“อาหลี เจ้าตื่นแล้วหรือ”
เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอดังแว่วมาจากหลังม่านบังตา เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นก็เห็นม่อซิวเหยากำลังยืนยิ้มมองตนอยู่ที่หัวเตียง เมื่อเห็นม่อซิวเหยาแต่งกายสะอาดเรียบร้อยมายืนอยู่ตรงหน้าตน เยี่ยหลีก็ได้แต่ถลึงตาใส่เขา “ท่านไปที่ใดมา”
คิ้วคมของม่อซิวเหยาเลิกขึ้น เดินไปยังโต๊ะหนังสือรินน้ำจะมาป้อนนาง เยี่ยหลีรีบยื่นมือออกไปรับถ้วยน้ำมายกดื่ม ม่อซิวเหยาก็มิได้ว่าอันใด เพียงยิ้มน้อยๆ แล้วนั่งลงข้างเตียง “ข้ากลัวว่านั่งอยู่ที่นี่แล้วจะรบกวนทำให้เจ้าตื่น จึงออกไปดูข้างนอกเสียหน่อย ใช่สิ…เมื่อบ่ายหานหมิงซีมาที่นี่ ข้าให้เขาไปพักที่เรือนรับรองแขกแล้ว”
เยี่ยหลีชะงักไป กลืนน้ำลงคอก่อนเอ่ยว่า “หานหมิงซีมาหรือ เหตุใดถึงรวดเร็วเช่นนี้ ข้าไปพบเขา…”
ริมฝีปากอุ่นประกบเข้ากับริมฝีปากของนาง ปิดกั้นคำพูดของนางเอาไว้ คลอเคลียอยู่พักหนึ่ง ม่อซิวเหยาถึงได้หยิบถ้วยขาจากมือนางไปวางไว้ด้านข้าง ก่อนหัวเราะเสียงต่ำ “อาหลี พรุ่งนี้ค่อยไปพบเขาก็ยังไม่สาย”
“แต่ว่า…” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ม่อซิวเหยาไม่ยอมให้นางปฏิเสธ เอานิ้วชี้ไล้ไปบนริมฝีปากอันอวบอิ่มของนาง “อาหลี หากเจ้าใส่ใจผู้ชายอื่นมากเกินไปจะทำให้ข้าหึงนะ”
ดวงตาสุกใสของเยี่ยหลีเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนหันมองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “หึงแล้วอย่างไร”
“หากข้าหึง…ไม่แน่ว่าอาจนึกอยากฆ่าเขาขึ้นมา” ม่อซิวเหยาเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ดังนั้นวันนี้ท่านก็ตั้งใจน่ะสิ หือ”
ม่อซิวเหยามิได้ปฏิเสธ อาหลีของเขาฉลาดเกินไปจริงๆ ปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์ “ข้าเพียงคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ไม่เลว”
เยี่ยหลีซุกอยู่กับอ้อมอกของเขา ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ “ขอเพียงท่านไม่ทิ้งข้า ข้าก็จะไม่ทิ้งท่าน”
“ต่อให้ม่อซิวเหยาทิ้งทุกอย่างในใต้หล้า ก็ไม่มีทางทิ้งอาหลีอย่างแน่นอน”
อย่างไรเยี่ยหลีก็พูดเก่งสู้ม่อซิวเหยาไม่ได้ เคยมีคนกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่เราเคยชินกับการถอยให้ใคร เป็นไปได้ว่าเราจะรักเขาเข้าเสียแล้ว
เยี่ยหลีมิใช่คนที่ชอบหลอกตนเอง ม่อซิวเหยาเป็นสามีของนาง นอกจากคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว ก็เป็นคนที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดในชาตินี้ นางไม่อยากปฏิเสธความจริงที่ว่าตนอาจหลงรักม่อซิวเหยาเข้าเสียแล้ว ด้วยเพราะถึงแม้จะได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยคำรักขึ้นเบาๆ ในขณะที่ตนกำลังเคลิบเคลิ้ม แต่ในใจของนางก็ยังคงรู้สึกยินดีและดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ในยุคสมัยเช่นนี้ การเกิดเป็นสตรีนางหนึ่ง จะมีเรื่องใดที่ทำให้มีความสุขยิ่งไปกว่าการได้แต่งงานกับคนที่รักตนและตนก็รักเขาอีกหรือ
“คุณชายหาน” ยามที่เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในเรือนรับรองแขกนั้น หานหมิงซีกำลังนั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นจูอวี้หลัน สายลมอ่อนๆ พัดเอากลีบดอกไม้สีแดงอมม่วงร่วงหล่นลงบนชุดที่ขาวนวลของเขา กลายเป็นลวดลายที่ดูหรูหราอย่างประหลาด นางเคยชินกับหานหมิงซีที่มักอยู่ในชุดหลัวกรุยกรายที่แดงสดเสียแล้ว เมื่อเห็นคนตรงหน้าจึงรู้สึกห่างเหินเล็กน้อย ประหนึ่งคนแปลกหน้า
หานหมิงซีเรียกสติกลับคืนมา หันมองหญิงสาวที่เดินเรื่อยๆ เข้ามาอย่างอ่อนช้อย จนเผลอมองนางอย่างเลื่อนลอยโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็สามารถเรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “จวินเหวย…พระชายา”
เยี่ยหลีได้แต่ส่งยิ้มให้ “ได้ยินท่านเรียกข้าเช่นนี้แล้วไม่ชินหูเอาเสียเลย”
หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “ถึงแม้พระชายาจะเรียกข้าว่าคุณชายหานมาโดยตลอด แต่อันที่จริง ข้าก็ไม่คุ้นชินนักเช่นกัน อีกทั้ง ต่อไปหานหมิงซีจะเป็นผู้ใต้บังคับของพระชายาแล้ว หากพระชายายังคงเรียกขานข้าเช่นนี้ต่อไป จะไม่ดูแปลกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอียงคอหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้น ข้าเรียกเจ้าว่าหมิงซี ส่วนเจ้า…แล้วแต่เจ้าเถิด ตระกูลหานเป็นอย่างไรบ้าง”
หานหมิงซีพยักหน้า “ยามนี้หานหมิงเยว์มิมีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลหานอีกแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะมีเหตุอันใดก็ไม่มีทางเดือดร้อนมาถึงตระกูลหาน ใช่สิ บัญชีของตระกูลหานข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว พระ…เจ้าต้องการดูหรือไม่” อย่างไรเขาก็ไม่ยินดีที่จะเรียกนางว่าพระชายาที่ฟังดูห่างเหินเช่นนั้น
เยี่ยหลีเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดเล็กน้อย ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้ากับท่านอ๋องมิได้ตั้งใจจะเข้าควบคุมตระกูลหานเช่นนั้น”
หานหมิงซีเลิกคิ้วยิ้ม “ตำหนักติ้งอ๋องร่ำรวยเสียยิ่งกว่าแคว้นอื่นๆ ข้าย่อมรู้ว่าท่านอ๋องมิสนใจตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลหาน แต่เมื่อได้ลั่นวาจาว่าจะจงรักภักดีไปแล้ว ย่อมต้องแสดงความจริงใจสักหน่อย”
เยี่ยหลียิ้ม “ต่อให้ตระกูลหานจงรักภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องจริง แต่นั่นมิได้หมายความว่าพวกเราจะรีดไถตระกูลหานจนหมดตัว ตระกูลหานยังคงเป็นตระกูลหาน ทรัพย์สมบัติของตระกูลหานยังคงเป็นของคนแซ่หาน บัญชีเหล่านั้นข้าดูแล้วก็มีแต่จะปวดหัว เช่นนั้นหมิงซีแห่งตระกูลหานเชิญนำกลับไปค่อยๆ ดูเองเถิด อืม…หรือท่านจะไปแลกเปลี่ยนความรู้กับองครักษ์ลับสองและสาม หรือก็คือหลินหานและจั๋วจิ้งสักหน่อยก็ได้ ช่วงนี้พวกเขาก็กำลังศึกษาเรื่องบัญชีอยู่เช่นกัน”
หานหมิงซีนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนยิ้มพร้อมพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ต่อไปหากต้องการให้ข้าหรือตระกูลหานทำอันใด ท่านสั่งข้ามาได้เลย”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ดีมาก ข้ามีเรื่องใหม่อยากร่วมมือกับท่านอยู่พอดี หากท่านรับประทานอาหารเช้าแล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราไปสนทนากันที่ห้องหนังสือจะดีกว่า หรือหากยังจะไปรับประทานด้วยกันเลยก็ยังได้”
“ข้ายังคิดว่าท่านจะต้องอยู่รับประทานอาหารเช้ากับท่านอ๋องเสียอีก”
เยี่ยหลีเพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องมีกำลังภายในที่กล้าแกร่ง รับประทานน้อยไปมื้อหนึ่งคงไม่หิวนักหรอก” เมื่อนึกถึงคนที่ได้คืบจะเอาศอกแล้ว เยี่ยหลีได้แต่นึกส่งเสียงเหอะในใจ นางไม่โกรธมิได้แปลว่านางไม่จำ
หานหมิงซีหันมอง ก็เห็นสีหน้าของสตรีที่อยู่เบื้องหลังเผลอแสดงสีหน้าที่ดูมีเสน่ห์ออกมาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วได้แต่นึกเศร้าใจ เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง “เช่นนั้นข้าน้อยขอได้รับเกียรติรับประทานอาหารเช้ากับพระชายาสักมื้อก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีผลักเรื่องการเลือกคนไปแต่งงานออกไปไว้ด้านหลังก่อน ตำหนักติ้งอ๋องยังคงปิดประตูไม่ต้อนรับแขก เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายอย่างที่คาดเดาไว้ ทว่ายังคงมีจดหมายขอเข้าพบและจดหมายเชิญส่งเข้ามาทุกวันไม่ขาดสาย เยี่ยหลีเพียงรับมาดูผ่านๆ ก่อนส่งให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อและซุนหมัวมัวเป็นคนจัดการต่อ
องครักษ์ลับสองและสามมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดหลังจากที่ได้หัวหน้าพ่อบ้านม่อและหานหมิงซีช่วยกันชี้แนะ ถึงแม้ก่อนหน้านี้หานหมิงซีจะมิเคยจัดการเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เกิดในตระกูลที่ทำการค้า ซ้ำยังเป็นคนฉลาด แค่เพียงได้เห็นผ่านตาได้ยินผ่านหูมาบ้างตั้งแต่เล็กๆ ก็ทำให้เก่งกว่าคนทั่วไปมากแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าหานหมิงเย่ว์คงมิกล้าวางใจมอบตระกูลหานให้เขาดูแลเช่นนี้
การทำงานร่วมกับตระกูลหานของเยี่ยหลีนั้น จะหนักไปทางเยี่ยหลีออกความคิดและออกเงินจำนวนหนึ่ง ส่วนวิธีการจะทำเช่นไรนั้นยกให้เป็นหน้าที่ของหานหมิงซีทั้งหมด
กว่าจะคุยกับหานหมิงซีจนพอได้เรื่องได้ราว เวลาก็ล่วงเลยไปสี่ห้าวันแล้ว เยี่ยหลีถึงได้มีเวลานึกถึงยอดฝีมือแห่งตำหนักติ้งอ๋องที่ถูกนางจับโยนไว้ในหุบเขานั้น ไม่รู้ว่าจะตกระกำลำบากกันอย่างไรบ้างแล้ว เมื่อดูเวลาจึงตัดสินใจจะไปดูพวกเขาสักหน่อย
หลายวันนี้ถึงแม้ฉินเฟิงจะไม่ได้พักอยู่ในหุบเขาเช่นเดียวกับสหายคนอื่นๆ แต่แต่ละวันของเขาก็ผ่านไปได้ไม่ง่ายนักเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรพระชายาก็ได้เอ่ยปากมาแล้วว่า หากหน่วยนี้ฝึกสำเร็จจะให้เขาเป็นผู้ดูแลหน่วยนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวเขาที่เป็นหัวหน้า ย่อมมิอาจฝีมือด้อยกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนได้ ดังนั้น วันนั้นพอกลับถึงตำหนัก จึงไปขอความรู้จากองครักษ์ลับสองและสาม องครักษ์ลับสามกำลังปวดหัวกับสมุดบัญชีที่กองพะเนินอยู่พอดี เมื่อฉินเฟิงหาเรื่องมาให้ตนระบายอารมณ์ถึงที่เช่นนี้จึงไม่เกรงใจเขาแม้แต่น้อย แต่ละวันเขาจึงสรรหาสารพัดวิธีฝึกมาให้จนทำให้ฉินเฟิงไม่เหลือมาดหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีผู้หยิ่งทระนงและมีความดูถูกหน่วยองครักษ์ลับให้เห็นอีกเลย
เมื่อฉินเฟิ่งได้กลับมายังหุบเขาพร้อมกับเยี่ยหลีอีกครั้ง เขายอมรับเลยว่าตนนึกอย่างรู้เสียจริงว่ายอดฝีมือเหล่านั้นจะถูกฝึกหนักจนมีสภาพเช่นไร จนเมื่อลงมายังด้านล่างหุบเขาแล้ว เห็นลานฝึกอันกว้างใหญ่มีเพื่อนร่วมรบและเพื่อนทหารกำลังหกคะเมนตีลังกากันอยู่ ก็ทำให้ฉินเฟิงอดยกมือขึ้นปาดเหงื่อไม่ได้ สภาพเช่นนี้…ช่างน่าอับอายต่ดหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและกองทัพตระกูลม่อจริงเชียว