ที่ฝ่าบาทรับปากคำขอขององค์ชายเป่ยหรงง่ายๆ เช่นนี้ ทำให้ขุนนางที่นั่งอยู่ทั้งหลายต่างไม่เข้าใจนัก เพราะถึงอย่างไรนิสัยรักหน้าตาเป็นอย่างยิ่งของฝ่าบาทนั้น บรรดาขุนนางที่ใกล้ชิดต่างเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ที่พระองค์ทำประหนึ่งยอมลดฐานะของตนลงเช่นนี้ ช่างไม่สมกับนิสัยของฝ่าบาทเอาเสียเลย
คนอื่นจะคิดอย่างไรไม่รู้ แต่เยียหลี่ว์เหยี่ยกลับพอใจกับความพูดง่ายของฮ่องเต้แห่งต้าฉู่เป็นอย่างมาก เขาหันกลับไปคารวะสตรีที่นั่งอยู่ตรงข้าม พร้อมเอ่ยเสียงกังวานใสว่า “เช่นนั้น จากนี้รบกวนชายาติ้งอ๋องช่วยชี้แนะด้วย”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วพร้อมยิ้มอย่างมีมารยาท “ชี้แนะคงมิกล้า องค์ชายเยียหลี่ว์มีฐานะสูงส่งนัก เชื่อว่าคงมิทำอันใดที่เป็นการไม่ให้เกียรติสตรีแห่งต้าฉู่ของพวกเราเป็นแน่”
เยียหลี่ว์เหยี่ยเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ นั่งลงดื่มสุราต่อไป
ฮองเฮาที่นั่งอยู่ข้างม่อจิ่งฉี ผินหน้าไปทางฮ่องเต้กับหลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ในชุดสีขาวดุจหิมะประหนึ่งดอกหลี ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเสียงเบาว่า “หลิ่วกุ้ยเฟย ปกติเจ้ามิชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น วันนี้เหตุใดถึงสนใจเรื่องการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์นี้ขึ้นมาได้หรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยหลุบตาลงมองจอกสุราตรงหน้า ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “หม่อมฉันทำเกินหน้าไป ฮองเฮาโปรดอภัยด้วย”
ม่อจิ่งฉีหันมองภรรยาและสนมรักทั้งซ้ายและขวา ก่อนหันไปยิ้มให้ฮองเฮา “กุ้ยเฟยคงนึกเป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นเช่นกัน ฮองเฮาอย่าได้ถือโทษนางเลย”
สีหน้าฮองเฮามีแววขุ่นเคือง แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เอาเถิด ได้ยินว่าตระกูลหลิ่วก็มีคุณหนูที่อยู่ในรายชื่อเช่นกัน หลิ่วกุ้ยเฟยทำเพื่อแว่นแคว้น ข้าเองก็เป็นคนรู้ว่าอันใดสำคัญอันใดไม่สำคัญ เพียงแต่ฝ่าบาทเพคะ…หลายวันนี้เด็กเทียนเซียงมาอยู่เป็นเพื่อนข้าในวังทุกวัน ข้าคงมิขอเข้าร่วมด้วย หากฝ่าบาทตั้งพระทัยที่จะเลือกนางให้ไปแต่งงานแล้ว มีราชโองการลงมาก็เพียงพอแล้วเพคะ ตระกูลฮว่าและตัวหม่อมฉันจะไม่คร่ำครวญอันใดอย่างแน่นอน”
ม่อจิ่งฉีอึ้งไป ตัวเขากับฮองเฮาผูกผมสาบานเป็นสามีภรรยากันมาได้เกือบสิบปีแล้ว ฮองเฮามิเคยใช้นำเสียงที่แฝงไปด้วยความโกรธกับตนเองเช่นนี้มาก่อน ย้อนนึกไปก็เข้าใจขึ้นมาว่า ฮองเฮาคงนึกโกรธแทนหลานสาวเพียงคนเดียวของตนเป็นแน่ ตลอดสิบปีมานี้ถึงแม้จะไม่ได้มีความรักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง แต่ภรรยาเอกอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ม่อจิ่งฉีอดไม่ได้ที่จะนึกสงสัยว่า ที่ตนคิดอยากให้ฮว่าเทียนเซียงไปแต่งงานนี้เป็นความคิดที่เกินไปหรือไม่ ฮองเฮามีหลานสาวอยู่เพียงคนเดียว ฉางเล่อก็มีพี่สาวลูกพี่ลูกน้องอยู่เพียงคนเดียว อันที่จริงม่อจิ่งฉีเองก็รู้ดีกว่า การส่งฮว่าเทียนเซียงไปแต่งงานยังเป่ยหรงนั้น นอกจากจะทำให้ตระกูลฮว่าไม่พอใจแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์สำคัญอันใดอีก
ม่อจิ่งฉีสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย ตบมือฮองเฮาเบาๆ “เจ้าวางใจเถิด อีกเดี๋ยวข้าให้คนตัดชื่อเทียนเซียงออกก็เรียบร้อยแล้ว”
ฮองเฮาหลุบตาลง ยกยิ้มเพียงบางเบา “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”
ภายในตำหนัก เยี่ยหลีเก็บสายตาที่มองขึ้นไปทางด้านบนลงมาอย่างเลื่อนลอย ก่อนหันมาพูดเสียงเบากับม่อซิวเหยาว่า “ดูท่าจะไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเทียนเซียงแล้ว”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เยี่ยหลีจึงยิ้มเอ่ยว่า “ดูเหมือนฮองเฮาจะเอ่ยช่วยพูดกับฝ่าบาทให้เทียนเซียงแล้ว”
ฮองเฮาไม่ได้รับทั้งความโปรดปรานและมิได้มีลูกชาย แต่กลับสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งฮองเฮาได้อย่างมั่นคงท่ามกลางสายตาที่ไม่เป็นมิตรมาได้หลายปี แม้แต่ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดอย่างหลิ่วกุ้ยเฟยยังมิกล้ามีเรื่องขัดแย้งด้วยง่ายๆ สามารถกล่าวได้ว่าพระองค์มิใช่คนหัวอ่อน หลิ่วกุ้ยเฟยเพิ่งเอ่ยวาจาข้ามหน้าข้ามตาฮองเฮา ส่วนฮองเฮาเพียงแสดงท่าทีไม่พอใจออกไปเล็กน้อย ก็ทำให้ฮ่องเต้ยอมรับปากได้แล้ว เพียงแต่หลิ่วกุ้ยเฟย…เยี่ยหลีกวาดดวงตาใสแจ๋วไปทางสตรีในชุดสีขาวหิมะ และขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
“ความคิดอ่านของฮองเฮานั้นมิได้อ่อนด้อยกว่าผู้อื่น แต่เพียงมิได้คิดจะทำเท่านั้น แต่อาหลี ดูเหมือนเจ้าจะมีความสามารถที่แปลกและพิเศษอยู่ไม่น้อย” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นเสียงเบา
ถึงแม้พวกเขาจะนั่งอยู่แถวหน้าสุด แต่ก็อยู่ห่างจากบัลลังก์มังกรที่อยู่ด้านบนพอสมควร ถึงจะสามารถมองเห็นสายตาของคนทางด้านบนได้ แต่การจะได้ยินสิ่งที่คนด้านบนคุยกันด้วยเสียงอันเบา ท่ามกลางเสียงพูดคุยที่จ๊อกแจ๊กภายในตำหนักใหญ่เช่นนี้ ม่อซิวเหยายอมรับว่าตนทำไม่ได้
เยี่ยหลีเบ้ปาก กวาดสายตามองเขาก่อนเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “ถูกแล้ว ข้าสามารถอ่านปากได้ ไม่ดีหรือ ท่านอยากเรียนหรือไม่”
ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ไม่ล่ะ ภรรยาอ่านได้ก็พอแล้ว”
เยี่ยหลีเหลือบมองเขา ก้มหน้าลงพิจารณาสุราในจอกตรงหน้า นางรู้ตัวว่าที่ผ่านมานางเปิดเผยความสามารถของตนต่อหน้าม่อซิวเหยามากเกินไป ช่วงแรกอาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และนางสามารถบอกว่าที่มันเกิดขึ้นเพราะนางใช้ชีวิตที่ราบเรียบมาสิบกว่าปีทำให้ความระมัดระวังนางลดลง แต่ช่วงหลังมานี้นางกลับค่อยๆ ไม่นึกอยากปกปิดเขาเรื่องนี้ และบางครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางก็ตั้งใจแสดงให้เขาเห็นว่า ตัวนางนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป อันที่จริงที่นางทำถือว่าเป็นการทดสอบก็ว่าได้ เพียงแต่ม่อซิวเหยากลับไม่เคยมีท่าทีที่เปลี่ยนไป จากการที่เห็นนางแปลกประหลาดกว่าผู้อื่น ประหนึ่งที่นางเป็นเช่นนี้นั้นเป็นลิขิตจากฟ้า ซึ่งนี่ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกคาดไม่ถึงและมีความยินดีอย่างประหลาด เพราะถึงอย่างไรคงมิใช่ทุกคนที่จะชื่นชอบการใช้ชีวิตโดยต้องใส่หน้ากากเข้าหากันทุกวันหรอก
ด้วยเพราะงานในคืนนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายจากเป่ยหรง งานเลี้ยงจึงมิได้จบลงทันทีหลังงานเลี้ยงภายในตำหนักใหญ่ แต่ฮ่องเต้ได้พาพระสนม องค์ชาย องค์หญิงทุกพระองค์ รวมถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายขึ้นไปยังหอดูดาวที่สูงที่สุดในวังหลวง เพื่อชมการจุดดอกไม้ไฟและการร่ายรำคณะใหญ่ที่จัดขึ้นสำหรับงานเลี้ยงนี้โดยเฉพาะ
เยี่ยหลีที่นั่งอยู่ด้านบน มองฮ่องเต้ที่กำลังรื่นเริงอยู่กับงานเลี้ยงด้วยสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยนัก งานเลี้ยงขนาดใหญ่ที่ตั้งใจจัดขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับองค์ชายจากเป่ยหรงที่มีความทะเยอทะยานและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมผู้นี้ อย่างไรก็ดูจะเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย ดูจะยิ่งสร้างกระหายในการเข้ามาครอบครองพื้นที่จงหยวนเสียมากกว่า เพราะถึงอย่างไรก็สามารถกล่าวได้ว่า เป่ยหรงเป็นแคว้นที่แร้นแค้นที่สุดในบรรดาทั้งสี่แคว้น สำหรับต้าฉู่ที้ได้ครอบครองพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแล้ว อย่างไรก็คงไม่มีความเคารพอันใดให้อยู่แล้ว สภาพแวดล้อมที่ยากลำบากและลักษณะนิสัยที่ป่าเถื่อน มีแต่จะทำให้พวกเขาคิดอยากแก่งแย่งเพื่อให้ได้มาโดยไม่สนสิ่งใดเท่านั้น
“ชายาติ้งอ๋อง…เสด็จอา…” บนหอดูดาวนั้น มีอิสระกว่าในตำหนักใหญ่มากนัก พวกเขานั่งลงได้ไม่เท่าไร องค์หญิงฉางเล่อก็ค่อยๆ ลอบมานั่งลงข้างเยี่ยหลี ทุกคนต่างมัวแต่ดูดอกไม้ไฟบนท้องฟ้าและการแสดงร่ายรำทางด้านล่าง จึงมิมีผู้ใดสังเกตเห็นนาง
เยี่ยหลีก้มหน้าลงยิ้มบางๆ ให้นาง “เหตุใดองค์หญิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
องค์หญิงฉางเล่อกะพริบตา เอียงหน้าเข้ากระซิบที่ข้างหูเยี่ยหลี “เสด็จแม่ให้ข้ามาบอกเจ้าว่า ให้ระวังหลิ่วกุ้ยเฟยไว้”
เยี่ยหลีอึ้งไป เงยหน้าขึ้นมองไปทางฮองเฮาที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ฮองเฮายกยิ้มให้นางน้อยๆ พร้อมพยักหน้า เยี่ยหลีพยักหน้าตอบเป็นการขอบคุณ ลูบศีรษะองค์หญิงฉางเล่อร์พร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ที่แท้ก็มาถ่ายทอดรับสั่งของฮองเฮานี่เอง ขอบพระทัยองค์หญิงแล้ว”
องค์หญิงฉางเล่อร์โบกมือเล็กๆ ของนาง ก่อนเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้าเองก็ไม่ชอบหลิ่วกุ้ยเฟยเช่นกัน”
“เพราะเหตุใดหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ หลิ่วกุ้ยเฟยนิสัยเย็นชา แต่ก็มิน่าถึงขั้นทำให้เด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบไม่พอใจได้กระมัง ก่อนหน้านี้ถือว่าหลิ่วกุ้ยเฟยได้เคยช่วยเหลือนางไว้สองครั้ง และดูมิได้มีความเป็นอริกับตน แต่ครั้งนี้…เยี่ยหลีรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ดูเหมือนตั้งแต่พบกันในวังหลวงเมื่อคราก่อน ท่าทีที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีต่อนางก็ดูจะแปลกไป ซึ่งนี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากภายใน ภายนอกนั้นดูไม่ออกว่ามีอันใดแปลกไปแม้แต่น้อย เป็นเพียงสัญชาตญาณบางอย่างเท่านั้น เยี่ยหลีเชื่อในสัญชาตญาณตนเองมาโดยตลอด ด้วยเพราะสัญชาตญาณเคยช่วยชีวิตนางจากสนามรบมาแล้วหลายครั้ง