ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 92 เชื่อใจเขา

ตอนที่92 เชื่อใจเขา
ฟางนี่และจางหยางตรงเข้าไปพบคนรับผิดชอบท่าเรือดังนั้น แต่อีกฝ่ายไม่คิดที่จะสื่อสารกับทั้งคู่แม้แต่น้อย ไอน้ำจนฝนพรำเกาะกระจกสำนักงาน จึงใช้นิ้วเขียนแค่ว่า ไสหัวไป
จางหยางที่โดยหยามขนาดนี้ก็โมโหอย่างมาก
“แค่ท่าเรือข้ามฟากเล็กๆ ที่หนึ่ง! โดนยัดเศษเงินเข้าหน่อยทำเป็นสองมาตรฐาน!”
คนรับผิดชอบท่าเรือแง่มประตูสำนักงานเปิดขึ้นเล็กน้อยและกล่าวตอบไปว่า
“ที่สนามบินหรือธนาคารยังมีช่องพิเศษสำหรับแขกVIPเลย ทำไมถึงไม่เห็นบ่น? ถ้าอยากไปร้องเรียนก็เชิญตามสบาย นี่มันเรื่องธรรมดามาก คนไหนจ่ายเงินให้เยอะกว่าก็ได้ไปก่อน ท่านคนนี้เป็นคนใหญ่คนโต ถ้ารอไม่ได้ก็กลับบ้านไปนอนไป!”
จางหยางยิ่งมีน้ำโหเข้าไปใหญ่ ตะคอกเสียงดังขึ้นว่า
“เห็นแก่เงินอย่างเดียว! หน้าไม่อาย! ผมจะแฉเรื่องนี้บนอินเตอร์เน็ต!”
“ฮ่าฮ่า…จะทำอะไรก็ทำเถอะ พวกเราไม่กลัว อย่ามาเกะกะ ออกไป! รปภ. ช่วยเอาสองคนนี้ออกไปที!”
จางหยางยังจะบุกเข้าสำนักงานหาเรื่องคนดูแลท่าเรือให้ได้ แต่ฟางนี่พยายามฉุดรั้งเขาเอาไว้ไม่ให้เรื่องมันบานปลาย ท่าทีของคนรับผิดชอบท่าเรือค่อนข้างชัดเจนพอแล้ว พวกเขาไม่สามารถโน้มน้าวใจอีกฝ่ายได้แน่นอน นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นอีกอย่างได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการขึ้นเรือเหมือนกันเป็นคนมีอำนาจแค่ไหน แม้แค่คนรับผิดชอบท่าเรือยังไม่กล้าขัด
“ที่รัก กลับเถอะ”
ไม่ว่าเขาจะได้ไปซ่งต้าวหรือไม่ จางหยางไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือ เขาล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ แล้วจะสร้างบารมีให้ทุกคนในบริษัทเคารพได้ยังไง? ซ้ำร้ายทุกคนอาจนำเรื่องของเขากลับไปนินทาลับหลังว่า ตัวเขาไร้ความสามารถและไม่อาจทำตัวเป็นประโยชน์ได้เลย
เมื่อเห็นฟางนี่และจางหยางกลับมาพร้อมด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทุกคนต่างใจหายโดยพลัน ทราบได้ในทันใดว่า ทั้งคู่เจรจาไม่สำเร็จ จ้าวเฉียนเห็นแบบนั้นจึงกดโทรออกทันที
แต่ในเวลาเดียวกัน รถหรูคันนั้นก็พุ่งเข้ามาจ่อตรงหน้าทุกคนบนฝั่ง พร้อมบีบแตร่อัดใส่ไม่หยุดหย่อนชนิดแก้วหูแทบแตก ท้ายที่สุดนี้อีกฝ่ายน่าจะเป็นคนมีสถานะ คนธรรมดาทั่วไปอย่างพวกเขาจะไปกล้าหาเรื่องด้วยได้ยังไง? จึงรีบหลีกทางให้ทันที
รถคันหรูขับฝ่ากลางผู้คนขณะจะขับขึ้นเรือทั้งแบบนั้น จู่ๆ จ้าวเฉียนก็เดินออกมาขวางหน้ารถ ท่าทางการแสดงออกไม่มีเกรงกลัวใดๆ
“ปี๊นน! ปี๊นน!! ปี๊นน!!! …”

รถหรูคันนั้นบีบแตรกระหน่ำใส่ไม่หยุด จนท้ายที่สุดคนขับรถถึงกับชะโงกหัวออกมาด่า
“ไอ้เวร! ตาบอดรึไงวะ! รถคันตั้งใหญ่!”
จ้าวเฉียนตอบสวนกลับไปไม่มีแยแสว่า
“คุณนั้นแหละตาบอดรึไง คนทั้งคนยืนอยู่ตรงนี้ยังจะหน้าด้านไปต่อ?”
คนขับรถตอบกลับน้ำเสียงโกรธจัด
“เด็กที่ไหนวะ? แกรู้ไหมว่าใครอยู่ในรถคันนี้!”
จ้าวเฉียนตอบกลับพร้อมท่าทีเย้ยหยันว่า
“ผมจะสนทำไมว่าใครอยู่ในรถ? ทุกคนก็จ่ายเงินจ้างเรือข้ามฟากเหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้สิทธิพิเศษเหนือคนอื่น? เพื่อนร่วมงานผมยังขึ้นมาไม่ครบเลย ไปต่อคิว!”
คนขับรถตะโกนลั่น
“มึงอยากตายนักใช่ไหม!! คนในรถน่ะคือ…”
ก่อนที่คนขับจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีชายกลุ่มหนึ่งในชุดสูทสีดำก้าวลงมาจากรถ เดินตรงมาหาจ้าวเฉียน
ฟางนี่และคนอื่นๆ ที่เห็นว่าท่าไม่ดี ก็รีบวิ่งไปหาหวังพาจ้าวเฉียนออกจากจุดนี้
“จ้าวเฉียน นายบ้าไปแล้วเหรอ? แม้แต่ท่าเรือฟอร์รี่ยังต้องยอมให้ลัดคิว นี่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!”
“รีบถอยออกมาก่อนเถอะ เราเปลี่ยนที่เที่ยวกันยังไม่สายนะ”
“อย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลย มีทั้งเงินทั้งอำนาจ แม้แต่ตำรวจยังต้องเข้าข้างเลยด้วยซ้ำ ดีงดันต่อไปก็มีแต่เสียกับเสีย สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเราควรกลับเมืองอย่างปลอดภัยครบ32นะ!”
บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างวิกตกังวลหนัก กลัวว่าจ้าวเฉียนจะตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัย และไม่ต้องการเห็นเขาถูกรุมทำร้าย
อย่างไรเสีย หวังเฉียงกลับเห็นต่างจากคนอื่นๆ โดยกล่าวว่า
“ไม่ต้องทำตัวอวดดี เอาหน้าไปซะทุกเรื่องหรอก นี่มันไม่ใช่ที่ๆ แกจะทำตัวเป็นพระเอกได้นะ ถ้าถูกกระทืบขึ้นมา เดี๋ยวมันจะกระทบกับการทำงานเอาได้”
เจวียงหยวนเองก็เห็นไปหาจ้าวเฉียนและพูดว่า
“นี่ไม่ใช่เรื่องของนาย ขึ้นเรือแล้วออกเดินทางไปก่อน เดี๋ยวพวกเราค่อยตามไปพรุ่งนี้”
สุ้มเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นคำหนึ่ง จ้าวเฉียนกล่าวตอบอย่างสบายอารมณ์ไปว่า
“ทั้งคู่อย่าเพิ่งพูดเลย มาหลบหลังผมก่อนมา เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง”
วาจาแสนอวดดีเปล่งดัง ไม่เพียงแต่เจวียงหยวนและหวังเฉียงที่ยิ่งหัวเสียกว่าเดิม แม้กระทั่งจางหยางเองก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน พร้อมตะโกนด่าไปว่า
“แกกล้าดียังไงมาพูดกับฉันแบบนี้! ฟางนี่กับฉันไปคุยกับคนรับผิดชอบท่าเรือมาแล้ว ทางนั้นบอกว่ามีแขกคำคัญที่จำเป็นต้องลัดคิวก่อน! เลิกทำตัวมีปัญหาแล้วถอยออกมาซะจ้าวเฉียน ถ้าเจอปัญหาใหญ่เข้า มันจะส่งผลเสียกับทุกคน อย่าเห็นแก่ตัว!”
จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปทันที
“ผู้จัดการจางเองก็ด้วย หลบหลังผมก่อน เดี๋ยวจัดการเองครับ”
ทันทีที่สิ้นเสียงไป กลุ่มชายในชุดสูทสีดำก็ตรงมาถึงหน้าจ้าวเฉียนพอดี ชายร่างสูงคนหนึ่งกล่าวกับเขาว่า
“น้องชาย มันไม่ใช่เรื่องยากเลยนะกับแค่หลีกทางออกไป”
จ้าวเฉียนยืนประจันหน้าโดยไม่มีกลัวเกรงใดๆ และกล่าวตอบเสียงเย็นไปว่า
“มาก่อนได้ก่อน พวกคุณมาทีหลังก็ต้องรู้จักรอ มารยาททางสังคมน่ะรู้จักไหม?”
“ฮ่าฮ่า…น้องชายรู้ไหมว่าใครอยู่ในรถคันนี้?”
“ผมไม่รู้และไม่อยากรู้ด้วยครับ แต่ขอเตือนอะไรไว้อย่าง ต่อให้เป็นนายกผมก็ไม่ยอมให้มาแทรกคิวแบบนี้ คนของผมมาก่อนดังนั้นก็ต้องได้ขึ้นก่อนเช่นกัน ถ้าอยากทำให้เรื่องนี้กลายมาเป็นเรื่องใหญ่ก็ลองดูได้นะ สำนักสื่อต่างๆ คงออกมาโจมตีพวกคุณในฐานะพวกมีอำนาจแต่เห็นแก่ตัว สุดท้ายคนที่จะมีปัญหาในภายหลังกลับเป็นคนที่อยู่ในรถคันนั้นมากกว่า”
“เหอะ เหอะ… น้องชาย อย่าหาว่าพวกพี่ไม่สุภาพละกันนะ พวกนาย! ใครก็ตามที่ยืนขวางทาง อุ้มออกไปซะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของชายร่างสูง กลุ่มคนในชุดสูทสีดำที่เหลือก็ตรงเข้าไปคว้าร่างที่อยู่ด้านหลังจ้าวเฉียนทันที
ส่วนด้านจ้าวเฉียนรีบยกแขนขึ้นปกป้องคนที่อยู่ด้านหลังโดยไว ฟางนี่ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
ท้ายที่สุดนี้ไม่อาจทราบได้เลยว่าจำนวนคนในรถมีอีกเท่าไหร่ เธอย่อมตีตัวหวาดกลัวไปก่อนเป็นธรรมดา
แต่ทันใดนั้นเองคนขับรถหรูก็ชะโงกหัวออกมาอีกครั้งพร้อมตะโกนว่า
“พวกนายกลับมา!”
ทันทีที่สิ้นเสียงคนขับ กลุ่มชายในชุดสูทสีดำก็หันหลังกลับไปทันที
จางหยางที่เห็นสถานการณ์คลี่คลายลงเล็กน้อย สิ่งแรกที่ทำคือตะคอกด่าจ้าวเฉียน
“แกทำอะไรของแก! ถ้าคนพวกนั้นลงมือกับพวกเราจริงๆ แกรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของพวกฉันไหวเหรอ! ทุกคนฟัง! ขึ้นจากเรือมาให้หมด แล้วพวกเราจะจองเรือข้ามฝั่งลำใหม่ในวันพรุ่งนี้!”
จ้าวเฉียนหน่ายใจเหลือเกินที่จะยืนเถียงกับจางหยางผู้ไร้ซึ่งความสามารถคนนี้ มีดีแต่แหกปากโหวกเหวกโวยวาย พูดจาทำเป็นรับผิดชอบทุกคนสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่คำนึงถึงจิตใจพวกเขาเลย เขากล่าวขึ้นว่า
“ไม่ต้องขึ้นมา! ฉันจะไปคุยกับพวกนั้นเอง รับประกันได้เลย วันนี้ทุกคนต้องได้เที่ยว!”
พอสิ้นเสียงจ้าวเฉียนก็เดินออกไปทางสำนักงานของคนดูแลท่าเรือทันทีโดยไม่คิดแม้แต่เหลียวกลับมอง
จางหยางบ่นขึ้นเจือน้ำเสียงโมโหว่า
“อย่าไปฟังมัน ปล่อยให้มันโดนสั่งสอนสักหน่อยคงดี จะได้รู้ว่าชนชั้นทางสังคมมันมีจริงๆ! รีบขึ้นจากเรือแล้วไปหาที่หลบฝนกันเถอะ บางทีถ้าฝนฟ้ามันสงบแล้ว อาจจะได้ไปภายในวันนี้แหละ”
บรรดาเพื่อร่วมงานที่ลงเรือไปแล้วมีท่าทีลังเลเล็กน้อย เนื่องจากที่ผ่านมา จ้าวเฉียนมักจะแก้ปัญหาให้พวกเขาได้เสมอ บางทีครั้งนี้เขาอาจจะทำสำเร็จเช่นกัน?
เมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงนั่งนิ่งไม่ขึ้นฝั่ง หวังเฉียงจึงตะโกนซ้ำสองไปว่า
“นี่พวกนายไม่ได้ยินกันรึไง? ผู้จัดการจางบอกให้ขึ้นฝั่งมาไม่ใช่รึไง? หรือคิดจริงๆ ว่าจ้าวเฉียนจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายได้? ถ้าคนที่อยู่ในรถมีถานะเหมือนๆ กับเขา คิดหรือว่าคนดูแลท่าเรือจะให้หน้าถึงขนาดนี้? เลิกโง่กันได้แล้วเข้าใจไหม?”
มีหลายคนเช่นกันที่คิดว่าสิ่งที่หวังเฉียงพูดออกมาก็มีเหตุมีผล ถ้าอีกฝ่ายเป็นถึงผู้ทรงอิทธิพลขนาดนั้น นี่มันก็เกินกำลังจ้าวเฉียนไปแล้วจริงๆ และไม่น่าจะแก้ไชปัญหาให้พวกเขาได้
พวกเขาจึงถยอยกันลุกและขึ้นฝั่งมาโดยเร็ว แต่ในท้ายที่สุดก็เหลือแค่สองคนเท่านั้นที่ยังอยู่ในเรือ คนแรกคือหลิวเหม่ย ส่วนอีกคนก็คือ เจียงเสี่ยวปิง
หวังเฉียงที่เห็นแบบนั้นก็เดือดขึ้นอย่างมาก
“พวกเธอสองคนมัวทำอะไรอยู่ รากฝังอยู่บนเรือแล้วรึไง ถึงขั้นฝั่งไม่ได้?”
หลิวเหม่ยตอบสวนไปว่า
“รองผู้จัดการหวัง ฉันเชื่อว่าจ้าวเฉียนจะต้องทำสำเร็จ! เขาไม่เคยทำให้พวกเราผิดหวังสักครั้ง และฉันยังคงเชื่อใจเขา”
“หลิวเหม่ย เธออย่าโง่ไปหน่อยเลย! สถานการณ์ตอนนี้มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“พวกเราเข้าใจนะ ถึงเธอจะชอบเขาแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ควรทำให้ผู้ทรงอิทธิพลขุ่นเคือง!”
“รีบขึ้นฝั่งมาก่อนเถอะ!”
คำชักชวนของบรรดาเพื่อนร่วมงานกลับไม่มีผลกับหลิวเหม่ยเลย เธอยังคงเชื่อมั่นในตัวจ้าวเฉียน
สำหรับหวังเฉียงแล้ว หลิวเหม่ยยังไม่เท่าไหร่ แต่เจียงเสี่ยวปิงที่ไม่ยอมขึ้นฝั่งมานี่สิ เขายิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิดใจมากขึ้น
ไม่รอช้า หวังเฉียงตะโกนถามเจียงเสี่ยวปิงด้วยความโกรธจัด ว่านี่หมายความว่ายังไง ทั้งยังถามทิ้งท้ายไปว่า เธอเองก็เชื่อใจในตัวของจ้าวเฉียนด้วยเหรอ?
เจียงเสี่ยวปิงไม่สามารถพูดออกไปตามที่เธอคิดได้ เพราะเธอเองก็เชื่อว่าจ้าวเฉียนจะทำสำเร็จเช่นกัน แต่อย่างไร ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานทั้งหลายแหล่ เธอรู้สึกกระดากปากเกินที่จะพูดแบบนั้นออกไปได้ จึงกลับลำเปลี่ยนเหตุผลทันที
“เปล่า ฉันว่ามันไม่ยุติธรรม ต่อให้ใหญ่โตมาจากไหนก็จ่ายเงินเท่ากันไม่ใช่เหรอ? ก็ต้องปกป้องสิทธิ์ของตัวเองสิ”
เหตุผลแก้ตัวของเจียงเสี่ยวปิงค่อนข้างยอดเยี่ยมนัก เล่นเอาหวังเฉียงพูดไม่ออก
ในเวลานั้นเอง บริเวณสำนักงานจู่ๆ ก็มีรปภ.จำนวนมากวิ่งแห่กันออกมา พวกเขากำลังตรงมาหาฟางนี่และที่เหลือ
ทุกคนต่างรู้สึกสั่นกลัวอย่างหนัก หรือเป็นไปได้ไหมที่จ้าวเฉียนไปยั่วโมโหคนดูแลเข้า ฝ่ายนั้นจึงสั่งให้พวกรปภ.ออกมารุมกระทืบทุกคน?

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

เนื้อเรื่องย่อ จ้าวเฉียน อายุ23ปี พนักงานกินเงินเดือนธรรมดา รายได้เดือนละแค่5,000หยวน ทุกคนในบริษัทต่างดูถูกดูแคลนเขา เพราะเจ้านี่ขี้เหนียวเหลือเกิน แม้แต่แฟนเก่ายังทนเขาไม่ไหว และหันมาแอบคบชู้กับผู้จัดการของเขาแทน จนเวลาผ่านไปเขาเพิ่งมารู้ความจริง อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ชวนน่าตกตะลึงกว่าคือ ตัวตนที่ที่แท้จริงของเขาคือทายาทมหาเศรษฐี บุตรชายของจ้าวฝู บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ฉลองปาร์ตี้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ขับรถกลับทั้งๆที่อยู่ในอาการเมา จนแล้วจนรอด บังเอิญไปเฉี่ยวชนเข้ากับสาวน้อยคนหนึ่ง จนเธอได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาดสติหนัก เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้น ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสร้างปัญหาไปทั่วสถานีตำรวจ ระหว่างนั้นเองก็มีมือดีที่ไหนไทม่ทราบแอบถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ทัน พร้อมถูกอัปโหลดลงโซเชียลออนไลน์ ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อฉกเถียงยกใหญ่ของผู้คนในเวลานั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็กระทบไปถึงชื่อเสียงขงอตระกูล จ้าวฝูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อำนาจเงินตรา เพื่อไล่ลบคลิปวีดีโอเหล่านี้จนหมด ไม่ให้สืบสาวไปถึงตัวลูกชายของเขา คนเป็นพ่อใช้ไม้แข็งตัดขาดจ้าวเฉียน ไล่ไสส่งออกจากตระกูลจ้าว และให้จ้าวเฉียนหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาสาวน้อยคนนั้นเป็นจำนวน 200,000หยวน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ถึงจะกลับเข้ามาในตระกูลอีกครั้งได้ ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จ้าวเฉียนจำต้องทนกับความอัปยศนานาชนิด ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด จนในที่สุดเขาก็จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนควบตามที่กำหนดไว้ เขาได้ทุกอย่างคืนกลับมาอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เขาต้องการคือ การแก้แค้นพวกที่เคยดูถูกเขา! “ประธานฟาง ฉันยินดีร่วมหุ้นกับบริษัทของคุณเป็นจำนวนเงิน3ล้านหยวน โดยมีเงื่อนไขว่า คุณไม่ได้รับอนญาตให้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของผม ไม่อย่างนั้นผมจะถอนทุนทั้งหมดออกทันที” “เข้าใจแล้วค่ะคุณจ้าว” “ฮิฮิ….ตราบใดที่เข้าใจแล้ว ก็ทำให้ได้ แล้วคุณรู้ไหมว่า ผู้จัดการหวัง เจ้านั้นมันต้องการขับไล่ผมออกจากบริษัท คิดว่าผมควรทำยังไงดี?” “ง่ายมากค่ะ! ฉันจะไล่เขาออกเดี๋ยวนี้!” “ไม่ ไม่… ผมยังเล่นกับเขาไม่จุใจเลย จะไล่ออกไปง่ายๆได้ยังไง?”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset