เยี่ยหลียังคงนั่งอยู่บนหลังคาเช่นเดิม มองเหล่าทหารที่กำลังวิ่งรอบสนามอย่างใจเย็น รอจนทุกคนที่ใบหน้าเลอะเทอะเปรอะเปื้อนวิ่งกลับเข้ามาในเรือนกันหมดแล้ว ถึงได้กระโดดลงมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เหล่ายอดฝีมือเอ๋ย หลายวันนี้เป็นอย่างไรกันบ้างหรือ”
ใบหน้าเปรอะเปื้อนของบรรดายอดฝีมือดูไร้อารมณ์ พวกเขาจะพูดว่าพวกเขาเหนื่อยแทบตายได้อย่างไร หากเป็นเมื่อก่อนมีผู้ใดมาบอกเขาว่าเพียงแค่วิ่งรอบสนามกับออกกำลังนิดหน่อยก็สามารถทำให้เหนื่อยจนล้มพับไปได้แล้ว เกรงว่าต่อให้ตีพวกเขาให้ตายก็คงไม่เชื่อ พวกเขาเป็นใคร เป็นถึงองครักษ์ลับและนายทหารที่ฝีมือล้ำเลิศแห่งต้าฉู่เชียวนะ เหตุใดจึงถูกเรื่องเล็กๆ เท่านี้ทำให้ล้มพับลงไปได้ แต่มายามนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว ที่พวกเขารู้สึกว่าการวิ่งมิใช่เรื่องยากนั้น ด้วยเพราะพวกเขาไม่เคยต้องวิ่งอย่างจริงจังมาก่อน อันที่จริงองครักษ์ลับที่โชคร้ายที่สุด ต้องวิ่งเพียงหนึ่งรอบสนามก็เหนื่อยจนแทบลุกไม่ขึ้นแล้ว
เมื่อได้เห็นสีหน้าของบรรดายอดฝีมือ เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มด้วยความพอใจ “ข้าบอกไว้แต่แรกแล้ว การมีวิทยายุทธดีมิได้หมายความว่าร่างกายแข็งแรง ร่างกายแข็งแรงมิได้หมายความว่ากำลังจะดี และต่อให้กำลังดีก็มิได้หมายความว่าจะอดทนได้นานเสมอไป หลังจากผ่านการฝึกในช่วงหลายวันนี้ไป ข้าเชื่อว่าไม่ว่าจะเรื่องกำลังกายหรือความอดทนจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างมาก หวังว่าทุกคนจะยืนหยัดต่อไป อีกอย่าง ขอให้วิ่งเพิ่มอีกวันละห้าลี้ ส่วนท่าฝึกอื่นๆ ให้เพิ่มอย่างละหนึ่งร้อยครั้ง”
พอพูดจบ นายทหารในหน่วยทุกคนต่างมีสีหน้าโอดครวญ เยี่ยหลีหาได้สนใจไม่ เอ่ยต่อทันทีว่า “ข้ามิได้อยากให้พวกเจ้าฝึกจนเป็นยอดฝีมือที่มีฝีมือล้ำเลิศ ข้าเพียงต้องการให้พวกเจ้าเป็นนายทหารที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเจ้าทุกคนจะกลายเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือในกองทัพตระกูลม่อ หรือแม้แต่กองทัพแห่งต้าฉู่”
“คุณชาย ความหมายของท่านคือพวกเราจะได้กลับเข้ากองทัพหรือขอรับ ยังคงเป็นนายทหารของกองทัพตระกูลม่อหรือขอรับ” มีคนทนไม่ได้เอ่ยถามขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนกำลังนึกสงสัยอยู่เช่นกัน ทุกคนโดยมากต่างคิดไปว่า ท่านอ๋องต้องการฝึกฝนพวกเขาให้เป็นหน่วยกองทัพที่เก่งกาจและลึกลับยิ่งกว่าองครักษ์ลับ ไม่คิดว่าพวกเขาจะยังคงเป็นทหารอยู่ และยิ่งได้ยินสิ่งที่คุณชายฉู่กล่าวแล้ว หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะยังได้กลับเขากองทัพตระกูลม่ออีกด้วย
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ยามนี้ข้ายังบอกพวกเจ้าไม่ได้ แต่ว่าข้าสามารถรับประกันได้ว่าสุดท้ายพวกเจ้าจะได้มีชื่ออย่างเปิดเผยและมีเกียรติ ตำแหน่งและลำดับขั้นทั้งหมดจะเทียบเท่ากับหรืออาจดีกว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีหรือกองทัพตระกูลม่อ เมื่อถึงช่วงอายุที่ไม่เหมาะกับหน่วยนี้หรือเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้น จะได้รับการย้ายไปยังหน่วยที่เหมาะสมในกองทัพตระกูลม่อหรือตำหนักติ้งอ๋อง”
ทุกคนต่างส่งเสียฮือฮากันยกใหญ่ ผลตอบแทนเช่นนี้แม้แต่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็ยังมิได้รับ ซึ่งทำให้พวกเขาทุกคนยิ่งนึกสงสัยว่าพวกเขาจะกลายเป็นหน่วยเช่นใดในกองทัพ
“เพียงแต่ เงื่อนไขเดียวก็คือพวกเจ้าจะสามารถอยู่ที่ได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ถึงแม้ในเจ็ดวันนี้พวกเจ้ายังไม่มีผู้ใดต้องออกจากหน่วย ซึ่งทำให้ข้าประหลาดใจมากแล้ว เพียงแต่…นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ฉินเฟิง นี่คือแผนการฝึกในครึ่งเดือนหลัง”
ฉินเฟิงคลี่กระดาษม้วนนั้นออกอ่านตัวหนังสือสีดำด้านใน สีหน้าประหนึ่งกำลังจะอ่านใบเร่งการตายอยู่อย่างไรอย่างนั้น เขาค่อยๆอ่านตัวอักษรด้านใน คิ้วของฉินเฟิงขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม “คุณชาย นี่…ข้าน้อยอ่านไม่เข้าใจเลยขอรับ”
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จั๋วจิ้งและหลินหานจะผลัดกันมาคอยดูพวกเจ้า ก่อนที่พวกเขาจะมา ของเล่นในสนามฝึกเหล่านั้น พวกเจ้าลองไปศึกษาดูก่อนได้เลย อันที่จริงหนึ่งเดือนแรกเป็นการฝึกด้านสภาพร่างกาย ข้าคงมิได้มาฝึกอันใดพวกเจ้ามากนัก วันพรุ่งยอดฝีมือทั้งแปดที่คอยดูแลพวกเจ้าอยู่ก็จะกลับกันไปแล้ว ดังนั้นทุกคนใช้สัญชาตญาณของตนก็แล้วกัน อีกอย่าง เวลาว่างลองอ่านหนังสือที่ข้านำมานี้ดู อ่านได้เท่าไรก็เท่านั้น หนังสือเหล่านี้จะช่วยให้สองเดือนหลังจากนี้ของพวกเจ้าผ่านไปได้ง่ายหน่อย”
ฉินเฟิงนำกระดาษในมือส่งต่อไปให้คนอื่นๆ ได้ลองอ่านดู เขาพอมีความคิดอยู่ในใจ หลายวันนี้เหล่าทหารที่ถูกฝึกอย่างหนัก ในใจคงลอบกระอักเลือดกันไปนักต่อนักแล้ว ยิ่งมีรายละเอียดมากขึ้น รวมถึงการฝึกที่มากขึ้นอีกอย่างน้อยครึ่งเท่าตัวเช่นนี้ คุณชายฉู่ท่านนี้จริงๆ แล้วคิดอยากให้พวกเขาตายกันไปให้หมดกระมัง
ที่โหดร้ายไปกว่านั้นคือ ก่อนหน้านี้เพียงต้องทำภารกิจให้สำเร็จ มายามนี้ในกระดาษแผ่นนั้นยังเขียนไว้ด้วยว่าจะต้องทำภารกิจให้เสร็จภายในช่วงเวลานานเท่าใด หลังจากผ่านการฝึกอย่างหนักหน่วงมาหลายวัน ในใจทุกคนต่างพอนึกภาพออก สิ่งที่เขียนอยู่ในกระดาษแผ่นนั้น ต่อให้พวกเขาเป็นนายทหารชั้นยอด ก็ถือว่าโหดร้ายอย่างมากทีเดียว
“คุณชายฉู่ การฝึกเหล่านี้ไม่มีทางทำสำเร็จได้เลยนะขอรับ!” นายทหารคนที่ยืนอยู่แถวหน้าเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
เยี่ยหลีตวัดสายตามองเขา ก่อนเลิกคิ้วขึ้นยิ้มถามว่า “ไม่มีทางหรือ”
“ขอรับ หากไม่ใช้กำลังภายใน ไม่มีทางที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้สำเร็จภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้แน่นอนขอรับ!”
เยี่ยหลียิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “คนของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีหรือ ไม่เคยได้ยินว่าพวกเจ้าต้องพึ่งพิงวิทยายุทธถึงเพียงนั้นเลยนี่ คนที่ต้องใช้วิทยายุทธจริงๆ ควรจะเป็นองครักษ์ลับเสียมากกว่ามิใช่หรือ หากมีคนทำสำเร็จ พวกเจ้าจะทำเช่นไร”
นายทหารผู้นั้นตอบด้วยความเย่อหยิ่งว่า “หากมีคนทำสำเร็จจริง พวกเราก็ย่อมทำสำเร็จ”
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก ไปรวมกันที่สนามฝึก”
ครั้นเห็นนายทหารทุกคนต่างเดินเรียงแถวกันออกไป ฉินเฟิงหันมองเยี่ยหลีด้วยความเป็นกังวลก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “พระชายา…คนที่ท่านพูดคงมิได้หมายถึงท่านใช่หรือไม่ขอรับ” เขาเชื่อว่ามีคนสามารถทำได้ พระชายาไม่มีทางตั้งใจนำภารกิจที่ไม่มีทางทำสำเร็จมาแกล้งให้พวกเขาฝึกอย่างแน่นอน แต่เหตุใดเมื่อฟังจากที่พระชายาพูดแล้วถึงได้รู้สึกว่าคนผู้นั้นคือพระชายาที่ดูบอบบางท่านนี้ไปได้
ถึงแม้เขาจะรู้ถึงความเก่งกาจของพระชายาเป็นอย่างดี แต่เช่นเดียวกับที่พระชายาพูด วิทยายุทธดีกับพละกำลังดีนั้นเป็นคนละเรื่องกัน แต่สิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้นเห็นได้ชัดว่าต้องใช้พละกำลังมากกว่าวิทยายุทธ หากพระชายาเกิดเป็นอันใดไป ท่านอ๋องคงตัดหัวเขาเป็นแน่!
เยี่ยหลีก้มหน้าลงมองชุดที่ตนใส่อยู่ เพื่อรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ที่อาจเกิดขึ้นได้ เยี่ยหลีจึงตั้งใจใส่ชุดที่เหมาะสมมา เพราะถึงอย่างไรนางก็เคยมีประสบการณ์ในการฝึกผู้อื่นมาไม่น้อย ยอดฝีมือเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาเช่นไรนั้น เยี่ยหลีเคยประสบมาแล้วทั้งตอนเป็นผู้ฝึกและตอนเป็นผู้ถูกฝึก ต่อให้ต้องเดานางก็พอเดาได้หลายส่วน
ผู้ที่รับผิดชอบในการสร้างอุปกรณ์ต่างๆ ในหุบเขาแห่งนี้ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ลานฝึกด้านนอกเรือนเป็นไปตามที่เยี่ยหลีต้องการ นายทหารกลุ่มหนึ่งที่ไม่เชื่อในการฝึกของนาง ยืนตาค้างอ้าปากกันอยู่ข้างสนามฝึก มองคุณชายฉู่ที่ตัวเล็กกว่าพวกเขาหลายคืบ รูปร่างก็บอบบางไร้เรี่ยวแรง แบกของหนักกว่าสิบจิน[i]พร้อมออกวิ่งด้วยท่าทีสบายๆ ในตอนแรกพวกเขาต่างไม่มีผู้ใดสนใจ แต่เมื่อนางวิ่งวนอยู่ในสนามฝึกไปห้าหกรอบแล้วยังคงไม่มีอาการหอบหายใจ ในที่สุดทุกคนถึงได้รู้ว่าคุณชายฉู่ผู้นี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
หลังจากผ่านไปสิบรอบ คุณชายฉู่มิได้หยุดพักแม้แต่น้อย แต่กลับพุ่งตัวไปยังอุปกรณ์หน้าตาประหลาดที่อยู่กลางสนามฝึก คลานผ่านตาข่ายที่มีของมีคมผูกเอาไว้ ก่อนปีนผ่านเชือกต่าข่ายที่สูงกว่าสองจั้ง กระโดดข้ามกำแพงที่สูงกว่าหนึ่งจ้าง คว้าเชือกแล้วเหวี่ยงตัวไปไกลกว่าสองจ้าง และกระโดดลงบนท่อนไม้ที่กว้างไม่ถึงครึ่งฉื่อแต่สูงกว่าห้าฉื่อได้อย่างพอดิบพอดี เขาผ่านสิ่งกีดขวางทุกอย่างไปได้ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน เมื่อวิ่งไปถึงจุดสิ้นสุด ณ จุดนั้นมีคันธนูวางเตรียมอยู่แล้ว เยี่ยหลีหยิบคันธนูขึ้นมาพร้อมลูกธนูหนึ่งดอก นางง้างธนูก่อนยิงออกไปเข้าเป้าแดงตรงกลางอย่างแม่นยำ อีกทั้งถุงทรายที่วางอยู่ ยังมีทรายเม็ดละเอียดไหลออกมาอีกด้วย
เยี่ยหลีหันกลับไปมอง เลิกคิ้วมองกลุ่มคนที่ยังคงตกตะลึงอยู่ ในใจนึกถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก อันที่จริงเมื่อฝึกทั้งหมดนี้จนครบทั้งหมดแล้ว ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้ก็ถือว่าลำบากไม่น้อย ถึงแม้หลายปีมานี้นางจะไม่เคยหยุดฝึกฝนตนเอง ยิ่งหนึ่งปีที่แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องมานี้ ยิ่งสามารถฝึกตนเองได้อย่างไม่มีอุปสรรค แม้แต่การต่อสู้แบบโบราณที่ม่อซิวเหยาคอยชี้แนะนางบ้างก็ยังพัฒนาไปไม่น้อย เพียงแต่การฝึกทั้งหมดนี้นางมิได้ฝึกมาหลายปีแล้ว โชคดีที่สามารถทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่น หากนางล้มเหลวต่อหน้าคนเหล่านี้ต่อไปคงฝึกพวกเขาได้ไม่ง่ายนัก ภายในถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่บนใบหน้าของเยี่ยหลียังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ดี!” ทุกคนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตะโกนชื่นชมออกมา ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดเช่นนั้นได้อย่างไร คุณชายฉู่ที่อยู่ตรงหน้านี้สามารถทำเรื่องที่พวกเขาทำไม่ได้ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเขา และพวกเขาต่างนับถือผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอย่างไม่นึกสงสัย
“เช่นนั้น…ทุกคนฟังสิ่งที่ผู้ฝึกจะชี้แนะให้ดี และภายในครึ่งเดือนนี้แสดงผลงานพวกเจ้าให้ข้าได้เห็น”
“ขอรับ! คุณชาย!” ทุกคนต่างเอ่ยรับคำขึ้นพร้อมกัน
เมื่อปล่อยให้ทุกไปพักแล้ว ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มของเยี่ยหลีก็หุบลงทันที ก่อนเอนตัวพิงท่อนไม้ฝึกความสมดุลพร้อมหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย ฉินเฟิงเลิกคิ้วมองภาพตรงหน้า “ข้าน้อยยังนึกว่าพระชายาทำเช่นนั้นได้อย่างสบายๆ เสียอีกพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีได้แต่โบกมือ “ต่อให้สบายอย่างไรก็ต้องเหนื่อย ข้ามิได้ฝึกมานานแล้ว อ่อนซ้อมน่ะ…เมื่อครู่เกือบตกลงมาจากด้านบนเสียด้วยซ้ำ ข้าประมาทเกินไปด้วย หลังจากกลับมาแล้วข้าก็มัวแต่ยุ่งอยู่ ไม่มีเวลาแม้แต่จะทำความคุ้นเคยกับสนามฝึก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก…ถึงคราต้องเข้าไปอยู่ในสนามรบจริงๆ มีผู้ใดให้เวลาเจ้าทำความคุ้นเคยกับมันบ้าง”
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “พระชายามิจำเป็นต้องทุ่มเทเช่นนี้ก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้ม “ก็ไม่เท่าไรนะ หากเทียบกับเล่ห์กลที่คอยทดสอบข้ายามอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ข้ายินดีที่จะอยู่ที่นี่เสียมากกว่า หากไม่ทุ่มเทแล้ว คนที่มีความหยิงทระนงเช่นนั้นจะยอมนับถือทั้งต่อหน้าและหลับหลังได้อย่างไร นี่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปยังต้องคอยข่มพวกเขาให้มากกว่านี้ ต่อไปพวกเขาจะได้ไม่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา”
ฉินเฟิงอดกุมขมับขึ้นมาไม่ได้ วันนี้ท่านทำให้พวกเขาสะเทือนใจพอแล้ว ยังจะต้องข่มพวกเขาอีกหรือ
“เอาเถิด ข้าเหนื่อยจะแย่แล้ว พักสักหน่อยแล้วค่อยเดินทางกลับตำหนักกัน” เยี่ยหลียกมือขึ้นนวดแขน ก่อนหมุนตัวเดินไปทางเรือนเล็ก “ใช่สิ ข้าคงไม่ต้องเตือนเจ้าว่าอันใดที่เรียกว่าเก็บเป็นความลับกระมัง หากให้ท่านอ๋องรู้เรื่องในวันนี้ ภารกิจของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว”
“ขอรับ พระชายา”
[i] จิน หน่วยช่างน้ำหนักของจีน 1 จินเท่ากับประมาณ 0.5 กิโลกรัม