หลังจากกลับถึงเมืองหลวง ม่อซิวเหยาก็มัวยุ่งอยู่กับการรับมือสถานการณ์ภายในราชสำนักและการทดสอบต่างๆ นานาจากฮ่องเต้ ส่วนเยี่ยหลีก็ยุ่งอยู่กับการจัดการงานต่างๆ ภายในตำหนัก รวมถึงการฝึกยอดฝีมือทั้งหลายที่ภูเขาเฮยอวิ๋น เรื่องอื่นๆ จึงถูกผลักออกไปก่อน จนเมื่อมู่หรงถิงและเหลิ่งเฮ่าอวี่แวะมาเยี่ยมเยียน เยี่ยหลีถึงได้นึกขึ้นได้ว่าการรบที่เขตหย่งโจวนั้นยังไม่แล้วเสร็จ
แน่นอนว่ามู่หรงถิงและเหลิ่งเฮ่าอวี่ย่อมใช้ข้ออ้างในการมาเยี่ยมเยียนคารวะชายาติ้งอ๋องในการเดินทางมาที่นี้ เมื่อครั้งอยู่ที่ชายแดน ท่านแม่ทัพมู่หรงยืนยันให้มู่หรงถิงและเหลิ่งเฮ่าอวี่แต่งงานกัน ยามนี้เมื่อกลับมายังเมืองหลวง จากเดิมที่เป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพมู่หรง ก็ได้กลายมาเป็นฮูหยินเล็กรองของตระกูลเหลิ่งเสียแล้ว
ที่มู่หรงถิงแต่งงานกับเหลิ่งเฮ่าอวี่อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับม่อซิวเหยาอย่างมิอาจปฏิเสธได้ เรื่องนี้ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกผิดต่อมู่หรงถิงไม่น้อย จนเมื่อได้เห็นสีหน้าที่ยังคงแช่มชื่นของมู่หรงถิงแล้วนางถึงได้วางใจลง ดูท่ามู่หรงถิงคงสามารถทำให้ตนเองมีความสุขได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ด้วยความหลงใหลในตัวมู่หรงถิงของเหลิ่งเฮ่าอวี่เชื่อว่าคงไม่ทำให้นางต้องเสียใจ
“มู่หรง คุณชายเหลิ่ง ข้าไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงานของพวกเจ้า ขอโทษด้วยจริงๆ” เยี่ยหลีมองมู่หรงถิงที่ยังคงอยู่ในชุดสีแดงและยังคงเปล่งประกายแห่งความสุขแล้ว ได้แต่เอ่ยพร้อมยิ้มอย่างขอลุแก่โทษ
มู่หรงถิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “มีอันใดต้องขอโทษกัน ต้องโทษท่านพ่อที่…” ระหว่างที่พูดยังได้หันไปถลึงตาอย่างโกรธๆ ใส่เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ทว่าในแววตาคู่นั้นดูมีความหยอกล้อและความรักใคร่อย่างที่มีเฉพาะในสตรี ที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน
เหลิ่งเฮ่าอวี่เพียงยิ้มตอบมู่หรงถิงอย่างอารมณ์ดีและมิได้เอ่ยปฏิเสธอันใด เยี่ยหลีมองภาพนั้นแล้วได้แต่ยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้า ที่เหลิ่งเฮ่าอวี่ยอมลงให้กับนิสัยเช่นนี้ของมู่หรงถิง ดูท่าคงด้วยเพราะความรักใคร่อย่างลึกซึ้งเป็นแน่ เพราะนิสัยของเหลิ่งเฮ่าอวี่เองก็มิใช่คนอารมณ์เย็นสักเท่าไร
เยี่ยหลีพามู่หรงถิงออกไปนั่งคุยเล่นอีกด้านหนึ่ง ปล่อยให้ม่อซิวเหยาและเหลิ่งเฮ่าอวี่ได้คุยธุระกัน
มู่หรงถิงมองเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่นั่งพูดคุยกับม่อซิวเหยาด้วยความประหลาดใจ นางมิใช่คนโง่เขลา ถึงแม้นางแต่งงานกับเหลิ่งเฮ่าอวี่มาได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนดี แต่นางพอรับรู้ได้เลาๆ ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเหลิ่งเฮ่าอวี่กับเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่นางเคยรู้จักนั้นไม่เหมือนกันสักเท่าไร ยามนี้เมื่อเห็นเขานั่งสนทนากับติ้งอ๋องด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นการเป็นงานอย่างที่นางมิเคยเห็นมาก่อนแล้ว ยิ่งทำให้มู่หรงถิงรู้แน่แก่ใจ หากเหลิ่งเฮ่าอวี่เป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อจริง ต่อให้ท่านอ๋องเห็นแก่เยี่ยหลีอย่างไรก็คงไม่นั่งพูดคุยกับเขาเช่นนั้นเป็นแน่
“มู่หรง เป็นอันใดหรือ”
มู่หรงถิงมองนางด้วยสีหน้ามึนงงสงสัย “หลีเอ๋อร์…พวกเจ้ามีอันใดปิดบังข้าอยู่หรือไม่”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น อมยิ้มพูดกับนางว่า “เจ้าคิดว่าผู้ใดมีเรื่องปิดบังเจ้าอยู่หรือ”
มู่หรงถิงเอ่ยด้วยท่าทีคิดไม่ตก “ข้ารู้สึกว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่เหมือนกับคนที่ข้าเคยรู้จักในอดีต หลายคราที่ข้านึกสงสัยว่าข้ารู้จักเขาจริงๆ หรือไม่” ถึงแม้ยามกลับมาที่จวน เหลิ่งเฮ่าอวี่จะยังคงทำตัวรักสนุกเอาแต่กินดื่มเที่ยวเล่นไม่สนใจการงานดังเช่นปกติ แต่พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน มู่หรงถิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า หลายคราที่เหลิ่งเฮ่าอวี่ทำงานอยู่ในห้องหนังสือถึงดึกดื่น ถึงแม้จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขากำลังยุ่งกับเรื่องใดก็ตาม
เยี่ยหลีสบตามู่หรงถิงด้วยแววตานิ่งสงบ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “หลังจากแต่งงานแล้วมู่หรงมีความสุขดีหรือไม่ เข้ากันได้ดีกับคุณชายรองเหลิ่งหรือไม่”
มู่หรงถิงอึ้งไป ก้มหลบสายตาของเยี่ยหลีด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ตอบด้วยความลังเลว่า “เรื่องนี้…ดูเหมือนก็มิได้เลวร้ายนัก…อืม ที่พวกนางพูดไว้นั้นไม่ผิด ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องแต่งงานกับเขา เขาเป็นคนที่ท่านพ่อเลือก ถึงแม้เขาจะทำเป็นเล่นมาตลอดแต่ท่านพ่อก็ไม่เคยว่ากล่าวอันใดเขาเลย นั่นหมายความว่าเขา…คงมิใช่คนเลวร้ายอันใดกระมัง อีกอย่างเขาก็ดีกับข้ามาก”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ดูท่าที่คุณชายรองเหลิ่งยอมให้นางทุบตีอยู่หลายปีคงจะไม่เสียเปล่า นางหันมองเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่กำลังสนทนาอยู่กับม่อซิวเหยา แต่ก็ยังมิวายหันมองพวกนางเป็นระยะ เยี่ยหลียิ้มแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าอยากรู้ถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่ถามเขาเองเล่า”
มู่หรงถิงเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ยามอยู่ต่อหน้าข้าเขาเอาแต่แกล้งทำเป็นคนโง่ไร้สาระ แล้วจะให้ข้าไปถามเขาเอาตอนนี้น่ะหรือ ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
เรื่องระหว่างสามีภรรยาคู่อื่นเยี่ยหลีเองก็จะไม่สอดปากเข้าไปยุ่ง จึงเพียงยิ้มเอ่ยถามว่า “พอคุ้นเคยกับการอยู่ที่จวนเหลิ่งแล้วหรือไม่”
มู่หรงถิงหน้าเบ้ขึ้นทันที มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าโอดครวญ “ในโลกนี้น้อยคนนักที่จะโชคดีเท่าเจ้านะอาหลี ยามนี้ข้าถึงได้รู้ว่าเหตุใดเหลิ่งเฮ่าอวี่ถึงไม่ชื่นชอบตระกูลเหลิ่ง ที่นั่นมิใช่ที่ที่คนปกติจะอยู่ได้เลย”
เพียงพูดถึงบ้านพ่อสามีที่เพิ่งแต่งงานเข้าไปอยู่ใหม่ มู่หรงถิงก็มีเรื่องให้พร่ำบ่นเต็มไปหมด ยามนี้เมื่อมีคนที่สามารถพูดคุยให้ฟังได้ นางย่อมไม่ปิดบังเยี่ยหลี นางบอกเล่าเรื่องราวหลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงสองสามวันนี้ให้เยี่ยหลีฟังจนหมด
ตระกูลเหลิ่งในมืองหลวง ถือได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงอยู่พอควร ทายาทรุ่นนี้ยังมีเหลิ่งฉิงอวี่ ที่ได้เป็นหัวหน้าหน่วยอวี้หลินแห่งเมืองหลวงตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบหกปี กล่าวได้ว่าเป็นคนที่ฮ่องเต้ให้ความไว้วางพระทัยอย่างมาก แน่นอนว่าตระกูลเหลิ่งย่อมฝากความหวังไว้ที่เขา
เมื่อเทียบกันแล้ว คุณชายรองเหลิ่ง เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญย่อมมิได้รับความสำคัญ เพียงแต่เมื่อมู่หรงถิงได้แต่งงานเข้าไปอยู่ในตระกูลเหลิ่งอย่างเป็นทางการถึงได้เข้าใจว่า คุณชายรองเหลิ่งเฮ่าอวี่ผู้นี้ ไม่ได้รับความสำคัญเพียงใด แม้แต่บ่าวไพร่ในจวนที่พอมีหน้ามีตาสักหน่อยยังกล้าเอ่ยนินทาเขา หากมิใช่เพราะผู้เป็นนายผ่อนปรนให้บ่าวไพร่ ผู้ใดเลยจะกล้าหาญเช่นนี้
ด้วยนิสัยของมู่หรงถิงที่แต่ไหนแต่ไรมามิเคยต้องเก็บปากเก็บคำอดทนกับเรื่องเหล่านี้ จึงย่อมรู้สึกไม่ชอบหน้าคนเหล่านั้น เพียงไม่กี่วันไม่รู้ว่าอาละวาดกันไปกี่เรื่องแล้ว ซ้ำร้ายนายหญิงแห่งตระกูลเหลิ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาของเหลิ่งเฮ่าอวี่ ไม่ว่าถูกหรือผิดก็มิเคยเข้าข้างพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ส่วนคุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่งที่มู่หรงถิงนึกเลื่อมใสมาโดยตลอดนั้น ความเย็นชาและความดูถูกเหยียดหยามที่เขาปฏิบัติต่อน้องชายก็ทำให้มู่หรงถิงต้องโกรธไม่น้อย ต่อให้นางเป็นคนไม่ใส่ใจเพียงใดก็ยังมองออกว่า จวนเหลิ่งทั้งจวนนั้นไม่มีที่สำหรับเหลิ่งเฮ่าอวี่ หากจำต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นไปตลอดจริงๆ เป็นผู้ใดก็คงมิอาจมีนิสัยที่ดีได้
เมื่อได้ฟังเรื่องที่มู่หรงถิงพร่ำบ่นแล้ว เยี่ยหลีจึงยิ้มถามอย่างใคร่รู้ว่า “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้ามีความประทับใจที่ดีกับคุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่งมิใช่หรือ” ทุกครั้งที่พบหน้ากัน ดูเหมือนมู่หรงถิงจะอดไม่ได้ที่จะยกเหลิ่งฉิงอวี่มาเปรียบเทียบกับเหลิ่งเฮ่าอวี่เสียทุกครั้งไป เยี่ยหลีไม่เคยได้พบกับเหลิ่งฉิงอวี่มาก่อน แต่ก็พอเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณชายหน้านิ่งแห่งเมืองหลวงผู้นี้อยู่บ้าง เพียงแต่ตระกูลเหลิ่งจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่ามิได้อยู่บนเส้นทางเดียวกับตำหนักติ้งอ๋อง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทำความรู้จักด้วย
มู่หรงถิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง หันมองเยี่ยหลีอย่างน่าสงสาร “มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า…ดูแต่ตามืออย่าต้องมิใช่หรือ ก่อนหน้านี้ได้มองเขาจากที่ไกลๆ ย่อมรู้สึกว่าเขาไม่เลว แต่เมื่อมีคนมองเจ้าด้วยความดูถูกตั้งแต่หัวจรดเท้าทุกวันตลอดสามมื้ออาหาร แม้แต่สายตาที่มองเจ้า เหมือนกำลังมองของสกปรกเจ้าก็คงรับไม่ได้เช่นกันนั่นล่ะ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจ “เหลิ่งฉิงอวี่มองคุณชายรองเหลิ่งด้วยสายตาเช่นนั้นหรือ”
มู่หรงถิงยักไหล่ “อันที่จริงนอกจากท่านพ่อของเหลิ่งเฮ่าอวี่แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็มองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น สถานที่บ้าๆ เช่นนั้นข้าทนอยู่ไม่ได้จริงๆ น่าเสียดาย…ที่ยามนี้ข้ามิอาจหนีกลับไปอยู่ที่จวนมู่หรงได้แล้ว มิเช่นนั้นหากคนนอกรู้เข้า ไม่รู้ว่าจะลือกันไปเช่นไร แต่เหลิ่งเฮ่าอวี่บอกข้าไว้แล้วว่า รอให้พ้นช่วงแต่งงานใหม่ไปก่อน เขาจะพูดกับท่านพ่อว่าเขาได้ซื้อเรือนหลังใหม่ข้างนอกไว้ และจะย้ายออกไปอยู่เอง”
“ท่านแม่ทัพเหลิ่งจะเห็นด้วยหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลเหลิ่งให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลมาก ถึงแม้เหลิ่งเฮ่าอวี่จะเป็นลูกนอกคอกที่มักทำให้ท่านแม่ทัพเหลิ่งโกรธจนต้องทุบตีเขาอย่างหนักหน่วงก็ตาม แต่ภาพลักษณ์ที่ผู้คนในเมืองหลวงพูดถึงมากที่สุดเกี่ยวกับตระกูลเหลิ่งก็คือ แม่ทัพเหลิ่งเป็นเพียงขุนนางใหญ่เพียงคนเดียวในเมืองหลวงที่ไม่มีอนุเลยแม้สักคนเดียว บุตรชายทั้งสองคนต่างเกิดจากฮูหยินเหลิ่ง แต่เช่นเดียวกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่า แท้จริงแล้วคุณชายรองเหลิ่งนั้นมิใช่บุตรแท้ๆ ของเหลิ่งฮูหยิน มารดาของคุณชายรองเหลิ่งคือสาวใช้ข้างกายที่ติดตามเข้าตระกูลมาเมื่อยามฮูหยินเหลิ่งแต่งงาน พอให้กำเนิดเหลิ่งเฮ่าอวี่ก็เสียชีวิตลงทันที ดังนั้นเหลิ่งเฮ่าอวี่จึงได้รับการเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของฮูหยินเหลิ่งมาตั้งแต่เกิด และถือว่าเป็นลูกชายสายหลักของท่านแม่ทัพผู้ปกป้องแคว้น เพียงแต่ความรักใคร่ทั้งหลายของฮูหยินเหลิ่งที่มีต่อคุณชายรองเหลิ่ง กลับทำให้เขากลายเป็นคุณชายเจ้าสำราญอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง
มู่หรงถิงเบ้ปาก “เหลิ่งเฮ่าอวี่บอกว่าไม่มีปัญหา ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอันใดกระมัง ข้าไม่อยากที่จะต้องถูกลากไปนั่งพร่ำบ่นถึงความไม่ได้ความและไม่ได้เรื่องได้ราวของเหลิ่งเฮ่าอวี่ในทุกเช้าที่ข้าเข้าไปคารวะหรอกนะ” คนพวกนั้นช่างเห็นว่านาง มู่หรงถิงเป็นคนโง่จริงๆ สินะ อย่าว่าแต่เหลิ่งเฮ่าอวี่มิได้เลวร้ายเท่าที่พวกเขาพูดเลย ต่อให้เหลิ่งเฮ่าอวี่เป็นคุณชายเจ้าสำราญเข้าจริงๆ นางก็แต่งงานกับเขาแล้ว จะแยกมิตรหรือแยกศัตรูไม่ออกเลยเชียวหรือ หากเหนือบ่ากว่าแรงก็จับเหลิ่งเฮ่าอวี่ส่งเข้ากองทัพของท่านพ่อไปให้ท่านพ่อจัดการสั่งสอนให้หนักๆ สักหน่อยก็ยังได้ นางไม่นึกอยากพูดคุยกับบรรดาสตรีที่อยู่ว่างๆ ว่าสามีของตนเลวร้ายเพียงใดหรอนะ
เยี่ยหลีพยักหน้า ยิ้มมองมู่หรงถิง “เจ้าเชื่อใจเขาได้ย่อมเป็นเรื่องดี ในเมื่อคุณชายรองเหลิ่งพูดกับเจ้าเช่นนี้แล้ว ย่อมหมายความว่าเขาสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ความเชื่อใจในกันและกันระหว่างสามีภรรยาถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
มู่หรงถิงกะพริบตาปริบๆ ยิ้มตาหยีมองเยี่ยหลี “เช่นเจ้ากับติ้งอ๋องอย่างนั้นหรือ หึหึ…ที่เมืองหย่งหลินครานั้น ติ้งอ๋องปรากฏตัวขึ้นที่สนามรบในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ซ้ำยังช่วยชีวิตพระชายาไว้ ยามที่ข้าอยู่ที่หย่งหลินยังได้ยินคนพูดถึงกันอย่างออกรส เกรงว่ายามนี้คงลือกันไปทั่วหนานเจียงแล้ว ยามอยู่ที่หย่งหลิน บรรดาสาวๆ ต่างนึกอิจฉาพระชายากันแทบตายแหน่ะ”
เยี่ยหลีได้แต่กลอกตาใส่นาง
อีกฟากหนึ่งม่อซิวเหยาและเหลิ่งเฮ่าอวี่พูดธุระกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลิ่งเฮ่าอวี่จึงลุกยืนขึ้นเตรียมขอตัวลากลับ ถึงแม้มู่หรงถิงจะยังมิอยากกลับ แต่นางก็เข้าใจดีว่าพวกนางในยามนี้ต่างก็เป็นคนที่แต่งงานแล้ว โดยเฉพาะเยี่ยหลีที่มีกิจธุระอีกมากต้องจัดการ จึงไม่รั้งรอ ลุกยืนขึ้นเอ่ยลากลับพร้อมเหลิ่งเฮ่าอวี่ทันที
เหลิ่งเฮ่าอวี่หันมองม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่อีกด้าน ก่อนหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “พระชายา เฮ่าอวี่ได้ยินว่าประมุขคนใหม่ของตระกูลหาน ยามนี้กำลังคิดทำการค้าใหม่อยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้าน้อยจะมีโอกาสได้ร่วมด้วยหรือไม่”
เยี่ยหลีปรายตามองม่อซิวเหยา “ข่าวของคุณชายเหลิ่งช่างรวดเร็วเสียจริง”
เหลิ่งเฮ่าอวี่มิได้ใส่ใจ หัวเราะแล้วกล่าวว่า “คนทำการค้านี่พ่ะย่ะค่ะ ย่อมมีสายข่าวด้านการค้าอยู่บ้าง พระชายาคงเห็นขันแล้ว”
เยี่ยหลียิ้มอย่างใจกว้าง “ในเมื่อคุณชายเหลิ่งมีความสนใจ เหตุใดจึงไม่ไปพูดคุยกับคุณชายหาน ข้าเป็นเพียงหลงจู๊ที่ทำอันใดไม่เป็นเท่านั้น”
เหลิ่งเฮ่าอวี่หัวเราะ “ความสามารถและความคิดอ่านของพระชายาทำให้ประหลาดใจได้เสมอ ท่านทำอันใดไม่เป็นเมื่อไรกัน เช่นนั้น ข้าน้อยขอบคุณพระชายามาก ลาก่อน”
“ไม่ส่ง”
มู่หรงถิงมองทั้งสองด้วยความแปลกใจ ไม่ค่อยเข้าใจว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่คิดทำการค้าอันใด ในเมื่อต้องการทำการค้ากับตระกูลหาน เหตุใดถึงต้องถามหลีเอ๋อร์ด้วยเล่า เพียงแต่อย่างน้อยคงสามารถบอกได้ว่า เหลิ่งเฮ่าอวี่คิดทำอันใดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นแล้วกระมัง