ตอนที่134 ชักชวน
สีหน้าของจ้าวเฉียนบึ้งตึงขึ้นมาทันที พอเห็นแบบนั้นหวานเจียงพลันตกใจอย่างมาก รีบกล่าวอธิบายโดยไว
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อนาย แต่ฉันไม่ค่อยอยากเชื่อทีมแพทย์พวกนี้เท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าพวกเขามาหลอกโกงเงินนายไปฟรีๆเหรอ?”
“โกงเงิน? ถ้าโกงแล้วพ่อเธอหายก็ปล่อยให้โกงไป!”
จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก
หวานเจียงกลอกตาใส่ไปทีหนึ่ง เอ่ยตอบขึ้นว่า
“ทำไมมันง่ายจัง! อีกอย่างนะ ถ้าเจตนาพวกนี้คือมาโกงเงินจริงๆ นั้นแสดงว่าพวกเขาไม่มีฝีมือด้านการแพทย์เลยไม่ใช่เหรอไง? ทางโรงพยาบาลจะรับผิดชอบค่าเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับพ่อของฉันยังไง?”
“แล้วฉันควรทำยังไงดีล่ะ? เดินไปบอกทีมแพทย์พวกนั้นให้กลับไปเลยดีไหม? แล้วรักษาไปตามอาการจนกว่าจะตายไปข้าง? ถ้าเป็นฉัน มีโอกาสอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ไม่ว่ายังไงก็จะพยายามให้ถึงที่สุด ดังนั้นเซ็นซะ!”
หวานเจียงยังคงเอ่ยถามด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
“ถ้าอย่างนั้น…นายต้องสัญญากับฉันก่อน ว่าจะแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”
จ้าวเฉียนเริ่มรู้สึกรำคาญแล้วที่หวานเจียงจู้จี้จุกจิกเรื่องเขาไม่หยุดหย่อน เพราะเป็นแบบนี้นี่แหละ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจ้าวเฉียนถึงต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อควบคุมฮวาหยินกรุ๊ป
ทันทีทันใดเขาตรงไปต่อหน้าเธอและโอบเอวกระชับแน่นในทันใด ช้อนมือซ้ายขึ้นมาบีบคางเธอและกล่าวว่า
“ที่รัก เธอเป็นของฉันแล้ว ดังนั้นฉันต้องรับผิดชอบทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเธอแน่นอน ถ้าคุณใจกล้าพอ ฉันจะเข้าไปบอกทุกอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราให้พ่อเธอฟังเป็นไง? แล้วแกล้งบอกเขาไปว่าเธอท้องกับฉัน ให้ความดันขึ้นเล่นดีไหม?”
“ตาบ้านี่! นายกล้าเหรอ?!”
ใบหน้าของหวานเจียงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นทันใด ทุบอกจ้าวเฉียนไปอย่างแรงทีหนึ่ง
บรรดาทีมศัลยแพทย์เองก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
“มิสหวาน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาพ่อของคุณนะครับ เรื่องจีบกันค่อยว่ากันทีหลังเถอะ”
“ใช่แล้วค่ะ อย่าเสียเวลาล่าช้าไปกว่านี้เลย”
หวานเจียงหน้าแดงแจ๋หนักเข้าไปใหญ่พอได้ยินทุกคนกล่าวแบบนั้น เธอรีบผลักจ้าวเฉียนออกและเดินเข้าไปเซ็นโดยไว และนำทางทีมศัลยแพทย์เข้าไปยังห้องของหวานหลิน
หวานหลินเข้าไปอธิบายสั้นๆกับพ่อและแม่ของเธอหวังให้พวกเขาทั้งคู่ช่วยให้ความร่วมมือกับทีมแพทย์อย่างจริงจัง จากนั้นเธอค่อยพาแม่ออกไปรอข้างนอกก่อน
จ้าวเฉียนกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือโดยไม่สนใจแม่ของหวานเจียงแม้แต่น้อย
ทางโรงพยาบาลในตอนนี้เองก็จุดทีมพยาบาลเฝ้าประตูทางเข้าออกอย่างหนาแน่น หนึ่งเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย และสองเตรียมสแตนบายเข้าไปช่วยทีมศัลยแพทย์เมื่อต้องการความช่วยเหลือ
สองชั่วโมงต่อมา บรรดาทีมศัลยแพทย์พากันออกมา ดูเหมือนท่าทีของพวกเขาจะค่อยข้างเคร่งเครียดไม่น้อย
หวานเจียงรีบวิ่งเข้าไปถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขากลับไม่สนใจเธอและตรงไปหาจ้าวเฉียนแทน
หวานเจียงช่วยไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงพาแม่ของเธอเดินติดตามไปหาจ้าวเฉียนด้วยกัน
จ้าวเฉียนเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงและเอ่ยถามขึ้นว่า
“ด็อกเตอร์โทมัส เป็นยังไงบ้างครับ?”
อเล็กซ์โทมัสกล่าวตอบไปตามตรงว่า
“มิสเตอร์จ้าว จากที่พวกเขาทำการวินิจฉัยอาการของมิสเตอร์หวานโดยละเอียด พวกเขาได้ข้อสรุปแล้วว่า เขาสามารถรับการผ่าตัดได้”
“แล้วอัตราความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนครับ?”
จ้าวเฉียนเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วง
หวานเจียงและคนอื่นๆที่ได้ยินอย่างนั้นต่างกังวลอย่างมาก โอกาสที่พ่อของเธอจะรอดชีวิตมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับอัตราความสำเร็จนี้
อเล็กซ์โทมัสตอบกลับไปว่า
“โอกาสสำเร็จประมาณ70%ครับ เนื่องด้วยโรคของมิสเตอร์หวานอัตราผ่าตัดสำเร็จค่อนข้างสูงอยู่แล้ว เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับผู้ให้การรักษาเลยครับ แต่ถ้าไม่เข้ารับการผ่าตัด มิสเตอร์หวานจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสองปี ยังไงก็ต้องรีบตัดสินใจนะครับ เพราะอัตราความสำเร็จจะลดลั่งตามระยะเวลา ถ้ายิ่งตัดสินใจช้าโอกาสสำเร็จก็จะลดลงเรื่อยๆเช่นกัน”
จ้าวเฉียนหันไปมองหวานเจียงและกล่าวว่า
“เธอได้ยินแล้วใช่ไหม?”
หวานเจียงพยักหน้าตอบ และประคองแม่ของเธอกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยเพื่อปรึกษากับหวานหลิน
จ้าวเฉียนยังคงยืนสนทนากับทีมศัลยแพทย์เหล่านั้น และเอ่ยถามขึ้นว่า
“ถ้าเข้ารับการผ่าตัด ทางเราต้องเตรียมตัวยังไงบ้างครับ?”
อเล็กซ์โทมัสกล่าวตอบไปตามตรงว่า
“แค่อยากแนะนำว่าให้พวกคุณเดินทางไปเข้าทำการผ่าตัดที่อเมริกาหรือไม่ก็แคนาดาครับ ทางเรามีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จได้ครับ”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและหยิบมือถือโทรหาพ่อโดยตรง
“ฮาโหลพ่อ มีเรื่องจะรบกวนหน่อยครับ ถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่จริงๆ พ่อช่วยจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไปอเมริกาไม่ก็อคนาดาได้ไหมครับ?”
จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราขึ้นทันที กล่าวตอบไปว่า
“แน่นอน เรื่องเล็กน้อยไม่มีปัญหา ถ้าตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้วค่อยโทรหาฉันอีกทีนะ”
จ้าวเฉียนกล่าวขอบคุณและกดวางสายไป
ประมาณสิบนาทีต่อมา จ้าวเฉียนนำทีมศัลยแพทย์กลับเข้ามาในห้องพักของหวานหลิน
หวานหลินที่เห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“คุณหมอ บอกผมมาตามตรงนะครับ ถ้าเกิดผมโชคไม่ดีตกเป็นหนึ่งใน30% ผลที่ตามมาจะเลวร้ายแค่ไหนครับ?”
อเล็กซ์โทมัสตอบกลับไปว่า
“คงกลายเป็นมนุษย์ผักตลอดไปครับ แต่ถ้าการผ่าตัดสำเร็จด้วยดี คุณจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ดั่งคนปกติอีกครั้ง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร 70%ในทางการแพทย์ถือว่ามากพอสมควร มันจะนำพามาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต”
หวานหลินในขณะนี้กลัวตายเป็นอย่างมาก ต่อให้อัตราสำเร็จจะ99% และมีโอกาสแค่1%ล้มเหลว เขาก็ยังกลัวมากอยู่ดี แล้วนี่ยิ่งเป็นการผ่าตัดสมอง ถ้าล้มเหลวขึ้นมาผมที่ได้คือหายนะ
เมื่อเห็นหวานหลินวิตกแบบนั้น จ้าวเฉียนจึงกล่าวเสริมขึ้นทันทีว่า
“คุณหวาน ผมไม่ได้อยากจะมายุ่งอะไรหรอกนะครับ แต่คุณเองก็อยู่ในวงการธุรกิจมานานแล้ว พบเจอหลากหลายโครงการที่การันตีว่าได้กำไรมากกว่าขาดทุนมาก็ไม่น้อย ดังนั้นผมขอถามกลับว่า ถ้าเป็นโครงการที่สามารถการันตีกำไรแน่นอนถึง70%โดยถ้าสำเร็จขึ้นมาสิ่งที่คุณได้คืนกลับมามันมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า คุณจะเลือกลงทุนไหม?”
หวานหลินขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้นทันที
“แกมาที่นี่ทำไม?”
“ก็ผมเป็นคนเชิญทีมศัลยแพทย์เหล่านี้มาจากต่างประเทศให้ และพวกเขาก็รับฟังแค่ผมเท่านั้น แน่นอนว่าผมจำเป็นต้องอยู่ที่นี่”
จ้าวเฉียนพยักไหล่ตอบอย่างช่วยไม่ได้
หวานหลินเขยือบขึ้นนั่งตัวตรงทันที และหันไปถามหวานเจียงว่า
“นี่เกิดอะไรขึ้น? ทำไมหมอนี่ถึงมาช่วยพ่อ?”
หวานเจียงไม่กล้าตอบ
จ้าวเฉียนไม่กลัวอีกฝ่ายแม้สักนิด จึงเอ่ยตอบไปว่า
“ปัจจุบันผมคือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของฮวาหยินกรุ๊ป และคุณเป็นเพียงพนักงานในบริษัทผม ในฐานะประธานใหญ่ ผมจำเป็นต้องดูแลพนักงานและปฏิบัติต่อคุณเป็นอย่างดี ถ้าหลังผ่าตัดคุณกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่ ผมจะคืนสิทธิ์การบริหารทั้งหมดให้ พูดตามตรงนะ ผมไม่ค่อยเชื่อมือหวานเจียงเท่าไหร่ ถ้าได้คุณมาคุมบังเหียนแทนน่าจะดีกว่า”
หวานหลินงุนงงอย่างมาก เขาตะโกนขึ้นลั่นว่า
“แกน่ะเหรอ? แกมีเงินมากขนาดไหนได้ยังไง? มากพอที่จะครอบครองฮวาหยินกรุ๊ปเลยงั้นเหรอ?!”
จ้าวเฉียนไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว จึงกล่าวตอบไปตามจริงว่า
“ผมจำนองบริษัทตัวเองให้กับฟู่ไห่ เพื่อกู้ยืนเงินจำนวนสี่พันล้านหยวนมา และด้วยจำนวนเงินเท่านี้ก็เพียงพอที่จะครอบครองฮวาหยินกรุ๊ปของคุณแล้ว”
“นี่แกจะบ้าเหรอ! ฟู่ไห่? บริษัทของนายมีมูลค่าถึงหลักพันล้านเลยงั้นเหรอ? ทำไมทางฟู่ไห้ถึงให้แกกู้ยืมเงินมามากขนาดนี้? แก…ทำได้ยังไง? ไม่สิ….แกทำเพื่ออะไรกันแน่?”
จ้าวเฉียนก้าวออกไปกอดเอวหวานเจียงและยิ้มตอบว่า
“แค่นี้ก็น่าจะชัดเจนพอแล้วนะครับ?”
หวานเจียงถึงกับหน้าแดงก่ำ รีบผลักจ้าวเฉียนออกไปโดยเร็ว
“นายทำอะไรน่ะ!”
ถึงเธอจะพูดแบบนั้นออกไป แต่ภายในใจของเธอกลับมีความสุขอย่างมาก
พอหวานหลินเห็นปฏิกิริยาลูกสาวตัวเองเป็นแบบนั้นก็ทราบได้ทันทีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนนั้นจะพัฒนาไปไกลแล้ว
แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ลูกสาวที่แสนหัวสูงของตน คนอย่างจ้าวเฉียนไม่น่าจะเข้าตาได้เลย ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“เสี่ยวเจียง บอกความจริงกับพ่อมา ลูกกับหมอนั่นมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่?”
ยังไม่ทันที่หวานเจียงจะเอ่ยปากอะไรตอบ จ้าวเฉียนก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า
“สัมพันธ์แบบไหนไม่สำคัญ! แต่บางที…คุณอาจต้องกลายเป็นปู่เร็วๆนี้!”
เมื่อประโยคนี้เปล่งดังออกมา ทั่วทั้งห้องก็พลันเงียบสงัดลงทันใด