เหยาจีอึ้งไป พยักหน้าพร้อมยิ้มขื่นว่า “พระชายากล่าวถูกแล้ว”
เยี่ยหลีหันมองใบหน้าที่ซูบผอมและซีดขาว ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามว่า “เจ้าสบายดีหรือไม่”
เหยาจียิ้มเรียบๆ “ยังจะมีอันใดดีไม่ดีอีกหรือ ที่วันนี้ข้าบากหน้ามาที่นี่ด้วยเพราะมีเรื่องอยากขอร้องให้พระชายาช่วยเหลือจริงๆ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เจ้าพูดมาเถิด หากว่าข้าสามารถช่วยเหลือได้ จะต้องช่วยอย่างเต็มความสามารถแน่นอน”
เหยาจีเอ่ยว่า “ข้าคิดจะปิดโรงละครชิงเฉิง เพียงแต่…ข้าตัวคนเดียวยังไม่เท่าไร แต่ในโรงละครชิงเฉิงยังมีหญิงสาวอยู่อีกมากนัก…พวกนางล้วนมีชีวิตที่ยากลำบาก หากละทิ้งพวกนางโดยไม่สนใจ คนที่พอใช้ได้หน่อยอาจไปอยู่ที่หออื่น แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่คงไม่รู้จะระหกระเหินไปอยู่ที่ใด เดิมทีเป็นข้าที่ผิดต่อพวกนาง…ดังนั้นข้าจึงอยากถามพระชายาว่า ตำหนักติ้งอ๋องยินดีจะซื้อโรงละครชิงเฉิงไปหรือไม่ เหยาจียินดีขายเพียงครึ่งราคา ขอเพียงให้ช่วยดูแลคนเก่าคนแก่ของโรงละครชิงเฉิงสักหน่อยเท่านั้น”
เยี่ยหลีย่นคิ้วเล็กน้อย “โรงละคนชิงเฉิงได้ชื่อว่าเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ขอเพียงเจ้าอยากขาย ย่อมมีคนรุมกันแย่งซื้อ เหตุใดเจ้าถึงต้อง…”
เหยาจียิ้มอย่างขมขื่น สบตาเยี่ยหลีก่อนเอ่ยว่า “คนในเมืองหลวงที่สามารถทำการค้าหอนางโลมได้ก็มีแต่คนชั้นเลวทั้งนั้น ข้าจะไม่รู้หรือ หากโรงละครชิงเฉิงตกอยู่ในมือของคนเหล่านั้นจริง ไม่รู้ว่าจะถูกเหยียบย่ำจนเละเทะสักเพียงใด อีกอย่าง…ข้าหวังว่าข่าวการเปลี่ยนเจ้าของโรงละครชิงเฉิงจะแพร่ออกไปหลังจากนี้สักครึ่งเดือน”
เยี่ยหลีย่นคิ้ว เข้าใจความตั้งใจของเหยาจีโดยทันที “เจ้า…วางแผนไว้อย่างไร”
เหยาจีก้มหน้าลง ยกมือลูบหน้าท้องที่ยังคงเรียบแบนอย่างใจลอย ยิ้มเรียบๆ ว่า “ข้าจะลองเดินทางไปทางใต้ดู อากาศทางใต้สบายกว่าเมืองหลวงมากมิใช่หรือ หลายปีนี้ข้าเก็บเงินไว้ไม่น้อย ต่อให้กินอยู่อย่างดีไปชั่วชีวิตก็คงไม่มีปัญหา”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ที่นางเอ่ยถามย่อมไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน ถึงแม้จะเป็นนางรำ แต่เมื่อถึงระดับเหยาจีแล้ว ย่อมไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเงินทอง เพียงแต่ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สถานการณ์ทางตอนใต้ในยามนี้ไม่สงบนิ่งนัก เพียงพูดเรื่องสภาพร่างกายของเหยาจีในยามนี้ไม่เหมาะกับการเดินทางไกลไปหนานเจียงแล้ว
เยี่ยหลีนวดขมับก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เฟิ่งซานกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้ายังมิได้พบเขากระมัง”
เหยาจียิ้ม “เมื่อเช้าวานเขามาเยี่ยมข้าแล้ว เพียงแต่เขาเองก็ยุ่งมาก ดังนั้น…พระชายา เรื่องวุ่นวายของข้า อย่าได้บอกเขาเลยนะเพคะ”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้ากับเฟิ่งซานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสียอีก”
เหยาจีหัวเราะ “คุณชายเฟิ่งซานเป็นสหายของข้า สหายที่แท้จริง…เพียงคนเดียว พระชายาท่านไม่จำเป็นต้องทดสอบข้า คุณชายเฟิ่งซานมิได้มีใจให้ข้าเช่นนั้น และแน่นอนว่าข้าเองก็เห็นเขาเป็นสหายจริงๆ เช่นกัน สำหรับพวกเราก็เพียง…มีความเห็นใจให้กันกระมัง”
เยี่ยหลีเอ่ยขอโทษเสียงเบา นางรู้ดีว่าในใจเฟิ่งจือเหยามีผู้ใดบางคนอยู่ เพียงแต่ไม่เคยได้ยินเฟิ่งซานหรือผู้ใดเอ่ยถึงคนผู้นี้มาก่อน บางทีม่อซิวเหยาอาจจะรู้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเฟิ่งซาน ม่อซิวเหยาไม่มีทางบอกนางก่อน และนางก็จะไม่ถาม
เหยาจีส่ายหน้าพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างใจกว้างว่า “ข้ารู้ว่าพระชายาเป็นห่วงข้า เพียงแต่เรื่องเช่นนี้อย่าได้บอกเฟิ่งซานจะดีกว่า ถึงแม้คุณชายเฟิ่งซานดูจะมิสนใจอันใดสักเท่าไร แต่ก็เกลียดชังความเลวร้ายเป็นที่สุด เดิมทีเขาคิดจะไปหามู่หยางซื่อจื่อ แต่ข้าบอกเขาไปแล้วว่า พวกเราคุยกันเข้าใจนานแล้ว ดังนั้นการแต่งงานระหว่างจวนมู่หยางโหวกับตระกูลซุน จึงไม่เกี่ยวกับข้าแม้แต่น้อย”
“เจ้าอยากเก็บลูกไว้หรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยถาม เหยาจีเอ่ยมายืดยาวเช่นนี้ หากตนยังไม่เข้าใจความหมายของนาง หลายปีมานี้นางคงใช้ชีวิตมาเสียเปล่าแล้ว มิใช่ว่านางเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ แต่หญิงสาวในยุคสมัยนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะของเหยาจีเลย ต่อให้เป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปหากคลอดลูกโดยที่ยังไม่แต่งงาน คงมีชีวิตที่ไม่ดีนัก ต่อไปอนาคตของเด็กผู้นี้ก็คงไม่ดีนักเช่นกัน
เหยาจีหันมองนาง บนใบหน้างดงามมีแววอ่อนโยน พยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่แล้ว นี่เป็นลูกของข้า พระชายาท่านวางใจเถิด ในเมื่อข้าพูดไปแล้วว่าจะตัดขาดกับมู่หยาง ต่อไปจะไม่มีทางใช้เด็กผู้นี้เป็นข้ออ้างในการตอแยเขาอย่างแน่นอน ครานี้หากข้าไปจากเมืองหลวงแล้ว…ข้าคงไม่คิดจะกลับมาอีก ข้าจะหาสักที่ที่ไม่มีคนรู้จักชื่อแซ่ของข้าและข้าสามารถใช้ชีวิตที่นั่นไปได้ตลอดชีวิต”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากคลอดบุตรออกมาแล้วจะทำอย่างไร ชีวิตของเจ้าต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ต่อให้เจ้าเลี้ยงดูบุตรคนเดียวจนเติบใหญ่ มีเงินทองมากพอที่จะใช้สอย แต่เมื่อบุตรของเจ้าเติบใหญ่เล่า บุตรสาวต้องแต่งงาน อนาคตบุตรชายมีอันใดบ้างที่ไม่จำเป็นต้องมีพื้นเพครอบครัวที่ขาวสะอาด เหยาจี โลกในสมัยนี้มิได้เปิดกว้างให้กับสตรีนักนะ”
อันที่จริงเรื่องที่นางพูดยังอีกไกลนัก ที่ใกล้หนอ่ยก็คือด้วยความงามและความสามารถเช่นเหยาจี ต่อให้ไปอยู่ในบ้านนอกที่ห่างไกล อย่างไรก็คงปิดไว้ไม่มิด หากยิ่งไปอยู่ในเมืองที่เจริญหน่อย หญิงสาวที่อยู่ตัวคนเดียวยิ่งใช้ชีวิตได้ยาก
เหยาจีสีหน้าครึ้มไป ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและไม่มีทางเลือก นิ้วเรียวประหนึ่งหยกลูบเบาๆ ไปบนหน้าท้อง ก่อนกัดฟันเอ่ยว่า “เรื่องพวกนี้ข้าต่างรู้ดี เพียงแต่…เพียงแต่นี่เป็นลูกของข้า…”
เยี่ยหลีนิ่งเงียบเป็นการตอบ หญิงสาวในสมัยนี้มิได้ทำแท้งกันง่ายๆ ประหนึ่งกินข้าวอย่างในชาติก่อนของนาง ถึงแม้เหยาจีจะอยู่ท่ามกลางหญิงคณิกาแต่อย่างไรก็ยังคงใจอ่อนกับบุตรของตนเอง อีกทั้งนี่ยังเป็นบุตรของนางกับคนที่นางรักอีกด้วย ด้วยนิสัยของเหยาจี การที่ยอมมอบกายให้มู่หยางคงเพราะด้วยความรักสุดหัวใจ น่าเสียดายที่ถึงแม้จะเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยเช่นนี้แต่อย่างไรก็ยังมีช่วงเวลาที่ขาดสติ
นิ่งเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเหยาจีก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “สิ่งที่พระชายากล่าว เหยาจีเข้าใจเป็นอย่างดี ขอบพระทัยพระชายาที่เป็นห่วง เพียงแต่…เรื่องของบุตรคนนี้ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องโรงละคนชิงเฉิง…”
เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ ก่อนพยักหน้า “ข้าจะซื้อโรงละครชิงเฉิงไว้เอง ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจไปแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอันใดให้มากความอีก เจ้ารักษาตัวด้วย อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนนำเงินตามกลับไปให้เจ้า”
เหยาจีเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “ขอบพระคุณพระชายาเพคะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้าน้อยๆ “รักษาตัวด้วย”
“ลาก่อน”
เมื่อส่งเหยาจีกลับไปแล้ว เยี่ยหลีนั่งใจลอยอยู่เพียงคนเดียวในโถงดอกไม้ แม้แต่ตอนที่ม่อซิวเหยาเดินเข้ามาก็ยังไม่รู้ตัว
“อาหลีกำลังคิดอันใดหรือ ใจลอยถึงเพียงนี้” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามกลั้วหัวเราะขึ้น
เยี่ยหลีส่ายหน้า พร้อมเล่าเรื่องที่นางซื้อโรงละครชิงเฉิงให้เขาฟัง แต่ยังคงปิดเรื่องที่เหยาจีตั้งครรภ์ และแน่นอนว่าม่อซิวเหยาย่อมไม่ใส่ใจว่าหญิงสาวในหอนางโลมผู้หนึ่งจะเป็นเช่นไร เพียงพยักหน้ายิ้มๆ “โรงละครชิงเฉิงเป็นสถานที่ที่ไม่เลวทีเดียว ถึงแม้ก่อนหน้านี้เฟิ่งซานมักจะใช้โรงละครชิงเฉิงเป็นที่รวบรวมข่าวสารอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็เป็นของคนอื่น เขายังคงต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหยาจีอยู่บ้าง พวกเราซื้อมาไว้ก็ย่อมได้ เพียงแต่…จะให้อยู่ภายใต้ชื่อตำหนักติ้งอ๋องคงไม่ได้”
เยี่ยหลีพยักหน้า เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดที่จะให้อยู่ใต้ชื่อตำหนักติ้งอ๋องอยู่แล้ว “อีกเดี๋ยวข้าจะให้หมิงซีไปจัดการ” ให้อยู่ใต้ชื่อฉู่จวินเหวย จะได้ไม่เป็นที่สะดุดตาและไม่ทำให้ผู้คนนึกสงสัยมากนัก หากมีคนไปสืบ ก็ย่อมสืบพบเพียงว่าฉู่จวินเหวยมีร้านค้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ และร้านที่ทำเงินมากที่สุดก็อยู่ในเมืองกว่างหลิงเท่านั้น
เรื่องเล็กๆ เช่นนี้ม่อซิวเหยาย่อมไม่ใส่ใจ เขานั่งลงข้างเยี่ยหลีก่อนถามว่า “วันนี้เยียหลี่ว์เหยี่ยลงมือกับเจ้าหรือ”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ “แค่เพียงประลองกันเล่นๆ เท่านั้น แต่องค์ชายเยียหลี่ว์ผู้นี้ช่างไม่เหมือนกับคนเป่ยหรงเอาเสียเลย”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เกิดในราชวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นเป่ยหรงหรือต้าฉู่ต่างก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแก่งแย่งชิงดีกัน ที่เขาสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ท่ามกลางพระโอรสของเป่ยหรงอ๋องนั้น เล่ห์เหลี่ยมในการวางแผนของเขาย่อมไม่ธรรมดา เพียงแต่…ที่กล้าทำเรื่องเหิมเกริมเช่นนี้ในตำหนักติ้งอ๋อง ข้าคงประเมินเขาต่ำเกินไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาเตรียมพร้อมการล่วงเกินข้าไว้แล้วหรือยัง”
เยี่ยหลีมองม่อซิวเหยาด้วยสายตาแปลกๆ แต่พอลองนึกดูก็เข้าใจความคิดของเขาโดยทันที จึงเพียงยิ้มเรียบๆ มิได้เอ่ยทัดทานอันใด
“ผู้ที่ถูกเลือกไปแต่งงานพอจะได้ตัวแล้ว มิใช่ท่านหญิงหรงหวาก็คงเป็นคุณหนูหลิ่ว แต่ข้าคิดว่าความเป็นไปได้ที่จะเป็นท่านหญิงหรงหวาดูจะสูงกว่าสักหน่อย ถึงเวลานางอาจอาละวาดขึ้นได้”
ว่าด้วยเรื่องฐานะแล้วท่านหญิงหรงหวา สูงกว่าคุณหนูหลิ่ว หากว่าด้วยเรื่องรูปลักษณ์ ท่านหญิงหรงหวาก็ถือได้ว่าเป็นหญิงงามของเมืองหลวง อีกทั้งในยามนี้ตระกูลหลิ่วเป็นประหนึ่งพระอาทิย์ในยามกลางวัน เกรงว่าคงไม่คิดอยากแต่งบุตรสาวสายหลักออกไป ต่อให้จะได้เป็นชายาแห่งองค์รัชทายาท แต่นั่นก็เป็นฮ่องเต้ที่อยู่ห่างไกลออกไป อย่างไรก็คงมิได้มีอำนาจที่จะช่วยอันใดตระกูลหลิ่วได้ ยามนี้สิ่งที่ตระกูลหลิ่วต้องการเกรงว่าน่าจะเป็นการแต่งงานกับตระกูลชนชั้นสูงเสียมากกว่า ส่วนท่านหญิงหรงหวานั้น จะว่าไปก็เป็นบุตรสาวที่รักขององค์หญิงเจาเหริน แต่เช่นนั้นแล้วอย่างไร การแต่งงานขององค์หญิงเจาเหรินยังมิอาจตัดสินใจเองได้ นับประสาอันใดกับบุตรสาวคนหนึ่งของนาง
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “พวกนางอยากอาละวาดอย่างไรก็ปล่อยไปเถิด เจ้าไม่ต้องไปสนใจ หากจัดการไม่ได้จริงๆ ก็ผลักให้เป็นภาระของท่านนั้นในวังเขา หากนึกรำคาญใจขึ้นมาจะไปหาเสด็จป้าก็ยังได้ พวกเราออกไปอยู่นอกเมืองหลวงกันสักสามสี่วันก็ยังได้”
เยี่ยหลีนึกถึงยอดฝีมือที่ถูกตนจับโยนลงไปหุบเขานั้นขึ้นมา จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ดีเลย อีกไม่กี่วันข้าต้องออกนอกเมืองไปจัดการธุระสักหน่อยพอดี”