ตอนนี่86 ออกไปซะ ถ้ารับเงื่อนไขไม่ได้
จ้าวเฉียนกวาดสายตาจับจ้องใบหน้าของทุกคนที่ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เขาหันกลับมาและพูดว่า
“คุณฟางคิดจะใช้วิธีนี้เพื่อขู่ให้ผมกลับไปใช่งั้นเหรอ? ผมว่ามันดูไร้ซึ่งมนุษยธรรมเกินไปหน่อยนะ?”
ฟางนี่รีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า
“พวกนายอย่าทำให้เขาเข้าใจผิดสิ! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะขู่นายนะ แต่ทุกคนต่างเชื่อว่านายสามารถกู้วิกฤตให้บริษัทได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรวมตัวกันเพื่อขอให้นายกลับมา”
พอสุ้มเสียงของฟางนี่เงียบลง ทุกคนต่างรีบก้าวขึ้นหน้า เอ่ยปากขอร้องเกลี้ยกล่อมให้จ้าวเฉียนกลับไปที่บริษัท
“จ้าวเฉียน ตอนนี้มีเพียงนายเท่านั้นที่สามรถช่วยเหลือบริษัทได้ มีเพียงแค่นายที่สามารถสร้างความมั่นคงให้พวกเรา เพื่ออนาคตของทุกคน นายกลับมาได้ไหม?”
“นายลองดูนี่สิ! พวกเราทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ แม้แต่แม่บ้านพยักงานทำความสะอาดทุกคนมาขอร้องนาย พวกเราจริงใจมากเลยนะ”
“ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นที่จริงใจ แม้แต่รองผู้จัดการหวังและเจียงเสี่ยวปิง ก็มาขอร้องนายเช่นกัน โดยเฉพาะกับเจียงเสี่ยวปิง เธอเป็นคนเสนอให้ทุกคนมาพบนายที่นี่ หลังจากที่บริษัทไม่มีนายอยู่ พวกเรารู้แล้วว่านายสำคัญสำหรับบริษัทนี้แค่ไหน”
ในขณะเดียวกัน เจียงเสี่ยวปิงก็เดินเข้ามาหา เธอพูดกับจ้าวเฉียน สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
“กลับมาได้แล้ว ทั้งหวังเฉียงและฉันสำนึกผิดแล้ว หลังจากนี้ไปพวกเราทั้งคู่จะไม่ก่อปัญหาให้นายอีกแล้ว ฉันสัญญา”
ทว่าจ้าวเฉียนกลับรวนหัวเราะคิกคักขึ้นมาแทน เขาเอ่ยตอบเพียงว่า
“เธอประเมินตัวเองสูงเกินไป ไม่ว่าจะเป็นหวังเฉียง เจวียงหยวน หรือเธอ มันก็ไม่ได้อยู่ในสายตาฉันมานานแล้ว ตอนนี้ฉันแค่ไม่อยากทำงาน ถ้าอยากเมื่อไหร่ เดี๋ยวฉันก็ไปหาทำเอง”
พอมีคนมุ่งดูมากขึ้นเรื่อยๆ จ้าวเฉียนก็เริ่มเป็นจุดสนใจของทุกคนในร้านสตาร์บัค
ในเวลานี้เอง จางหยางก็ตรงเข้ามาพูดกับจ้าวเฉียนเช่นกันว่า
“ตราบใดที่นายกลับมาและสามารถแก้ปัญหาให้ทางบริษัทได้ นายจะได้รับความเท่าเทียมเหมือนกันฉันทุกประการ ระหว่างเราจะไม่มีลูกน้องเจ้านายอีกต่อไป แถมหวานฉันซูเองยังอนุญาตมอบหุ้นจำนวน10%ให้นายไปฟรีๆ แล้วถ้านายยังต้องการเงินสิบล้านตามสัญญาเดิมอยู่ เดี๋ยวฉันจะจ่ายให้เอง ขอแค่รับประกันว่านายจะสามารถหากำไรให้บริษัท30ล้านภายในสามปี!”
จ้าวเฉียนหัวเราะเยาะเย้ยใส่จางหยางและถามกลับไปว่า
“ถ้าผมสามารถทำกำไรได้30ล้านภายในสามปีได้ตามที่ว่า ทำไมผมไม่ออกมาทำธุรกิจเองเลยล่ะ? ทำไมต้องทำให้คนอื่นๆ คุณไม่เห็นแก่เงินเกินไปหน่อยเหรอ?”
ฟางนี่รีบฉุดจางหยางออกมา และยิ้มหวานกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า
“อย่าไปฟังเขามากเลย ตราบเท่าที่นายช่วยบริษัทให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ มันก็เกินพอแล้ว เรื่องไร้สาระอย่างทำกำไรให้ได้30ล้านภายในสามปีอะไรนั่น ใครจะไปรู้อนาคตกันจริงไหม?”
ในความเป็นจริง ฟางนี่รู้อยู่แก่ใจดีว่า ตราบใดที่จ้าวเฉียนเต็มใจกลับเข้าบริษัท ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากสัญญาด้วยซ้ำ เดี๋ยวบริษัทก็จะดีขึ้นเอง
พนักงานหญิงคนหนึ่งกอดแขนจ้าวเฉียนไว้แนบแน่น เธอพยายามตื้อว่า
“จ้าวเฉียนกลับมาเถอะนะ พวกเราต้องการนาย”
“พอไม่มีนายอยู่ บริษัทกลับเงียบเหงาขึ้นมาเลย มันไม่มีชีวิตชีวาแบบแต่ก่อน ฉันยังอยากให้นายชวนพวกเราไปปาร์ตี้ที่โรงแรมตงไห่อีกนะ ตอนนั้นมันสนุกมากเลยแหละ อิอิ…”
“นายกลับมาได้แล้ว พอไม่มีนายทุกอย่างมันน่าเบื่อมากเลย นายไม่กลัวเราเสียใจเหรอ?”
จ้าวเฉียนต้องการทำงานโดยที่ปกปิดตัวตนแบบนี้ต่อไป เขาจะต้องกลับเข้าบริษัทเกมฟางนี่แน่นอนในสักวัน แต่นั้นไม่ใช่วันนี้แน่
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของทุกคนดีนะ ฉันเองก็อยากกลัว แต่มีเงื่อนไขหนึ่งข้อ และคุณฟางต้องสัญญาว่าจะต้องทำให้ได้”
ฟางนี่รีบตอบทันควันว่า
“เงื่อนไขอะไรเหรอ?”
“ออกมาคุยกันดีกว่าครับ”
จากนั้นจ้าวเฉียนก็พาฟางนี่มาหลบมุมด้านหนึ่งที่ปราศจากผู้คนอยู่ และเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“หวานฮันซูลงทุนไปเท่าไหร่ คุณให้อีกฝ่ายไปกี่หุ้น?”
“ส่วนผู้ถือหุ้น30%ในราคายี่สิบล้าน”
“อีกฝ่ายโง่ขนาดนั้นเลย? จบจากอเมริกาได้แค่นี้เองเหรอ? ยี่สิบล้านแลกกับแค่30%?”
“โอ้…จางหยางเป็นคนชักชวนเขาให้มาลงทุน โดยประกาศซะดิบดีว่าบริษัทจะคืนทุนให้แน่นอนภายในสองปี เขาก็เลยใจใหญ่ทุ่มหนัก แถม30%นี้ยังเป็นส่วนที่ไม่สามารถแทรกแซงกิจภายในได้ด้วย”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวต่อว่า
“เงื่อนไขของผมคือ อัตราส่วนผู้ถือหุ้นต้องไม่น้อยกว่าหวานฮันซู ในเมื่อเขาได้30% ผมต้องได้ไม่น้อยกว่า31% ถ้าคุณตอบตกลงเมื่อไหร่ ผมจะไปเจรจากับซิงหยวนให้ทันที และช่วยเอาโปรเจคดังกล่าวกลับมา”
ฟางนี่ตกตะลึงใจยิ่งยวดเมื่อได้ฟัง จ้าวเฉียนหยิบยกเงื่อนไขที่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย หวานฮันซูลงทุนด้วยเงินก้อนในจำนวน30% นั้นหมายความว่า ในส่วน360%ตรงนี้จะไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ ดังนั้นก็เหลืออยู่แค่วิธีเดียวคือ….ยกส่วนผู้ถือหุ้นจำนวน31%ของฟางนี่ให้แก่จ้าวเฉียนโดยตรง แต่ถ้าเป็นแบบนั้นเธอเหลือส่วนผู้ถือหุ้นเพียง39%เท่านั้น หมายความว่าเธอจะสูญเสียความสามารถในการบริหารไปอย่างสิ้นเชิง
“นาย…นี่มัน…ออกจะมากเกินไป…”
ฟางนี่แทบล้มทั้งยืนพอได้ยินเงื่อนไขของจ้าวเฉียน เธอรู้สึกราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปโดยไม่ทันตั้งตัว เธอจับจ้องพื้นกระเบื้องท่าทางว่างเปล่า ก่อนจะค่อยๆ ทรุดลงจนนั่งพิงขั้นบันได
จางหยางเห็นท่าทีของฟางนี่ดูจะไม่ถูกต้อง เขารีบวิ่งไปเข้าประคองโดยเร็ว
“เสี่ยวนี่! เธอเป็นอะไรรึเปล่า? เวียนหัวเหรอ?”
ฟางนี่ส่ายหัวเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วว่า
“ฉันสบายดี…”
จ้าวเฉียนทราบดีว่า สถานะของฟางนี่ในตอนนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของคนเดียวของบริษัทนี้อีกต่อไป เธอยังมีจางหยางเป็นผู้ถือหุ้นร่วม เขาจึงชี้แจงให้กับจางหยางให้ฟังอีกรอบหนึ่ง
จางหยางส่ายหัวตอบทันทีว่า
“นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเงื่อนไขสูงขนาดนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันอีก! นายควรล้มเลยความคิดนี้ไปซะ!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและหมุนตัวจากออกไปทันที ฟางนี่รีบคว้าแขนของเขาและอ้อนวอนทั้งน้ำตาว่า
“อย่า! อย่าไป! ฉันขอร้องเถอะนะ ช่วยบริษัทด้วย! เงื่อนไขของคุณมันยากเกินเป็นไปได้ แต่ฉันเองก็มีเงื่อนไขมาเสนอเช่นกัน! ฉันจะให้เงินสิบล้าน ฉันจะเขียนเช็คให้เดี๋ยวนี้เลย! ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาอะไรไปอธิบายกับหวานฮันซู? เขาลงทุนมาตั้ง20ล้าน แล้วฉันจะมอบหุ้น31%ให้นายแบบฟรีๆ ได้ยังไง? ถ้านายเป็นเขา นายจะยอมเหรอ?”
“คุณฟาง ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ คุณต้องการให้ผมช่วยแก้ปัญหาให้กับบริษัทของคุณฟรีๆ แบบนี้ ผมสู้ไปเปิดบริษัทเกมขึ้นมาเองดีกว่าไหม? มาสั่งให้ผมลงมือลงแรงแลกกับเศษเงินแค่สิบล้าน งั้นคุณไปหาวิธีแก้ไขปัญหาเองเถอะ”
ฟางนี่ลังเลอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะกัดฟันถามไปว่า
“แล้วคุณต้องการเงินเท่าไหร่?”
“คุณฟางยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ? ผมไม่ได้ต้องการเงิน ผมแค่ต้องการส่วนผู้ถือหุ้น51%กลับมา จากนั้นผมจะโอนคืนให้คุณ31%สำหรับสิทธิ์การบริหารของคุณ ผมต้องการแค่อำนาจในการควบคุมกลับมาเท่านั้นครับ ไม่ใช่เงิน”
พอได้ยินแบบนั้นฟางนี่พยักหน้าตอบทันทีว่า
“โอเคเลย! ตกลงตามนั้น! นายไปที่ซิงหยวนเพื่อเจรจาได้เลยตอนนี้ พอเสร็จแล้ว ฉันจะพานายไปโอนสิทธิ์ผู้ถือหุ้นคืนต่อเลย”
จางหยานที่กำลังกุมมือฟางนี่อยู่ เขากำลังจะกระชากกลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ทว่ากลับเป็นวฝ่ายฟางนี่เองที่สะบัดทิ้งแบบไม่เหลือเยื่อใย และปล่อยเขายืนเก้ออยู่หน้าบันไดทั้งๆ แบบนั้น
จางหยางทั้งรู้สึกเสียหน้าทั้งรู้สึกโมโหในเวลาเดียวกัน เขาตะคอกเสียงดังลั่นร้านว่า
“นี่เธอเชื่อใจเขามากกว่าสามีตัวเองงั้นเหรอ? ผมเป็นสามีของคุณนะ! ทำไมไม่เชื่อใจผมบ้างเลย แต่กลับไปเชื่อมั่นใจตัวมัน?! นี่มันหมายความยังไงกันแน่?”
มีผู้คนแห่แหนมุงดูทั้งสามโต้เถียงกันมากขึ้น แต่ละคนพลันคิดไปว่า นี่มันสงครามรักสามเส้าหรือเปล่า? ขนาดคนที่เข้ามาสั่งกาแฟยังต้องหยุดมองอย่างตื่นอกตื่นเต้นเช่นกัน
จ้าวเฉียนรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูจะไปกันใหญ่แล้ว เขาจึงหันมาพูดขัดฟางนี่ที่วิ่งมาหาโดยตรงว่า
“คุณฟางกับคุณจางคุยกันให้เรียบร้อยก่อนดีกว่าครับ ถ้าได้ข้อสรุปเมื่อไหร่ค่อยมาหาผม”
ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะเดินจากไป ฟางนี่ก็รีบคว้าแขนของเขาและยังตื้อไม่หยุด
“บริษัทนี้เป็นชื่อใคร? ฉันตกลง! พวกเรารีบกลับไปที่บริษัทเพื่อเซ็นสัญญากันเลย!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและขึ้นรถไปพร้อมกับฟางนี่ จากนั้นก็บึ่งตรงไปที่บริษัททันที
ผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง จ้าวเฉียนเดินออกมาจากห้องทำงานของฟางน่ะพร้อมกับหนังสือสัญญา ส่วนบรรดาเพื่อนร่วมงานต่างวิ่งไปหาตรงหน้า กล่าวต้อนรับการกลับมาอีกครั้งของจ้าวเฉียนพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม โดยคาดหวังว่า การกลับมาในครั้งนี้ของเขาจะช่วยทำให้บริษัทพัฒนาไปได้อีกระดับ
จางหยางเหลือบมองจ้าวเฉียนตาขวาง สายตาเปี่ยมล้นไปด้วยความอาฆาต ควรจะเป็นเขาต่างหากที่ทุกคนต้องการไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายมาเป็นจ้าวเฉียนแทน?
หวังเฉียงไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงพยายามเรียกร้องกับจางหยางว่า
“ผู้จัดการจาง เรื่องนี้จะให้พวกเราปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้นะครับ! ถ้ามันยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ มันต้องเด่นเกินหน้าเกินตาผู้จัดการจางแน่นอน ถ้าให้มันออกไปที่ซิงหยวนทั้งแบบนี้ พวกเราแย่แน่! คุณรีบสั่งการอย่าให้มันไปไหน ไม่ก็ถ่วงเวลาก่อนดีกว่าครับ ในเมื่อตอนนี้มันกลับมาแล้ว คุณก็มีอำนาจเหนือมันเช่นกัน!”
จางหยางเองก็รู้สึกว่าคำพูดของหวังเฉียงสมเหตุสมผลไม่ใช่น้อย แต่เขาไม่สามารถออกคำสั่งโดยตรงแบบนั้นกับจ้าวเฉียนได้ ดังนั้นเขาจึงแอบกระซิบข้างหูหวังเฉียนไปว่า
“ด้วยตำแหน่งหน้าที่ฉันดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แต่ตอนนี้นายสามารถหยุดมันได้ ไม่ต้องกังวล ออกตัวให้เต็มที่ไปเลย ฉันจะจดจำคุณงามความดีของนายไว้ ในอนาคตหลังจากที่ฉันยึดบริษัทนี้ได้เมื่อไหร่ ฉันจะปฏิบัติต่อนายเป็นอย่างดี อย่าลืมไปสิ….ฉันเป็นสามีของฟางนี่นะ ระหว่างคนนอกอย่างจ้าวเฉียนกับสามีอย่างฉัน นายคิดว่าเธอจะเลือกเข้าข้างใคร?”
หวังเฉียงพยักหน้าและเดินเข้าไปหาจ้าวเฉียนในบัดดล