ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 95 อธิบายเพียงไม่กี่คำ

ตอนที่95 อธิบายเพียงไม่กี่คำ
ผู้บริหารบอร์ดเอ่ยปากอนุญาตเองแล้วแบบนี้ ทางตำรวจจะทำยังไงต่อไปล่ะ?
จางหยางกำลังพูดจาใส่ร้าย หมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่ตำรวจ แถมยังส่งเสียงรบกวนแขกผู้เข้าพักคนอื่นอีก ยังไงก็มีความผิดอยู่แล้ว
ขณะที่ตำรวจกำลังกุมตัวจางหยางกลับไป ฟางนี่ก็รีบวิ่งเข้ามาขวางพวกตำรวจโดยเร็วและบอกให้จางหยางรีบขอโทษตำรวจและทางโรงแรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งปัจจุบันจางหยางสูญเสียความสามารถในการควบคุมอารมณ์ไปโดยสิ้นเชิง ทุกคำพูดที่จะเอ่ยออกมาต่อจากนี้ปราศจากสติคอยกลั่นกรอง แถมลึกๆ แล้วยังรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากภายในใจ เพราะตำรวจลงมือลงไม้กับเขาจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ขู่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขากลับกลัวที่สุดคือ ไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาลูกน้องในบริษัททั้งหลาย ถ้าเอ่ยปากขอโทษไป เขายังเหลือบารมีอะไรไว้ให้ลูกน้องเคารพอีกในอนาคต?
“ผมก็พูดถูกต้องแล้ว! ทำไมต้องขอโทษ! พวกมันนั่นแหละที่ควรต้องขอโทษผม!”
ผู้บริหารบอร์ดคนนั้นหัวเราะเยาะเล็กน้อย กล่าวกับทางตำรวจว่า
“คุณตำรวจ เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ฝากสั่งสอนและมอบความรู้ทางกฎหมายกับเขาหน่อยก็ดีนะครับ”
หากจางหยางถูกพาตัวไปแบบนั้น ทุกคนไม่เหลืออารมณ์เที่ยวกันแน่นอน จะปล่อยให้ทริปนี้กร่อยไม่ได้เด็ดขาด
ทันใดนั้นเอง จ้าวเฉียนก็ตรงเข้าไปหาผู้บริหารบอร์ดและกล่าวว่า
“ผู้บริหารบอร์ดใช่ไหมครับ? สวัสดีครับ ผมจ้าวเฉียน เป็นคนรู้จักของชายคนนี้เอง ไม่ทราบว่าพอมีเวลามาคุยกันหน่อยไหมครับ?”
พอได้ยินจ้าวเฉียนแนะนำตัวพร้อมเน้นเสียงตรงชื่อตัวเองแบบนั้น ดวงตาของผู้บริหารบอร์ดพลันสว่างวาบนึกออกในทันใด เขาคลี่ยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้าตอบ และเดินไปหลบมุมหนึ่งกับจ้าวเฉียนแต่โดยดี
ในที่สุด เขาก็ได้พบกับลูกชายของมหาเศรษฐีจ้าวฝู่ตัวเป็นๆ ได้ทีต้องประจบประแจงสักหน่อย
“ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณชายจ้าวอยู่บ้างครับ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนถ่อมตัว สุภาพขนาดนี้”
จ้าวเฉียนตบไหล่ผู้บริหารบอร์ดเบาๆ พร้อมกล่าวว่า
“เบาเสียงหน่อยก็ดีนะครับ ผมไม่อยากให้คนอื่นทราบว่าผมคือใคร พอเข้าใจที่พูดไหมครับ?”
“เข้าใจครับ เข้าใจครับ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าคุณเป็นลูกชายของคุณจ้าวฝู่ใช่ไหมครับ?”
“ยิ่งคนรู้น้อยปัญหาหก็จะน้อยตาม ผมไม่อยากทำตัวโดดเด่นเท่าไหร่”
“อ่า..เข้าใจแล้วครับ งั้นผมจะไปช่วยไกล่เกลี่ยกับทางตำรวจให้ปล่อยเพื่อนคุณชายจ้าวเองครับ ไม่มีปัญหา”
“อืม ฝากด้วยนะ”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินกลับมาด้วยกัน พลางหัวเราะคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน
ผู้บริหารบอร์ดจงใจกล่าวเสียงดังขึ้นว่า
“น้องชายพูดถูกต้องแล้ว การทำธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับรายได้และเม็ดเงินที่เข้ามา แต่สิ่งที่คาดไม่ได้เช่นกันคือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ถ้าสนิทชิดเชื้อกับคู่ค้าก็มีชัยไปกว่าครึ้งแล้ว แนวคิดในการทำงานของน้องชายเยี่ยมมากจริงๆ ถ้าเบื่อบริษัทเล็กๆ แบบนี้แล้ว สามารถย้ายมาทำกับพี่คนนี้ได้ทุกเมื่อ! ส่วนชายคนนี้หลังปล่อยตัวไป น้องชายต้องเตือนเขาอย่าให้สร้างปัญหาอีกเข้าใจไหม? ครั้งนี้เห็นแก่หน้าน้องนะ อย่าหามีครั้งที่สองอีก”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบอย่างพึงพอใจ ผู้บริหารบอร์ดคนนี้ดูเป็นงาน เข้าขาได้ดีจริงๆ
“ต้องขอบคุณผู้บริหารมากครับ คราวหน้าถ้ามีโอกาส ทางผมอยากเชิญมารับประทานข้าวด้วยกันสักครั้ง ตอบแทนที่ท่านยอมช่วยเหลือในครั้งนี้ ผมจะกำชับกับทุกคนให้ดี ไม่ให้สร้างปัญหากับทางโรงแรมอีกแน่นอนครับ”
“ฮ่าฮ่า…งั้นดีเลย! เอาล่ะ เอาล่ะ ให้ทุกคนมาเช็คอินได้เลยนะ เรื่องห้องเต็มเดี๋ยวผมจัดการให้ วันนี้ทุกคนต้องได้ห้อง!”
จางหยางแทบอยากกระอักเลือดตายให้รู้แล้วรู้รอด เขาตกที่นั่งลำบากไม่พอ ปัญหายังถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้งจนเกือบถูกนำตัวไปโรงพัก แต่จ้าวเฉียนเพิ่งมาไม่ทันไร พูดอะไรก็ไม่รู้กับผู้บริหารแค่ไม่กี่คำ ก็สามารถคลี่คลายปัญหาได้ทั้งหมดในชั่วอึดใจ
จางหยางรู้สึกอัปยศอดสูเกินพรรณนาได้ ยิ่งคิดเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆ แน่นอน เขาเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“ไหนผู้จัดการโรงแรมบอกว่าไม่มีห้องแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมผู้บริหารกลับบอกว่าให้ไปเช็คอิน พนักงานของคุณนี่มันยังไง จงใจสร้างปัญหากับพวกเรารึไง!”
จ้าวเฉียนส่ายหัวอานอย่างช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงมองข้ามและหันมากล่าวกันทุกคนว่า
“มาเช็คอินกันเถอะ เรื่องระหว่างผู้จัดการจางกับผู้จัดการโรงแรม ให้ทั้งคู่ไปจัดการกันเอง”
พอพูดจบจ้าวเฉียนก็ประเดิมเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินเป็นคนแรก ส่วนที่เหลือก็รีบเร่งตามาต่อคิวรอ ปล่อยให้จางหยางยืนแหกปากโวยวายอยู่คนเดียว ไม่มีแม้แต่ใครมาสนใจ
ฟางนี่รีบโค้งศีรษะขอโทษคุณตำรวจกับคนของโรงแรมทันที คว้ามือจางหยางออกไปคุยกันส่วนตัว
“ที่รัก นี่คุณจะทำอะไรอีก? จ้าวเฉียนก็ช่วยคุยกับผู้บริหารแล้วไง ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องที่พักแล้ว!”
จางหยางไม่พอใจอย่างมาก ตอบกลับทันทีว่า
“นี่เธอหมายความว่ายังไง? คงคิดอยู่ใช่ไหมว่า ผมด้อยกว่ามัน!? มันแก้ปัญหาได้ตลอด ในขณะที่ผมเอาแต่หาเรื่อง! ใช่ไหมล่ะ! พูดมา!?”
“ไม่ที่รัก! ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น! แค่พยายามจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดมันคลี่คลายลงแล้วไง ไม่ต้องไปเปลืองน้ำลายกับพวกนั้นแล้ว อย่าหาเรื่องทะเลาะกับทางโรงแรมอีกเลย ไปเช็คอินแล้วกินข้าวกันดีกว่า!”
จางหยางไม่คิดจะอยู่โรงแรมนี้อีกต่อไปแล้ว แต่โรงแรมอื่นก็ไม่เหลือห้องว่างแล้วเช่นกัน จึงทำได้เพียงเดินตามฟางนี่ไปเช็คอินอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก พนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ยังคงยิ้มแย้มกล่าวทักทายดั่งเช่นเคย แต่จางหยางกลับรู้สึกว่า พวกเธอกำลังยิ้มเยาะเย้ยเขา
“ยิ้มทำไมห่ะ?”
พนักงานสาวที่แผนกต้อนรับยังคงยิ้มแย้ม ตอบกลับอย่างสุภาพไปว่า
“สวัสดีค่ะ รอยยิ้มถือเป็นบริการพื้นฐานจากทางเราค่ะ”
“อย่าคิดว่าผมไม่รู้! พวกคุณกำลังหัวเราะเยาะผมใช่ไหม!? หุบปากแล้วเลิกแก้ตัวได้แล้ว!”
“อิอิ…คุณลูกค้าค่ะ ทางเราไม่สามารถทำตามคำขอได้ พวกเรามีหน้าที่ยิ้มต้อนรับคุณลูกค้าผู้มีเกียรติทุกคนค่ะ ถ้าคุณลูกค้าไม่สบายใจในส่วนใด สามารถไปร้องเรียนได้ตลอด24ชม.ค่ะ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งบริการพื้นฐานของทางเราค่ะ”
ฟางนี่รีบหยุดจางหยางทันทีก่อนจะปานปลายไปมากกว่านี้ เธอกล่าแทรกขึ้นทันทีว่า
“โอเค โอเคค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ลำบาก พวกเราต้องการเช็คอินห้องคิงไซส์ หนึ่งห้องค่ะ”
“เข้าใจแล่วค่ะคุณลูกค้า รบกวนนำบัตรประชาขนของผู้เข้าพักออกมาตรวจสอบได้ไหมค่ะ? จำเป็นต้องลงทะเบียนข้อมูลของผู้เข้าพักน่ะค่ะ”
ฟางนี่รับหยิบบัตรประชาชนออกมาพร้อมยื่นให้ทันที แต่จางหยางยังคงยืนนิ่งไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เธอถอนหายใจเฮืแกหนึ่งและต้องหยิบกระเป๋าสตางค์ของเขาขึ้นมาเอง และดึงบัตรประชาชนส่งให้พนักงานต้อนรับ
ไม่ว่าจางหยางจะไม่พอใจแค่ไหน เขายังต้องทนอยู่ต่อไปทั้งๆ แบบนี้ ตลอดทางตั้งแต่ล็อบบี้จนถึงห้องพัก เขาสบถด่าไม่มีหยุด ยั่วยุพนักงานทุกคนในโรงแรมตั้งแต่ผู้จัดการยันพนักงานเก็บกระเป๋า ยังไม่พอ ทันทีที่เข้าห้องไปยังบ่นไม่หยุด จะร้องเรียนว่าสิ่งอำนวจความสะดวดภายในห้องพักไม่ได้มาตรฐานต่างๆ นาๆ
ฟางนี่ชักจะทนไม่ไหวแล้ว เธอคิดว่า ทีแรกเขาคงใจร้อนเกินไปชั่วขณะ แต่พอจ้าวเฉียนแก้ปัญหาให้เสร็จสรรพแล้ว ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นมาเอง แต่ใครจะไปคิดว่า เขายังคงหาเรื่องไม่หยุดแบบนี้?
จ้าวเฉียนขอเช็คอินเป็นห้องคิงไซส์เช่นกัน เพิ่งออกมาห้องน้ำหลังแช่อ่างเช็ด จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นต่อเนื่อง
เมื่อเขามองลอดช่องผ่านตาแมว ก็พบว่าเป็นเจียงเสี่ยวปิง
เจียงเสี่ยวปิงในตอนนี้สงสัยในตัวจ้าวเฉียนเป็นอย่างมาก เธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวเฉียนกันแน่ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้
จ้าวเฉียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขายังไม่เปิดประตูให้และเอ่ยถามผ่านประตูไปว่า
“มีอะไร?”
เจียงเสี่ยวปิงตอบกลับทันที
“ฉันมีบางอย่างจะคุยกับนาย เปิดประตู”
“ถ้ามีอะไรก็พูดตรงนี้เลย ผมเพิ่งแช่น้ำเสร็จ ยังไม่สะดวก”
“มันไม่สะดวกเท่าไหรที่ต้องคุยผ่านประตูน่ะ แต่งตัวเสร็จแล้วก็มาเปิดประตูให้ฉันด้วย”
“ก็แล้วแต่นะ ฉันเหนื่อยนิดหน่อย กะจะนอนพักสักงีบก่อน”
คล้อยหลังกล่าวจบ จ้าวเฉียนก็หมุนตัวกลับไปที่เตียงและทิ้งตัวนอนอย่างสบายใจ ปล่อยให้เจียงเสี่ยวปิงยืนเคาะประตูแบบนั้นอยู่สักพักใหญ่ แต่ตะโกนเรียกยังไง ก็ปราศจากสุ้มเสียงตอบจากจ้าวเฉียน
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะเคลิ้มหลับไปจริงๆ จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาตะโกนสวนกลับไปเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า
“ต้องการอะไรอีก?”
“จ้าวเฉียน นี่ฉันเองหลิวเหม่ย”
จ้าวเฉียนสะดุ้งโหย่งรีบลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อกางเกงมาสวมโดยไวและตรงไปเปิดประตูให้ทันที พร้อมถามว่า
“หลิวเหม่ยเหรอ มีอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่มาชวนนายไปทานข้าวด้วยกันน่ะ แถมนาย…ยังไม่ได้ซื้อของขวัญให้ฉันเลยนะ อิอิ…พาฉันไปเดินเลือกเลย”
“อ่า…ได้ๆ แต่รอฉันซักผ้าก่อนได้ไหม พอดีไม่อยากแบกกระเป๋าใหญ่มาน่ะ เลยเอาเสื้อผ้ามาจำกัด ขอซักตากแปปนึง!”
“มา มา! เดี๋ยวฉันซักให้ นายไปนอนพักสายตาต่อเถอะ!”
จากนั้นหลิวเหม่ยก็ตรงเข้าห้องจ้าวเฉียนไปทันที เขายังไม่ทันได้ห้ามใดๆ เธอก็เข้าห้องน้ำหยิบเสื้อผ้าที่ใส่แล้วของเขาไปซักในอ้างล้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หากจ้าวเฉียนยังปล่อยไปแบบนี้ หลิวเหม่ยจะยิ่งจมดิ่งกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รีบทำให้เธอตัดใจเสียแต่ตอนนี้ จะยิ่งทำให้เธอเสียใจเข้าไปใหญ่แน่นอน
แต่การปฏิเสธแบบตรงไปตรงมา มันจะทำร้ายความรู้สึกของหลิวเหม่ยเกินไป เธอไม่ใช่ผู้หญิงหน้าด้านหน้าทนแบบเจียงเสี่ยวปิง ดังนั้นจ้าวเฉียนต้องเลือกใช้ไม้อ่อนกับเธอเท่านั้น
จ้าวเฉียนนั่งคิดหาวิธีอยู่นาน จนในที่สุดก็ได้ไอเดีย เขารีบหยิบมือถือพิมพ์ทักหวานเจียงผ่านWeChatโดยไว ขอให้หวานเจียนรีบมาที่เกาะซ่งต้าวบัดเดี๋ยวนี้
เนื่องจากทั้งสองยังมีจ้อตกลงผูกมัดกันอยู่คือ ไม่ว่าหวานเจียงอยู่ที่ไหน แต่เมื่อไหร่ที่จ้าวเฉียนต้องการตัว เธอก็ต้องมาหา
หวานเจียงพิมพ์ตอบตกลงพร้อมส่งสติ๊กเกอร์หงุดหงิดใส่ไปตัว ก่อนเธอจะรีบไปขึ้นเรือยอทช์ส่วนตัวมุ่งหน้าไปที่ซ่งต้าวทันที

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

เนื้อเรื่องย่อ จ้าวเฉียน อายุ23ปี พนักงานกินเงินเดือนธรรมดา รายได้เดือนละแค่5,000หยวน ทุกคนในบริษัทต่างดูถูกดูแคลนเขา เพราะเจ้านี่ขี้เหนียวเหลือเกิน แม้แต่แฟนเก่ายังทนเขาไม่ไหว และหันมาแอบคบชู้กับผู้จัดการของเขาแทน จนเวลาผ่านไปเขาเพิ่งมารู้ความจริง อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ชวนน่าตกตะลึงกว่าคือ ตัวตนที่ที่แท้จริงของเขาคือทายาทมหาเศรษฐี บุตรชายของจ้าวฝู บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ฉลองปาร์ตี้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ขับรถกลับทั้งๆที่อยู่ในอาการเมา จนแล้วจนรอด บังเอิญไปเฉี่ยวชนเข้ากับสาวน้อยคนหนึ่ง จนเธอได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาดสติหนัก เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้น ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสร้างปัญหาไปทั่วสถานีตำรวจ ระหว่างนั้นเองก็มีมือดีที่ไหนไทม่ทราบแอบถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ทัน พร้อมถูกอัปโหลดลงโซเชียลออนไลน์ ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อฉกเถียงยกใหญ่ของผู้คนในเวลานั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็กระทบไปถึงชื่อเสียงขงอตระกูล จ้าวฝูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อำนาจเงินตรา เพื่อไล่ลบคลิปวีดีโอเหล่านี้จนหมด ไม่ให้สืบสาวไปถึงตัวลูกชายของเขา คนเป็นพ่อใช้ไม้แข็งตัดขาดจ้าวเฉียน ไล่ไสส่งออกจากตระกูลจ้าว และให้จ้าวเฉียนหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาสาวน้อยคนนั้นเป็นจำนวน 200,000หยวน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ถึงจะกลับเข้ามาในตระกูลอีกครั้งได้ ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จ้าวเฉียนจำต้องทนกับความอัปยศนานาชนิด ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด จนในที่สุดเขาก็จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนควบตามที่กำหนดไว้ เขาได้ทุกอย่างคืนกลับมาอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เขาต้องการคือ การแก้แค้นพวกที่เคยดูถูกเขา! “ประธานฟาง ฉันยินดีร่วมหุ้นกับบริษัทของคุณเป็นจำนวนเงิน3ล้านหยวน โดยมีเงื่อนไขว่า คุณไม่ได้รับอนญาตให้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของผม ไม่อย่างนั้นผมจะถอนทุนทั้งหมดออกทันที” “เข้าใจแล้วค่ะคุณจ้าว” “ฮิฮิ….ตราบใดที่เข้าใจแล้ว ก็ทำให้ได้ แล้วคุณรู้ไหมว่า ผู้จัดการหวัง เจ้านั้นมันต้องการขับไล่ผมออกจากบริษัท คิดว่าผมควรทำยังไงดี?” “ง่ายมากค่ะ! ฉันจะไล่เขาออกเดี๋ยวนี้!” “ไม่ ไม่… ผมยังเล่นกับเขาไม่จุใจเลย จะไล่ออกไปง่ายๆได้ยังไง?”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset