ตอนที่112 การต่อรอง
จ้าวเฉียนงุนงงกับคำกล่าวของแม่อย่างมาก เธอไม่สนด้วยความว่าคู่สายที่กำลังคุยอยู่คือใคร แล้วทำไมเธอถึงต้องการเพื่อนไปช็อปปิ้งมากขนาดนี้?
“แม่ มาบอกให้ผมหาเพื่อนไปช็อปปิ้งเยอะขนาดนี้ในเวลาอันสั้น ผมก็ทำเต็มที่แล้ว อีกอย่างเธอคนนี้ที่ผมกำลังคุยด้วยก็เรื่องมากเหลือเกิน แค่ไหนแค่นั้นแหละแม่!”
อวีกุ้ยเฟิงระเบิดหัวเราะลั่น เธอตอบกลับไปว่า
“โอ๊ะ? น่าสนใจดีหนิ งั้นแม่เอาแค่นี้ก็แล้วกัน ขอแค่เธอคนที่ลูกกำลังคุยด้วยอยู่อีกคนก็พอ ไม่ว่าเธอคนนั้นจะเป็นใคร แต่ลูกต้องพาเธอมาให้ได้! ไม่อย่างงั้นไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่!”
หลังพูดจบอวีกุ้ยเฟิงก็ปิดประตูใส่ทันใด อย่างไรเสียเธอไม่ได้ออกไปไหนแต่อย่างไร ทว่าเธอเอาหูแนบประตูแอบฟังว่าจ้าวเฉียนจะทำยังไงต่อไป
หวานเจียงที่ได้ยินสถานการณ์ทั้งหมดผ่านโทรศัพท์ ความมั่นใจก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งพร้อมกล่าวเย้ยว่า
“ว่ายังไง? ขนาดแม่นายยังเข้าข้างฉันเลยนะ?”
“แล้วฉันมีทางเลือกอื่นด้วยรึไง? กี่โมงว่ามา?”
“พรุ่งนี้ตอนหนึ่งทุ่ม งานจัดขึ้นที่ตึกไข่มุก คนที่เข้าร่วมงานครั้งนี้มีแต่บุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองและธุรกิจทั้งนั้น กรุณาแต่งตัวให้ดีด้วย อย่าทำให้ฉันอาย”
“เข้าใจแล้วน่า แล้วบ้านเธออยู่ไหน ฉันจะขับไปรับเอง”
“เดี๋ยวก่อน ฉันยังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่งที่นายต้องตกลง”
จ้าวเฉียนเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย นี่ไม่ใช่การใช้ประโยชน์จากความเสียเปรียบปล้นกันหรอกเหรอ? แต่แม่ของเขาก็ชี้ขาดขนาดนั้นแล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ
“เธอมีอะไรอีก?”
“ข้อตกลงที่เราพูดกันบนเกาะซ่งต้าว จะต้องได้รับการเซ็นอนุญัติอย่างถูกกฎหมาย ฉันต้องการความยุติธรรมน่ะ แล้วก็…สิทธิ์ในการร่วมพัฒนาเรื่อง ‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’ อย่างเต็มรูปแบบ”
“ฉันจะคุยกับเธออีกทีหลังจากที่แม่ฉันกลับไปแล้ว”
“ไม่ได้ นายต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน ฉันถึงจะยอมไปกับแม่นาย”
อย่างไรเสีย หวานเจียงไม่ใช่เด็กสาวใสซื่อแบบอู๋ซิน ที่จ้าวเฉียนพูดอะไรต้องคล้อยตามไปเสียหมด เธอถือเป็นหนึ่งในนักธุรกิจสาวที่แข็งแกร่งอย่างมากในวงการนี้ มีหรือจะไม่ทันเกมของจ้าวเฉียน
อย่างไรเสียนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันที่จะอาศัยโอกาสจากจุดนี้เอาเปรียบจ้าวเฉียน
“ได้ ฉันตกลง แต่อย่างที่เคยบอกไป ทุกอย่างบนโลกมีราคาแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม หุ้นส่วนจำนวน20%ของฮวาหยิน กรุ๊ปแลกกับสิทธิ์เต็มรูปแบบในบริษัทฉัน!”
“จะบ้ารึไง? ขนาดพ่อของฉีนยังเป็นเจ้าของหุ้นแค่51%เท่านั้น แล้วจะให้นายถือตั้ง20%ได้ยังไง เผลอๆ ยังจะมากกว่าสมาชิกครอบครัวฉันบางคึนอีก!”
“นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย เมื่อเทียบกับการต้องเป็นศัตรูกับผมในอนาคต ตราบใดที่ไม่ใช่ศัตรู พวกเราก็เป็นมิตรกัน และผมจะช่วยเหลือคุณในทุกๆ ทางที่ร้องขอแน่นอน ลองเก็บไปคิดเอาเองแล้วกันนะว่า ตัวเองจะเลือกเส้ยทางไหน อะไรดีไม่ดีควรจะคิดได้นะ”
หวานเจียงไม่พอใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น ฮวาหยิน กรุ๊ปเป็นบริษัทผลิตซีรีย์และภาพยนตร์ ครอบคลุมไปถึงรายการโทรศัพท์ ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการ ดังนั้นมูลค่าหุ้นเพียง20% มันก็เทียบไม่ได้กับบริษัท เฉียนเต๋อ ของจ้าวเฉียนเลย
“นี่…ฉันไม่รู้หรอกนะว่า นายไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน แต่หุ้นจำนวน20%ของฮวาหยิน กรุ๊ปมันก็เกินพอแล้วที่จะซื้อบริษัทของนายได้สักสิบรอบ! ราคาที่ฉันต้องจ่ายมันสูงเกินไป! อย่างมากฉันให้ได้มากที่สุดแค่10%เท่านั้น ถ้ามากกว่านี้คงต้องคุยกับพ่อฉันแล้ว!”
“งั้นก็เก็บส่วน30%ให้ลูกชายเราไปเลยเป็นไง! ฉันไม่ขออะไรทั้งสิ้นนั้นแหละ แค่30%ในส่วนของลูกเราโอเค?”
“นี่เรากำลังทำธุรกิจกันอยู่นะ! จริงจังหน่อย!”
“ฉันจริงจังตลอด! ก็เธอนั่นแหละที่คิดเอาเปรียบฉันก่อน บอกว่านี่กำลังคุยเรื่องธุรกิจ แล้วเอาเรื่องของแม่ฉันมาเป็นข้ออ้างทำไม? ฉันว่าเธอโลภมากเกินไป ถ้าฉันอธิบายเรื่องนี้ทั้งหมดให้แม่ฟัง เธอต้องเข้าใจแน่นอน”
“โอเค โอเค! ช่างมันเถอะ เอาแบบเดิมที่ตกลงกันบนเกาะซ่งต้าวนั่นแหละ! มีอะไรก็ต้องไปฟ้องแม่หมดรึไง? ถ้าอนาคตจะต้องแต่งงาน คงต้องถามแม่ด้วยใช่ไหม? บ้าบอที่สุด! เหอะ! เอาตามนี้ไปก่อนก็ได้หลังจากนี้ฉันค่อยวางแผนใหม่! พรุ่งนี้มารับฉันที่ตึกทอมซันตอนเช้า”
จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อยและกดวางสายไป ทันใดนั้นอวีกุ้ยเฟิงก็รีบเปิดประตูพุ่งมาหาในทันใด และเอ่ยถามอย่างตื่นอกตื่นเต้นว่า
“ลูกแม่ เมื่อกี้คุยอยู่กับใครกันแน่? แม่ได้ยินนะ ลูกกำลังมีลูกชายเหรอ? คนที่คุยด้วยเป็นแม่เด็กหรือเปล่า? แล้ว…แล้วกำหนดคลอดวันไหน? แม่ต้องรีบโทรไปบอกพ่อแล้ว! แม่จะรออุ้มหลานเลย!”
จ้าวเฉียนกลอกตามองบนอย่างอดไม่ได้ และรีบแก้ข้อเข้าใจผิดในทันที
“แม่ฝันไกลไปโน้นแล้ว! เมื่อกี้แค่ประชดอีกฝ่ายไปเฉยๆ ไม่ได้มีลูกกันจริงๆ เรากำลังคุยเรื่องธุรกิจกันอยู่ นี่ก็ดึกแล้วนะแม่ ไปนอนเอาแรงสำหรับช็อปปิ้งพรุ่งนี้ดีกว่าไหม?”
“ยังไงก็ตาม แม่ขอเตือนลูกไว้ก่อน ถ้ามีจริงๆ ห้ามเอาเด็กออกเด็ดขาด ครอบครัวของเราไม่เคยขาดแคลนเรื่องเงิน ตราบใดที่ใครก็ตามให้กำหนิดลูกชายในสายเลือดเราได้ ฉันจะให้เธอคนนั้น100ล้านหยวน!”
“แม่กังวลเกินไปแล้ว ถ้ามีลูกขึ้นมาจริงๆ อย่ามาแค่100ล้านเลย ต่อให้เป็นพันหมื่นล้าน ถ้าเป็นสายเลือดของผมจริงๆ ก็ย่อมให้มาให้ได้ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมากนะแม่ ไปนอนเถอะ”
อวีกุ้ยเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความผิดหวัง และหันกลับไปเปิดประตูเข้าห้องนอน
จ้าวเฉียนส่งข้อความไปหาหวานเจียงผ่านWeChat เตือนให้เธอพูดเรื่องไร้สาระกับแม่ของเขาในวันพรุ่งนี้ ถ้าแม่บังเอิญไปรู้เรื่องว่า เขากับหวานเจียงมีอะไรกันเข้า มีหวังแม่บังคับให้ทั้งคู่แต่งงานกันสายฟ้าแล่บแน่นอน แล้วปัญหานี้จะผัวพันไปถึงอู๋ซินที่เขาจดทะเบียนกันไว้อีก
หวานเจียงไม่ได้รู้เรื่องภูมิหลังของตระกูลจ้าว เธอจึงตอบไปว่า
“ฉันไม่ปล้นแม่นายหรอกน่า”
“ตอนนี้เธอไม่ทำแน่นอน แต่ฉันกลัวว่าสักวันที่เธอรู้อะไรเขา เธอจะคุกเข่าขอฉันแต่งงานเข้าน่ะสิ ผู้ชายดีเลิศแบบฉันมีแค่คนเดียวในโลกซะด้วย เธอต้องเข้าใจด้วยนะ…คนอย่างฉันดีมานด์ [1] สูง”
“โอ้ยจะอ้วก! เมื่อไหร่นายจะเห็นความบกพร่องในตัวเองบ้างห่ะ? หรือตาบอดตั้งแต่เกิด? ไม่ใช่ว่าฉันเป็นพวกชอบดูถูกคนหรอกนะ แต่นายทำตัวหยิ่งผยองให้น่าดูถูกเอง ถ้าผู้ชายทั้งโลกเหลือแค่นาย ฉันขอขึ้นคานตลอดชีวิตยังดีกว่า”
ทั้งสองคนแชทคุยกันจนกระทั้งตีสองถึงจะแยกย้ายกันเข้านอน
แสงอรุณแรกแย้มสาดกระทบหน้าต่างในยามเช้า ไม่ทันไรอวีกุ้ยเฟิงก็เดินเข้ามาเคาะประตูห้องลูกชายเธอรัวๆ
“ลูกแม่! ตื่นเร็วเข้า! แม่อยากไปช็อปปิ้งแล้ว!”
จ้าวเฉียนถึงกับทุกอะไรไม่ถูก ลุกขึ้นพรวดจากเตียงโดยไวและรีบวิ่งไปอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็เตรียมจะขึ้นรถขับไปรับแต่ละคน แต่ขณะกำลังจะออกจากคฤหาสน์ เขาก็เพิ่งคิดได้ว่า ทุกคนที่ชวนมาล้วนทราบกันดีว่าเขาเป็นคนมีเงิน ดังนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องซ่อนเรื่องที่อยู่เลย
จ้าวเฉียนโทรหาหงซิ่ว, หยวนมี่และหวานเจียตามลำดับ และระบุที่อยู่ตัวเองไป พร้อมขอให้พวกเธอขับรถกันมาเอง
หงซิ่วกับหยวนมี่ไม่มีปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้านาย แต่หวานเจียงกลับไม่ค่อยพอใจ ทั้งยังบอกอีกว่าชวนเองก็ต้องมารับเธอเองเช่นกัน
จ้าวเฉียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขับรถไปยังตึกทอมซันเพื่อไปรับหวานเจียง
ทางด้านหวานเจียงเองก็จงใจไปสาย ปล่อยให้จ้าวเฉียนนั่งแห้งอยู่ในรอกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะเผยตัวออกมาพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง แต่อย่างไร ครั้งนี้จ้าวเฉียนกลับไม่ได้โมโหสักนิด เพราะวันนี้เธอแต่งตัวสวยอย่างมาก
หวานเจียงเอ่ยถามประกับใบหน้าไม่ค่อยเป็นสุข
“มองอะไรของนาย? ไม่เคยเห็นหน้าฉันมาก่อนรึไง!”
จ้าวเฉียนหัวเราะไปคำ ตอบไปว่า
“ก็ฉันคิดไม่ถึงน่ะสิ ว่าวันนี้เธอจะแต่งตัวมาซะสวย”
“ไร้สาระ! เบ้าหน้าฉันดีแต่ไหนแต่ไรแล้ว! นายนั่นแหละเพิ่งมาเห็นรึไง?”
“จะทำไงได้ ที่ผ่านมาเธอไม่ค่อยทำตัวสมหญิงเท่าไหร่ ใช้แต่ความรุนแรงจนหลงคิดว่าเธอเป็นยผู้ชายน่ะ ใครจะคิดว่าพอเอาเข้าจริงๆ ก็สวยเหมือนกันนี่หน่า? อืม…บางทีฉันอาจจะยอมแต่งงานกับเธอก็ได้ในอนาคต ฉันจะลองเก็บไปพิจารณาดู”
หวานเจียงระเบิดหัวเราะเยาะดังสนั่น โบกกระเป๋าสะพายใส่หน้าจ้าวเฉียนไปสักดอก พลางเอ่ยถามแบบติดตลกไปว่า
“นี่นายไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนถามจริง? ฟังยังกับการแต่งงานกับนาย คือของขวัญล่ำค่าที่สุดในชีวิตฉัน? เชื่อไหมว่า คุณชายทุกคนในเมืองตงไห่ต่างก็อยากแต่งงานกับฉัน?”
จ้าวเฉียนปั้นหน้าแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนเอ่ยถามอย่างเหยียดหยามไปว่า
“อืม….ทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ!”
หวานเจียงหันควับหน้ามุ่ยเป็นตูดลิงทันที กระชับกำปั้นขึ้นขู่ราวกับจะทุบจ้าวเฉียน เธอกล่าวเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า
“โถ่วนายดีเลิศเหลือเกิ๊นนน! นายชอบหยุดทำตัวน่าหมั่นไส้สักนาทีหนึ่งได้ไหม? ถ้าไม่พูดสักคำคงไม่มีใครด่านายโง่หรอกน่า! รีบๆ ขับรถไปได้แล้ว! ระหว่างนี้ฉันไม่อนุญาตให้นายพูด! ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดลิ้นนาย!”
แม่ของเขายังคงรออยู่ที่คฤหาสน์ จ้าวเฉียนจึงไม่ขี้เกียจโต้เถียงใดๆ กับหวานเจียงอีกต่อไป และสตาร์ทรถรีบกลับไปทันที
เมื่อถึงคฤหาสน์ หงซิ่วกับหยวนมี่ก็มาถึงกันแล้ว อวีกุ้ยเฟิงกวาดสายตามองสามสาวตรงหน้า แต่ละคนทั้งสวยและมีเสน่ห์เกินบรรยายจริงๆ แต่จะมีคนหนึ่งที่ออร่าจับ โดดเด่นกว่าคนอื่น แต่เสียดายที่ตั้งแต่มาถึงยังไม่เห็นเธอยิ้มเลยสักครั้ง
จ้าวเฉียนพาทั้งสามไปแนะนำตัว และทุกคนต่างก็เอ่ยปากทักทายกันเล็กน้อย จากนั้นก็ออกเดินทางไปช็อปปิ้งกันทันที
[1] อุปสงค์ หรือปริมาณความต้องการต่อสินค้า แต่ในที่นี้หมายถึงความฮอต