับระบบการบ่มเพาะในแดนมนุษย์ แต่นางก็รู้ดีว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำจะสามารถพัฒนาสัมผัสอันเฉียบคมของตนจนก่อเป็นรูปของสำนึกทางจิตวิญญาณที่สามารถใช้แทนดวงตาของพวกเขาได้ ดังนั้นนางจึงระวังไม่เคลื่อนไหวอย่างประมาท
“ใช่ เพราะมันจะมีการจัดอันดับในวันปีใหม่ และข้าก็ต้องไปที่เมืองไท่ซานทันทีหลังจากนั้น เราแทบจะไม่มีเวลาเหลือแล้ว” ฉินเย่กระซิบตอบเบา ๆ “ทำให้แน่ใจไว้ก่อนดีกว่า หากมันไม่มีทางที่จะบุกเข้าไปใน SRC ได้…เราก็จะเปลี่ยนไปใช้อีกตัวเลือกต่อไปแทน”
อาร์ทิสถอนหายใจออกมา เห็นได้ชัดว่านางไม่ค่อยพอใจนัก
ตอนนี้มีสมบัติที่แสนล้ำค่าวางอยู่ต่อหน้าต่อตาของพวกนาง แต่พวกนางกลับทำได้เพียงหยิบลูกตาปลาที่ส่องแสงอยู่ข้าง ๆ เท่านั้น
ผู้ใดจะไม่รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์แบบนี้กัน?
“นอกจากนี้…” ฉินเย่หยุดพูดไปขณะที่ชี้ไปยังพื้นที่ที่เพิ่งก่อสร้างขึ้นใหม่ “ท่านเห็นที่ตรงนั้นหรือไม่?”
มันคือสุสาน
มันถูกสร้างขึ้นในรูปแบบตะวันตก อาจเป็นเพราะว่ามันใช้พื้นที่น้อยกว่าก็เป็นได้ บล็อกหลุมฝังศพวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ อาคารทรงหอคอยสูงสามเมตรอยู่ตรงกลางของพื้นที่ทั้งหมด ช่อดอกไม้สีขาวถูกวางไว้ตรงหน้าของหลุมฝังศพแต่ละหลุม
“มันคืออะไร?”
“ข้าได้ไปสำรวจดูคร่าว ๆ มาแล้วก่อนหน้านี้” ฉินเย่กระซิบ “นั่นคือ…สุสานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ฝึกตนที่สละชีวิตภายในคืนนั้น”
“ชื่อของพวกเขาถูกสลักไว้บนอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ตรงนั้น”
โดยไม่รอคำตอบของอาร์ทิส เขาแค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ข้ารู้ ในฐานะของตุลาการนรก ผู้ที่เคยปกครองนครหมินเฟิง ท่านคงจะมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระใช่หรือไม่? แต่…มันก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าคนเหล่านี้ต้องตายเพราะข้า”
“ข้าจะไม่มีทางบอกใครเรื่องนี้ และข้าก็จะบอกด้วยว่าเชาโยวเต๋าตายอย่างไรหรือใครปัดเป่าเขา แต่….”
“มนุษย์…” สายตาของเขาดูค่อนข้างเหม่อลอยและว่างเปล่า “ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี”
“ไม่เช่นนั้น หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่มานานหลายทศวรรษ ข้าคงไม่เป็นคนเดิมอีกต่อไป….”
อาร์ทิสเคร่งขรึมลง หลังจากที่เงียบไปสักพักใหญ่ ในที่สุดนางก็พูดขึ้นว่า “เพราะแบบนั้น เจ้าเลยคิดที่จะไปนำของบางอย่าง กลับมาจากรังของเชาโยวเต๋าเพื่อแสดงความเคารพที่สุสาน?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงเอ่ยอย่างเย็นชา “ผู้คนนับพันต้องตายก็เพราะเขา และในเมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นยมทูต มันก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหากข้าจะใช้เถ้ากระดูกของเขามาแสดงความเคารพต่อคนตาย”
อาร์ทิสพยักหน้า “ควรเป็นเช่นนั้นจริง”
“หลังจากที่ทรยศต่อความเชื่อที่ว่าคนเป็นและคนตาย ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันด้วยข้ออ้างที่ว่าเขาต้องทำหน้าที่ในฐานะของยมทูต เจ้านั่นก็สมควรตายแล้ว”
ไม่มีใครพูดอะไรสักคำหลังจากนั้น ฉินเย่เดินกลับไปที่หอพักเดิมของเขาอย่างช้า ๆ ทันทีที่เขามาถึงห้อง สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มทำก็คือมองไปที่ตู้
มันเคยมีคนกระดาษสามตัวสำหรับดวงวิญญาณทั้งสามที่เขาไม่ได้นำมันติดตัวไปด้วยในครั้งนั้น
ดังนั้นมันจึงควรอยู่แถว ๆ นี้ และเขาก็อาจจะสามารถถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ได้
แต่… มันกลับไม่มีอยู่แล้ว!
“หรือว่ามีใครเอามันไป?” เขาขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะส่ายศีรษะไปมา “ไม่…สถานที่แห่งนี้…เป็นเหมือนกับเขตไล่ล่าที่ 4 ข้าไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังหยินเลยสักนิด!”
“มีบางอย่างผิดปกติ” อาร์ทิสเอ่ย “แม้ว่าเมืองเป่าอันจะกลายเป็นพื้นที่สีเขียวแล้ว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะปราศจากพลังงานหยินโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่พื้นที่สีเขียวบ่งบอกก็คือความปลอดภัย ทว่าข้อเท็จจริงที่ว่าวิญญาณหยินจำนวนนับไม่ถ้วนยังคงเร่ร่อนอยู่ในทั่วทุกมุมบนแผ่นดินจีนนั้นยังคงอยู่ มันไม่มีเหตุผลเลยสักนิดที่เจ้าไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังหยินเลยแม้แต่น้อย!”
“มันมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ หรือ?” ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น เขาปัดฝุ่นออกจากผ้าห่มและล้มตัวลองนอน
เขาเองก็เช่นนั้น อยากจะเห็นผู้ที่กล้ามาสร้างปัญหาในฐานที่มั่นของเหล่าผู้ฝึกตน
คนพวกนั้นเหนื่อยที่จะมีชีวิตแล้วหรือไร?
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ฉินเย่ตื่นขึ้นมาในตอนเที่ยงเพื่อทานอาหารกลางวัน จากนั้นจึงหลับยาวตลอดบ่าย
และเมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง มันก็เป็นเวลาค่ำแล้ว
ฉินเย่มองดูนาฬิกาโทรศัพท์ของตนเอง 6.30 น.
เสียงประกาศสาธารณะไม่ได้ถูกเปิดขึ้นในเมืองเป่าอันอีกต่อไป และมันกลับทำให้ทั่วทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบอย่างน่าประหลาด
ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยในเวลานี้ร้างราผู้คน สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือเสียงของใบไม้ที่ร่วงโรยและสายลมอันแผ่วเบา
ฉินเย่เดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมก็อ้าปากหาว
ไฟจากหลอดฟูลออเรสเซนต์สีขาวส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องอาบน้ำ นี่เป็นหอพักเก่า และบริเวณผนังห้องอาบน้ำสีขาวก็ถูกเรียงรายไปด้วยกระจกที่ถูกตอกติดแน่นเอาไว้ บนบานกระจกเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสกปรกของฟองยาสีฟันและโฟมล้างหน้าที่เกาะเป็นคราบเหลือง ๆ กลิ่นเหงื่อไคลของบุรุษเพศอบอวลไปทั่ว
อ่างล้างหน้าแบบยาวที่แทบจะไม่ค่อยมีให้เห็นในปัจจุบัน ถูกติดตั้งอยู่สูงขึ้นมาจากพื้นหนึ่งเมตร นี่คือจุดที่เหล่านักศึกษาจะมาล้างหน้า บ้วนปาก และวางกะละมัง ท่อสีฟ้ายาวเส้นหนึ่งถูกติดตั้งอยู่เหนืออ่างอีกที
มันคือห้องอาบน้ำชายธรรมดาทั่วไป
ด้วยสติที่ยังสะลึมสะลือ เขามองดูเงาของตัวเองในกระจก ภายในห้องน้ำส่วนอื่น ๆ ว่างเปล่า ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลงและล้างหน้าของตัวเอง
ซ่าาา…..ทันทีที่น้ำเย็น ๆ สาดเข้าที่ใบหน้า เด็กหนุ่มก็รู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นกว่าเดิม ทว่าทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองกระจกอีกครั้ง…เขาก็พบว่านอกจากเงาสะท้อนของตัวเองแล้ว มันยังมีคนกระดาษสี ๆ ยืนอยู่ด้านหลังของตัวเอง!
นอกจากนี้ มันก็ดูเหมือนว่ามันจะยืนอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้ว และกำลังมองมาที่ฉินเย่อย่างเย็นชา
ฟึ่บ! โดยปราศจากคำเตือนใด ๆ คนกระดาษก็แทงกรรไกรที่อยู่ภายในมือของมันตรงมาที่เส้นเลือดแดงของฉินเย่อย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มหัวเราะเย็นยะเยือกและถีบมันจนกระเด็นออกไป จากนั้น ก่อนที่มันจะกลับมายืนบนเท้าได้อีกครั้ง ใบมีดกระดูกสีขาวก็ฝังเข้าที่หน้าผากของมันเสียแล้ว
“เจ้า…ได้อย่างไร….” เสียงแหบแห้งของคนกระดาษเจือไปด้วยความกระหายเลือด
“ข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่?” ฉินเย่ยิ้มบางขณะที่ชี้ไปรอบ ๆ “นี่มันเป็นหอเก่า”
“ดังนั้นจึงไม่มีหลอดไฟอัตโนมัติที่ทำงานด้วยเซนเซอร์”
“นี่เป็นไฟที่ด้วยเปิดปิดด้วยมือ และมันก็ไม่มีทางที่ห้องอาบน้ำนี่จะยังเปิดไฟอยู่หลังจากที่ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว” ฉินเย่เอ่ยขณะที่แทงใบมีดไปที่ส่วนกรามของคนกระดาษตรงหน้า “ข้าเป็นคนนำคนกระดาษพวกนี้มาให้พวกเจ้า สังหารเชาโยวเต๋า แก้แค้นให้พวกเจ้า นี่ข้าก็กำลังสงสัยอยู่พอดีว่าพวกเจ้าหายไปไหน…แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าแบบนี้น่ะหรือ?”
“บอกข้ามา เหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกถึงพลังหยินที่แผ่ออกมาจากร่างของเจ้าเลย? แล้วใครเป็นมอบความกล้าให้กับเจ้าในการโจมตียมทูต?”
มันดูราวกับคนกระดาษได้สูญเสียความทรงจำของมันไปแล้ว ความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันบิดเบี้ยว และทันใดนั้นเองร่างตรงหน้าก็ร้องออกมาเสียงดัง เปลวไฟสีเขียวปรากฏขึ้นที่ปลายเท้า แผดเผามันจนกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา
ตุบ…ในวินาทีนั้น เสียงของบางอย่างร่วงลงกับพื้นก็ดังขึ้นให้ได้ยินจากปลายสุดของทางเดินด้านนอก
แปลบ… แปลบ…พรึ่บ…หลอดไฟภายในห้องน้ำกะพริบอยู่สองสามครั้งก่อนจะดับลง
ตึก…ตึก ตึก!
เสียงดังกล่าวดังขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะนัก มันคล้ายกับเสียงของคนแก่ที่กำลังเดินไปตามระเบียงทางเดินโดยใช้ไม้เท้า
ภายใต้ท้องฟ้าสีแดงเข้มในยามพลบค่ำ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยตกอยู่ในความเงียบงัน หอพักนักศึกษาว่างเปล่า อย่างไรก็ตามมันกลับมีบางอย่าง…บางอย่างที่คล้ายกับมีพลังหยินที่สามารถบดบังทุกประสาทสัมผัสกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้บริเวณห้องอาบน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ!
มันแทบจะเหมือนกัน…การฟื้นคืนของเขตไล่ล่าที่ 4!