เยี่ยหลีเดินไปตามทางในวังหลวงท่ามกลางความมืดสลัวด้วยความรวดเร็ว ประหนึ่งนางเคยเดินอยู่ในวังหลวงแห่งนี้มาแล้วเป็นร้อยเป็นพันรอบ ร่างแบบบางที่เคลื่อนที่ด้วยความคล่องแคล่ว หยุดลงที่ใต้ชายคาตำหนักแห่งหนึ่ง เยี่ยหลีหยุดฝีเท้าลง ก่อนเงยหน้ามองร่างบนชายคาทางด้านหลังตน เอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์ชายเยียหลี่ว์ สะกดรอยตามข้าในยามนี้ ด้วยเหตุอันใดหรือ”
เมื่อถูกจับได้ เยียหลี่ว์เหยี่ยจึงกระโดดลงมาจากหลังคาเรือนแห่งนั้นโดยไม่อิดออด เอ่ยพร้อมยิ้มว่า “พระชายากำลังจะไปหาติ้งอ๋องหรือ ท่านรู้หรือว่าติ้งอ๋องอยู่ที่ใด”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับองค์ชายเยียหลี่ว์ หากองค์ชายเยียหลี่ว์มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้ สู้เอาเวลาไปคิดหาคำอธิบายว่าเหตุใดพอท่านมาถึงต้าฉู่ก็มีคนคิดอยากลอบฆ่าท่านจะไม่ดีกว่าหรือ”
เมื่อครู่ที่หอดูดาว นักฆ่าเอ่ยเรียกชื่อของเยียหลี่ว์เหยี่ยออกมาอย่างชัดเจน ยามนั้นคงมีคนได้ยินจำนวนไม่น้อย ก่อนหน้านี้ที่ถูกคนลอบฆ่าในงานเทศกาลโคมไฟ คงมีคนรู้เพียงไม่มากนัก แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีคนแพร่ข่าวนั้นออกไป หากในคืนนี้มีคนสำคัญบาดเจ็บล้มตายไป เกรงว่าผู้มีอิทธิพลทั้งหลายคงได้มาตามคิดบัญชีเอากับเยียหลี่ว์เหยี่ยเป็นแน่
เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยด้วยความใสซื่อว่า “ข้าน้อยเดินทางมาจากต่างถิ่นอันแสนไกล ผู้ใดจะรู้ว่าต้าฉู่นั้นอันตรายกว่าเป่ยหรงของพวกข้าเสียอีก”
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “ข้าว่าหากเทียบกับเป่ยหรงแล้ว องค์ชายเยียหลี่ว์ดูจะเหมือนคนต้าฉู่ของพวกข้ามากกว่าเสียอีก” พูดจบนางก็ไม่สนใจสีหน้าของเยียหลี่ว์เหยี่ยอีก หมุนตัวเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเดินตามกันโดยทิ้งระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไปนัก อาจด้วยเพราะมีผู้บุกรุก ทำให้องครักษ์ส่วนใหญ่ต่างไปรวมกันอยู่ที่หอดูดาว การอารักขาในวังยามนี้จึงไม่เข้มงวดเท่ายามปกติ
เยี่ยหลีเดินไปพลางขมวดคิ้วไปพลาง หากในยามนี้มีผู้ใดถือโอกาสเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ในวัง ผลที่ตามมาคงยากจะคาดเดาได้
เยียหลี่ว์เหยี่ยเดินตามเยี่ยหลีอย่างสบายๆ เขาเห็นแล้วว่าชายาติ้งอ๋องมิได้เดินหาบางสิ่งบางอย่างในวังอย่างไร้จุดหมาย แต่กำลังมุ่งหน้าไปยังที่ใดที่หนึ่ง เพียงแต่สายตาของเขายังไม่พบร่องรอยอันใดที่ม่อซิวเหยาทิ้งเอาไว้เลย คิดอยู่เป็นนาน สุดท้ายจึงสรุปเอาว่าตนเองคงไม่รู้เครื่องหมายลับของตำหนักติ้งอ๋อง
ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงชายป่าเถาของเขตอุทยานหลวง
เยียหลี่ว์เหยี่ยขมวดคิ้วถามว่า “พระชายา ท่านแน่ใจหรือว่ามิได้มาผิดที่”
เยี่ยหลีกระโดดข้ามแม่น้ำที่ขวางอยู่ตรงหน้าไป เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ามิได้เชิญให้องค์ชายมาด้วยเสียหน่อย” พอเท้าแตะพื้น เยี่ยหลีก็เดินเข้าไปภายในป่าเถาอย่างไม่ลังเล
เยียหลี่ว์เหยี่ลอมยิ้มยักไกล่ก่อนกระโดดตามไป “พระชายาวางใจในตัวข้าน้อยเหลือเกิน ไม่กลัวว่าข้าจะลอบสังหารท่านหรือ”
“ท่านจะลองดูก็ได้”
เยียหลี่ว์เหยี่ยยกมือขึ้นลูบจมูก มิได้ตอบอันใด ถึงแม้เข้าจะมิใช่คนใจเสาะ แต่ก็ไม่ชอบรนหาที่ตาย ยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถส่วนตัวของชายาติ้งอ๋องเลย แค่เพียงเมื่อครู่ที่เข้ามาในเขตอุทยาน เขาก็รับรู้ได้ลางๆ ว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเขามา หากเพียงเท่านั้นก็ยังไม่เท่าไร เพียงแต่เขามิอาจแน่ใจได้เลยว่า คนที่ติดตามพวกเขามานั้นคือผู้ใด เป็นเพียงสัญชาตญาณของคนที่ตั้งแต่เล็กจนโต หลีกหนีจากความตายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเท่านั้น ในเมื่อชายาติ้งอ๋องกล่าวเช่นนี้ เยียหลี่ว์เหยี่ยจึงเริ่มมีเค้าลางในใจว่า คนที่ติดตามพวกเขามาจะต้องเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋องอย่างแน่นอน จึงอดนึกแค้นใจในความแข็งแกร่งของตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้ สถานการณ์ภายในวังเละเป็นโจ๊กเช่นนี้แล้ว แต่เยียหลี่ว์เหยี่ยกล้ารับประกันเลยว่า องครักษ์ที่อ่อนด้อยที่สุดของตำหนักติ้งอ๋องก็ยังมิมีผู้ใดตื่นกลัวจนลนลานอย่างแน่นอน
เข้ามาภายในป่าได้ไม่นาน เยียหลี่ว์เหยี่ยก็ได้ยินเสียงดังลอยมาไม่ไกลนัก เพียงแต่ดูเหมือนจะมิใช่เสียงการต่อสู้ แต่เป็นเสียงของหญิงสาวที่กำลังดิ้นรนต่อสู้อยู่เสียมากกว่า เขาเหลือบมองสีหน้าเยี่ยหลีที่เลือนลางอยู่ในความมืด แล้วเยียหลี่ว์เหยี่ยก็ยิ้มขึ้นมาอย่างนึกสนุก การตามสตรีผู้นี้มามิใช่ความคิดที่ผิดเลยจริงๆ
ภายในป่าเถา องค์หญิงเจินหนิงนั่งอึ้งอยู่กับพื้น มองเสด็จแม่ที่ต่างจากยามปกติเป็นคนละคน เมื่อครู่นางเพิ่งเสียขวัญจนคิดอยากพุ่งเข้าไปร้องไห้อยู่กับอกของเสด็จแม่ แต่นางกลับได้แต่นั่งนิ่งอยู่กับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้เสียงดังออกมา ด้วยเพราะเสด็จแม่ของนางไม่แม้แต่จะหันมามองนางตรงๆ ถึงแม้นางยังเด็ก แต่นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ยามนี้เสด็จแม่ไม่ต้องการให้ตนส่งเสียงรบกวน
ม่อซิวเหยามองสตรีในชุดสีขาวตรงหน้า แล้วอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “ในเมื่อองค์หญิงเจินหนิงไม่เป็นอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน” หลังจากออกติดตามมาจากหอดูดาวได้ไม่เท่าไรก็พบว่า นักฆ่าที่ลักพาตัวองค์หญิงเจินหนิงมานั้น มิได้มีจุดประสงค์ที่จะทำร้ายนาง เพียงต้องการที่จะล่อเขาออกมาเท่านั้น แต่ม่อซิวเหยาคิดไม่ถึงว่า คนที่ให้ลักพาตัวองค์หญิงเจินหนิงมานั้นจะเป็นหญิงสาวตรงหน้าเขาผู้นี้ หนำซ้ำนางยังคาดการณ์ไว้ถูกต้องว่า ม่อจิ่งฉีจะให้เขาเป็นคนออกตามมาช่วยองค์หญิงเจินหนิง ดูท่า เขาจะประเมินอิทธิพลของหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีต่อม่อจิ่งฉีต่ำไปเสียแล้ว
“เจ้ารังเกียจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ…” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นเบาๆ น้ำเสียงที่เยือกเย็นอยู่เป็นนิจ มีแววตัดพ้อ
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว หันกลับไปเอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยว่า “ระหว่างข้ากับกุ้ยเฟย น่าจะไม่มีเรื่องรังเกียจหรือไม่รังเกียจให้เอ่ยถึง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิ่วกุ้ยเฟยก็สีหน้าขาวซีดลงทันที กัดริมฝีปากเบาๆ อย่างพูดไม่ออก คำตอบเช่นนี้เจ็บปวดกว่าการบอกว่ารังเกียจออกมาตรงๆ เสียอีก ในสายตาของม่อซิวเหยาแล้ว นางไม่มีคุณสมบัติพอให้เขารู้สึกรังเกียจเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขามิได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างกัน
“เพราะเหตุใด…เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยถามเสียงสั่น ใบหน้าที่เยือกเย็นประหนึ่งหิมะมีแววแห่งความอ่อนแอและเจ็บปวด เมื่อเทียบกับยามปกติที่ดูสูงส่งแล้ว นางในยามนี้ดูงดงามและน่าทะนุถนอมกว่ามาก
นางเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา เอ่ยถามด้วยความไม่เต็มใจว่า “เหตุใดท่านถึงไม่เคยหันมองข้า เมื่อก่อนก็ซูจุ้ยเตี๋ย มายามนี้ก็เยี่ยหลี ข้าเทียบพวกนางไม่ได้ที่ตรงใด ซิวเหยา…เหตุใดท่านถึงไม่ยอมสนใจข้า…”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นเพครอบครัว ความงามหรือความสามารถ นางมิได้ด้อยกว่าผู้ใด ถึงแม้ซูจุ้ยเตี๋ยจะเป็นยอดหญิงงามในสมัยนั้น แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่านางจะสวยไปกว่าตนมากสักเท่าใด แต่ตั้งแต่เด็กเป็นต้นมา ชายหนุ่มที่นางมีใจรักตั้งแต่แรกพบผู้นี้กลับมิเคยหันมาสนใจนางเลยแม้สักนิด เมื่อก่อนเขาก็เอาแต่มองซูจุ้ยเตี๋ย ส่งยิ้มให้นางอย่างอบอุ่น ดีดฉิน ท่องกลอน และวาดภาพกับนาง เขาไม่เคยเห็นว่าข้างกายเขายังมีตนอยู่อีกคน เดิมทีนางคิดว่าเมื่อซูจุ้ยเตี๋ยไม่อยู่แล้ว เขาจะไม่ปฏิบัติต่อผู้ใดอย่างคนพิเศษอีก แต่ในยามนี้…นางที่หลงรักม่อซิวเหยามาโดยตลอด สามารถสัมผัสความรู้สึกนี้ได้ชัดเจนกว่าผู้ใดทั้งหมด ม่อซิวเหยาปฏิบัติต่อเยี่ยหลี พิเศษกว่าที่ปฏิบัติต่อซูจุ้ยเตี๋ยเสียอีก
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์นัก ความรู้สึกที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีต่อเขามิใช่ว่าเขาไม่รู้ เพียงแต่ในยามที่เขายังเด็กเขามิได้สนใจเท่านั้นเอง องค์ชายรองแห่งตำหนักติ้งอ๋องเป็นยอดบุรุษของเมืองหลวง เป็นชายในฝันของสตรีจำนวนมากในเมืองหลวง สตรีที่หลงใหลได้ปลื้มในตัวเขานั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน และด้วยเพราะเสด็จพ่อและเสด็จแม่ บวกกับในยามนั้นเขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ทำให้เขาไม่คิดจะสนใจสตรีนางอื่นอีก ยิ่งหลังจากหลิ่วกุ้ยเฟยเข้ามาอยู่ในวังแล้ว เขายิ่งไม่มีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว ต่อให้เขารังเกียจม่อจิ่งฉีเพียงใด ก็ไม่มีทางลักลอบคบชู้กับพระสนมของเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่า ที่หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยตัดพ้ออยู่ในยามนี้ด้วยเพราะเหตุใด
“หลิ่วกุ้ยเฟยโปรดระวังคำพูดด้วย ชื่อของข้ามิใช่ว่าผู้ใดก็สามารถเอ่ยเรียกได้”
หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟันเอ่ยว่า “เหตุใดท่านถึงไม่เคยหันมาสนใจข้า หรือว่าข้าไม่เข้าตาท่านจริงๆ”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “ข้าคงได้แต่บอกให้ท่านคิดถึงฐานะของท่านด้วย”
“ข้าไม่ต้องการฐานะกุ้ยเฟย!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงดังขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเครือ “เจ้าคิดว่าข้าชื่นชอบการเป็นกุ้ยเฟยหรือ ทั้งหมดนี้มิใช่สิ่งที่ข้ายินดีทำ…ขอเพียงเจ้า…ขอเพียงเจ้า…ข้าสามารถไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้…”
ม่อซิวเหยาย่นคิ้วมองสตรีที่ควบคุมตนเองไม่ได้ตรงหน้า ก่อนหมุนตัวกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อย่าไป!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียก ก่อนวิ่งเข้าไปหมายจะจับแขนเสื้อของม่อซิวเหยาไว้ ถึงแม้นางจะพอมีวิทยายุทธ แต่ก็ยังห่างชั้นจากม่อซิวเหยานัก ม่อซิวเหยามิได้ตั้งใจจะทำร้ายนาง เขาเพียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เพื่อผลักนางออกเท่านั้น
หลิ่วกุ้ยเฟยเสียหลัก ล้มลงไปนั่งอยู่กับพื้น “อย่าไป…ซิวเหยา ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้า ม่อจิ่งฉี…ม่อจิ่งฉีไม่ประสงค์ดีต่อตำหนักติ้งอ๋อง เขาคิดจะเล่นงานเจ้า”
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ฝ่าบาทเคยประสงค์ดีต่อตำหนักติ้งอ๋องเมื่อใดกัน ก่อนหน้านี้ที่เจ้าเคยช่วยปกป้องอาหลีไว้ วันนี้ที่ข้าช่วยองค์หญิงเจินหนิง ถือว่าข้าตอบแทนน้ำใจเจ้าแล้ว กุ้ยเฟยรักษาตัวดีๆ ก็แล้วกัน ฮ่องเต้ของพวกเรามิใช่คนใจกว้างที่จะยอมอะลุ่มอล่วย”
“เพราะเหตุใด…”
“จึ๊…ช่างใจแข็งเป็นหินเสียจริง หลิ่วกุ้ยเฟยผู้นี้เป็นหญิงงามที่หาได้ยากเชียวนะ” ภายในมุมมืดในป่าเถา เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นข้างๆ เยี่ยหลี
เยี่ยหลีปลายตามองเขาเรียบๆ การมาเจอหลิ่วกุ้ยเฟยที่นี่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ยามที่นางลงมาจากหอดูดาวนั้น หลิ่วกุ้ยเฟยยังอยู่ข้างกายม่อจิ่งฉี นางมาปรากฏตัวที่ป่าเถาภายในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร
ความรู้สึกที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีต่อม่อซิวเหยานั้นนางรับรู้ได้เสียนานแล้ว และนางก็รู้ถึงความคิดของม่อซิวเหยาอย่างชัดเจนเช่นกัน ดังนั้นที่เห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันนางจึงมิได้นึกโกรธเท่าไรนัก เพียงแต่ตกใจกับความรู้สึกอันลึกซึ้งของหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีต่อม่อซิวเหยาและการที่นางสามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาได้เท่านั้น
เมื่อเห็นองค์หญิงเจินหนิงที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้นโดยไม่กล้าส่งเสียงแล้ว เยี่ยหลีได้แต่ลอบส่ายหน้า การปักใจรักชายคนหนึ่งมิใช่เรื่องผิด แต่หากเพื่อสิ่งนั้นแล้วจะไม่สนใจสิ่งอื่นๆ เลยก็ดูจะมิใช่เรื่องดีสักเท่าไรหลิ่วกุ้ยเฟยจะต้องไม่สนใจบุตรสาวของตนถึงเพียงใด ถึงได้กล้าเอ่ยความรู้สึกที่นางมีต่อม่อซิวเหยาต่อหน้าบุตรสาวของนางเช่นนี้ ถึงแม้องค์หญิงเจินหนิงจะมีอายุเพียงแปดชันษา แต่ราชนิกุลที่อายุแปดชันษาก็มิใช่เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“เอาอย่างไรดีพระชายา จะออกไปดูหน่อยหรือไม่” เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยยิ้มๆ “เห็นหลิ่วกุ้ยเฟยมีใจรักลึกซึ้งเช่นนี้แล้ว พระชายาไม่มีความคิดเห็นเช่นไรเลยหรือ หากติ้งอ๋องเกิดหวั่นไหวขึ้นมา…”
เยี่ยหลีปรายตามองเขาอย่างไม่เห็นขัน “หากองค์ชายคิดจะยั่วยุ ก็ช่วยคิดหาข้ออ้างที่ฉลาดกว่านี้หน่อยได้หรือไม่” ให้ออกไปยามนี้ คิดว่านางโง่หรือไร ยามนี้หลิ่วกุ้ยเฟยเพียงเสียใจและเจ็บปวดเท่านั้น หากนางออกไปยามนี้ เกรงว่าหลิ่วกุ้ยเฟยคงได้เปลี่ยนความรู้สึกทั้งหมดเป็นความโกรธแค้นอย่างแน่นอน แน่นอนว่า นางมิได้บอกว่ายามนี้นางมิได้คิดโกรธแค้น เยี่ยหลีนึกเตือนตนเองในใจว่า ต่อไปให้ระวังหลิ่วกุ้ยเฟยไว้สักหน่อยจะดีกว่า นี่ขนาดเขาเสียโฉมแล้วยังมีเสน่ห์อยู่อีกหรือ ดูท่าคงจะยังเสียโฉมไม่ร้ายแรงพอ เยี่ยหลีลอบนึกวางแผนในใจ ม่อซิวเหยาที่อยู่ในป่าเถารู้สึกเย็นวาบที่สันหลังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เหลือบตามองหลิ่วกุ้ยเฟยที่กำลังร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดทีหนึ่ง ก่อนหมุดตัวเดินจากไปอย่างไม่ลังเล
ม่อซิวเหยาเดินออกจากป่าเถา หยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำก่อนหันมายิ้มแห้งๆ พร้อมเอ่ยว่า “อาหลี ในเมื่อมาแล้วเหตุใดถึงไม่ออกไปหรือ”
เยี่ยหลีเดินเรื่อยๆ ออกมาจากป่าเถา ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้ากลัวว่าจะทำให้ท่านอ๋องเสียเรื่องน่ะสิ”
ม่อซิวเหยานิ่งไป ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้ารู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา อาหลีคงมิได้กำลังคิดจะทำข้าเสียโฉมหรอกกระมัง”
เยี่ยหลีถลึงตาดุใส่เขา นางไม่มีทางยอมรับว่าเขาเดาความคิดของนางถูกหรอกนะ เยียหลี่ว์เหยี่ยเดินสบายๆ ตามเยี่ยหลีออกมา หันมองม่อซิวเหยาก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ติ้งอ๋องช่างโดดเด่นเหนือคนธรรมดาจริงๆ ข้าน้อยขอนับถือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์ชายเยียหลี่ว์เกรงใจแล้ว ข้าคงเทียบกับองค์ชายเยียหลี่ว์ไม่ได้…” ยังไม่ทันพูดจบ ม่อซิวเหยากับเอียงตัวหันมองไปทางอุทยานอีกด้านหนึ่ง ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะมีคนตามหาองค์ชายเยียหลี่ว์แล้ว…”
เยียหลี่ว์เหยี่ยหันมองตามไป ก็เห็นเงาคนกลุ่มหนึ่งกำลังรีบร้อนเดินมาทางพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเป็นองครักษ์ของวังหลวง ดูท่าต่อให้ม่อจิ่งฉีกลัวตายเพียงใด ก็ยังไม่ลืมว่ายังมีแขกสำคัญอยู่อีกคนหนึ่ง
เยียหลี่ว์เหยี่ยส่งเสียงจึ๊ในลำคอ ก่อนหันมาส่งยิ้มให้เยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “ข้าคงไม่รบกวนองครักษ์ของวังหลวงแล้ว ชายาติ้งอ๋อง พรุ่งนี้พบกันใหม่” พูดจบก็แทรกตัวหายไปในเงาไม้ของป่าเถาทันที
“ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา!” องครักษ์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นม่อซิวเหยายืนเคียงคู่อยู่กับเยี่ยหลีก็อึ้งไป รีบเดินเข้ามาทำความเคารพทันที
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “นี่พวกเจ้ากำลังทำอันใดกันหรือ”
หัวหน้าองครักษ์ตอบว่า “เรียนท่านอ๋อง ที่เหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่พบว่าองค์ชายเยียหลี่ว์กับพระชายาติ้งอ๋องหายตัวไป พวกข้าน้อยได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้ออกตามหาพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ยเรียบๆ ว่า “พระชายาเป็นห่วงข้าจึงตามมาดู พวกเจ้าให้คนกลับไปทูลฝ่าบาทว่าพระชายาอยู่กับข้าก็แล้วกัน ส่วนองค์ชายเยียหลี่ว์…พวกเจ้าตามหาต่อไปเถิด”
องครักษ์ย่อมไม่กล้ารั้งรอ เมื่อทูลลาทั้งสองคนแล้ว จึงรีบแยกตัวไปรายงานต่อฮ่องเต้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็แยกไปตามหาเยียหลี่ว์เหยี่ยต่อทันที
เยี่ยหลีหันกลับไปมองในป่าเถาอีกครั้งหนึ่ง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลิ่วกุ้ยเฟย…”
ม่อซิวเหยาจูงเยี่ยหลีให้เดินกลับไป ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยกับสามีมิได้มีอันใดกัน ภรรยาอย่าใส่ร้ายข้าเลย”
เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขา “ทิ้งหลิ่วกุ้ยเฟยไว้ข้างในนั้นคงไม่เป็นอันใดกระมัง”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยมิได้ธรรมดาๆ อย่างที่เจ้าคิด เจ้าคิดว่าหากเป็นคนที่มีฝีมือธรรมดาๆ จะสามารถเดินทางจากหอดูดาวมาที่นี่ได้ภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้หรือ หากเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮองเฮาแล้ว เตือนนางไว้เสียหน่อยก็ดีว่า ให้ระวังหลิ่วกุ้ยเฟยไว้”
เยี่ยหลีหันมองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าประหลาด ก่อนหน้านี้ยังว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเคยมีน้ำใจต่อนางอยู่เลย ถึงแม้เมื่อครู่จะได้ชดใช้ไปแล้ว แต่ก็คงไม่ถึงขั้นเพียงหันหน้าก็ไม่รู้จักกันแล้วกระมัง
ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองนาง “เจ้าคิดว่าหากเมื่อครู่ข้ารับน้ำใจของนางแล้ว นางจะทิ้งทุกอย่างแล้วตามข้าไปจริงๆ หรือ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว หรือว่ามิใช่หรือ
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตระกูลใหญ่เช่นนาง จะอบรมบุตรสาวให้ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อความรักหรือ หากนางยอมทิ้งทุกอย่างอย่างที่นางว่าจริง นางจะคลอดองค์ชายสององค์ องค์หญิงหนึ่งองค์ติดต่อกัน และเป็นที่โปรดปานที่สุดในวังหลังได้อย่างไร นางมิได้อยากอยู่กับข้าจริงๆ หรอก นางเพียงแค่รับไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้ข้าทำเหมือนนางไม่มีตัวตน และในยามนี้ข้ากลับมาดีกับเจ้าเท่านั้นเอง”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นางเชื่อว่าหลิ่วกุ้ยเฟยมีความรู้สึกต่อม่อซิวเหยาจริง อย่างน้อยก็มิใช่ว่าที่นางทำทั้งหมดนั้นทำไปด้วยเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง สตรีที่หยิ่งทระนงเช่นนั้นยอมแสดงท่าที่คร่ำครวญขอร้องบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีโอกาสไม่มากนัก ในใจนางไม่มีทางไม่มีความจริงใจหรือความคาดหวังแฝงอยู่
เพียงแต่…ต่อให้จริงใจกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ ม่อซิวเหยาเป็นของนางแล้ว คนอื่นๆ อย่าได้หวังที่จะยื่นมาเข้ามาแทรกเลย