ด้วยเพราะเยียหลี่ว์เหยี่ยยอมรับคำแนะนำของเยี่ยหลีไปลอบตรวจสอบคุณหนูที่อยู่ในรายชื่อ ดังนั้น เยี่ยหลีจึงผลักเรื่องนี้ออกไปจากสมอง มิได้ไปนึกสนใจอีก
สองวันหลังจากที่คณะทูตรับตัวเจ้าสาวของเป่ยหรงมาถึงต้าฉู่ ก็มีข่าวเรื่องผลการคัดเลือกเจ้าสาวของเยียหลี่ว์เหยี่ยแพร่ออกไป องค์หญิงคนที่ได้รับคัดเลือกก็คือท่านหญิงหรงหวาตามที่คาดไว้ ไม่ว่าด้วยฐานะ อายุ หรือลักษณะนิสัย อย่างไรท่านหญิงหรงหวาก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ถึงแม้ในวันนั้นองค์หญิงเจาเหรินจะได้เข้าวังเพื่อไปขอร้องฮ่องเต้ แต่ไม่รู้ว่าม่อจิ่งฉีพูดอันใดกับนาง สุดท้ายองค์หญิงเจาเหรินจึงกลับออกจากวังหลวงด้วยสภาพขวัญหนีดีฝ่อและมิได้พูดอันใดถึงเรื่องนี้อีก
เมื่อถึงเวลา ท่านหญิงหรงหวาอาละวาดจนเมืองหลวงเกือบเละไปหมด ในสายตาของท่านหญิงหรงหวาแล้ว เยี่ยหลีซึ่งเป็นคนที่ทำให้นางต้องแต่งงานไปกับคนต่างแคว้น ย่อมไม่อาจพ้นผิดเรื่องนี้ไปได้ น่าเสียดายที่ตำหนักติ้งอ๋องมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา มิใช่สถานที่ที่นึกอยากเข้าก็เข้าได้ อีกทั้งในยามนั้นเยี่ยหลีก็ได้ออกไปพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักขององค์หญิงซีฝูแล้วด้วย
ถึงแม้องค์หญิงซีฝูจะมีชันษาได้เจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แต่อาจด้วยเพราะปกติพระองค์รักษาพระวรกายและจิตใจเป็นอย่างดี ทำให้ยังมีกำลังวังชากระปี้กระเป่าอยู่ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ได้พบพระองค์แล้วจึงดูไม่ต่างกันมากนัก เมื่อเห็นเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเดินเคียงคู่กันมา จึงยิ้มรับอย่างยินดี
การต้อนรับอย่างยินดีขององค์หญิง ทำให้เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาต่างรู้สึกละอายใจ ช่วงเวลากว่าหนึ่งปีมานี้ แรกเริ่มเดิมทีด้วยเพราะสุขภาพร่างกายของม่อซิวเหยา ต่อมาก็เป็นเยี่ยหลีที่ออกไปอยู่นอกเมืองเป็นเวลานาน ทั้งสองจึงมิได้ออกมาเยี่ยมเยียนองค์หญิงเลยแม้สักครั้ง แต่กลายเป็นผู้อาวุโสท่านนี้ที่ไม่ลืมส่งของมาให้พวกเขาอยู่ทุกเทศกาล ถึงแม้จะมิใช่ของที่มีค่าอันใด แต่ก็เป็นของที่แสดงถึงน้ำใจและความรักใคร่ของผู้อาวุโสท่านนี้
องค์หญิงดึงเยี่ยหลีให้ไปนั่งตรงหน้าตน เหลือบมองม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่ ก่อนไล่เขาออกไป บอกว่ามีเรื่องอยากสนทนากับเยี่ยหลีเป็นการส่วนตัว ม่อซิวเหยาจึงได้แต่หมุนตัวเดินออกไปด้วยสีหน้าประหนึ่งอยากร้องไห้
เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเดินออกไปแล้ว องค์หญิงจับมือเยี่ยหลีพร้อมส่งยิ้มให้นาง จู่ๆ เยี่ยหลีก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพียงรู้สึกว่าสายตาองค์หญิงที่มองมาทำให้นางขนลุกซู่ “เสด็จป้า…”
องค์หญิงมองเยี่ยหลีอย่างใจดี เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าว่าเจ้าดูซูบผอมไปกว่าเมื่อปีก่อนไม่น้อย เจ้าเด็กซิวเหยานั่นก็ไม่รู้จักดูแลสะใภ้ให้ดีเสียเลย เหตุใดถึงให้เจ้าที่เป็นหญิงสาวเดินทางดั้นด้นไปถึงหนานเจียงคนเดียวได้”
เยี่ยหลีก้มหน้าลง รู้สึกละอายใจเล็กน้อย เดิมทีเป็นนางเองที่ดื้อดึงจะไปหนานเจียง แต่ความผิดกลับไปตกอยู่ที่ม่อซิวเหยาเสียได้
องค์หญิงมองหน้านาง ก่อนพยักหน้าด้วยความพอใจ “เรื่องของเจ้าที่หนานเจียงและหย่งโจวนั้น ข้าได้ยินมาหมดแล้ว ช่างเป็นเด็กดีสมกับเป็นลูกหลานที่ใต้เท้าสวีอบรบเลี้ยงดูมาเสียจริง ครานี้เมืองหย่งหลินโชคดีที่มีเจ้าอยู่ เจ้าเด็กจิ่งหลีนั่นทำตัวเหลวไหลเกินไปจริงๆ ข้าเองก็อายุมากแล้วคงจัดการอันใดเขาไม่ได้ มีเจ้าคอยช่วยซิวเหยา ก็คงช่วยเบาแรงเขาได้มาก ผู้เป็นชายในตำหนักติ้งอ๋องต้องแบกภาระอันหนักอึ้งกันมาตั้งแต่กำเนิด มาถึงคราซิวเหยาก็ยิ่งลำบากหนักขึ้นไปอีก โชคดีที่มีเจ้าอยู่ด้วย”
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้วเพคะ”
องค์หญิงส่ายหน้า “อย่าว่าแต่คุณหนูในเมืองหลวงทั้งหลายเลย ต่อให้เป็นพระชายาติ้งอ๋องทุกรุ่นในประวัติศาสตร์ ก็มิมีผู้ใดทำหน้าที่ได้ดีกว่าเจ้า เพียงแต่…”
เยี่ยหลีมององค์หญิงด้วยความสงสัย
องค์หญิงอมยิ้มมองนางก่อนเอ่ยว่า “อายุอานามของซิวเหยาก็ไม่น้อยแล้ว พวกเจ้าคิดถึงเรื่องทายาทของตำหนักติ้งอ๋องกันบ้างหรือไม่ ยามนี้ตำหนักอ๋องทั้งหลายในเมืองหลวงต่างก็มีทายาทกันหมดแล้ว เหลือเพียงตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้นที่ยังไม่มี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเยี่ยหลีก็ซับสีเลือดขึ้นทันที รู้สึกมีอันใดมาจุกที่คอ ได้แต่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังขององค์หญิงอยู่เป็นนานอย่างพูดไม่ออก
องค์หญิงมองนางอย่างล้อเลียน ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เรื่องคลอดบุตรนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่งงานมาตั้งปีกว่าแล้วจะมาเขินอายอันใดอีก”
เยี่ยหลีรู้สึกละอายใจยิ่งนัก นี่นางอยู่ในยุคนี้นานเกินไปจนกลายเป็นคนหัวโบราณไปแล้วหรือ เพียงแต่เรื่องบุตรนี้…นางมิเคยคิดถึงมาก่อนเลยจริงๆ ด้วยเพราะหนึ่ง ร่างกายของนางในยามนี้อายุเพียงสิบหกปี สอง สถานการณ์ในยามนี้ก็ไม่เหมาะกับการมีบุตรเอาเสียเลย แต่นางก็มิอาจเอ่ยปากบอกองค์หญิงออกไปตรงๆ ได้ว่านางไม่อยากมีบุตร จึงทำได้เพียงขอให้ผ่านไปอย่างขอไปทีเท่านั้น
องค์หญิงคิดเพียงว่านางคงเขินอาย จึงเพียงเอ่ยปากเตือนอีกเล็กน้อยไม่กี่ประโยคก็ปล่อยผ่านไป แต่นึกวางแผนในใจว่าอีกเดี๋ยวนางจะต้องไปเอ่ยเตือนม่อซิวเหยาด้วยอีกคน
เมื่อเยี่ยหลีเห็นว่าองค์หญิงมิได้เอ่ยถามถึงเรื่องนี้แล้ว ถึงกับลอบโล่งอก รีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปยังเรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ ในเมืองหลวงแทน
ม่อซิวเหยามาพักอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยหลีเพียงสองวันก็กลับเมืองหลวงไป คณะทูตรับตัวเจ้าสาวจากเป่ยหรงมาถึงเมืองหลวงกันพร้อมแล้ว ตัวเขาที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบงานแต่งงานในครานี้จึงมิอาจหลบหน้าไม่พบแขกเหรื่อเหล่านั้นได้
ในแต่ละวัน นอกจากเยี่ยหลีจะไปนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนกับองค์หญิงแล้ว เวลาที่เหลือก็หมดไปกับหุบเขาลึกของภูเขาเฮยเฟิง
ถึงแม้องค์หญิงจะรู้ว่าเยี่ยหลีออกไปไหนมาไหนทุกวัน แต่ก็มิได้เอ่ยถามว่านางไปที่ใดมา เมื่อมีองค์หญิงคอยปกปิดให้เช่นนี้ เยี่ยหลีจึงไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระมากยิ่งขึ้น
ช่วงเวลาที่หายไปกว่าครึ่งเดือน เมื่อเยี่ยหลีกลับไปยังหุบเขานั้นอีกครั้ง ก็เห็นบรรดายอดฝีมือทั้งหลายกำลังอาบเหงื่อต่างน้ำกันอยู่ที่ลานฝึก นางจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนสามารถพัฒนามาได้ถึงเพียงนี้ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว ด้วยเพราะเวลากระชั้นชิดเกินไป มิเช่นนั้นอย่างน้อยพวกเขาควรฝึกเรื่องสมรรถภาพร่างกายก่อนสองเดือน ค่อยไปฝึกด้านอื่นต่อ
นายทหารที่ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่นดิน เมื่อเห็นคุณชายฉู่ปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้าเช่นทุกครั้งก็ต่างลอบปาดเหงื่อกันในใจ คุณชายฉู่ท่านนี้มีฐานะเช่นไรพวกเขาไม่รู้ แต่ฐานะของฉินเฟิงนั้นพวกเขาต่างรู้ดี ที่เขาสามารถนำตัวฉินเฟิงมาเป็นองครักษ์ข้างกายได้ ฐานะย่อมมิใช่ธรรมดา
แต่นั้นมิใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือพวกเขาเคยพบหน้าคุณชายฉู่เพียงสองครา แต่ทุกครากลับสร้างความประทับใจมิรู้ลืมให้แก่พวกเขาทุกคราไป คราแรกที่พบหน้า คุณชายท่านนี้ทำลายความมั่นใจของพวกเขาทุกคนอย่างไม่ไยดี จากนั้นก็คอยมองพวกเขาวิ่งล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คราที่สองคุณชายฉู่สำแดงฝีมือจนพวกเขาทุกคนถึงกับอึ้งไป จากนั้นก็ทิ้งภารกิจที่ทำให้ครึ่งเดือนมานี้ของพวกเขาต้องเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แล้วครานี้ คุณชายฉู่จะมีอันใดมาให้พวกเขาอีกหรือ
“ทุกท่าน ถึงแม้จะไม่ได้พบกันครึ่งเดือน แต่การฝึกของพวกเจ้าฉินเฟิงได้รายงานให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้าพอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…พวกเจ้าทุกคนเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับการฝึกเช่นนี้ และไม่มีผู้ใดไม่ผ่านเกณฑ์เลย เพียงแต่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการฝึกสมรรถภาพร่างกายขั้นพื้นฐานเท่านั้น ที่ไม่มีคนไม่ผ่านเกณฑ์ก็บอกได้เพียงว่าสมรรถภาพร่างกายและความสามารถของพวกเจ้าทุกคนไม่เลว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะเริ่มการฝึกที่เข้มข้นกว่านี้ แน่นอนว่า การฝึกสรรถภาพร่างกายที่เคยทำอยู่เดิมก็ยังคงต้องทำต่อไป”
นายทหารทุกคนอดไม่ได้ที่จะร้องโอดครวญในใจ เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องแบ่งสรรเวลาจากการฝึกเดิมที่ก็แสนจะทรหดอยู่แล้วมาเรียนรู้สิ่งใหม่อื่นๆ อีก
ดูเหมือนการฝึกกว่าครึ่งเดือนมานี้จะได้ผลไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยนายทหารที่มาจากต่างกองทัพต่างหน่วยกันนี้ ยามนี้ต่างมีวินัยกันไม่เลวทีเดียว ถึงแม้ในใจจะนึกโอดครวญแต่สีหน้ายังคงเคร่งขรึมเป็นปกติ
เยี่ยหลีลอบพยักหน้าในใจด้วยความพอใจ “คนที่ข้าเรียกชื่อก้าวออกมาข้างหน้า”
นางก้มหน้าลงพร้อมคลี่ม้วนกระดาษในมือออกอ่านรายชื่อคนเจ็ดแปดคน ผู้ที่ถูกเรียกชื่อค่อยๆ ก้าวออกมาพร้อมเดินออกไปตั้งแถวใหม่ คนเหล่านี้ต่างเป็นคนที่มีฝีมือติดตัวซ้ำยังเป็นคนที่มีความรู้ค่อนข้างดีอย่างไม่ต้องสงสัย
เยี่ยหลีหันมองคนที่ฉินเฟิงเลือกออกมา ก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าไปรอข้าที่ลานฝึกที่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้สิบลี้”
ทุกคนที่ถูกเลือกออกมาต่างมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หนึ่งในนั้นเดินขึ้นหน้าออกมาเอ่ยถามว่า “คุณชายฉู่ ข้าขอถามว่าพวกเราต้องไปทำอันใดหรือขอรับ เหตุใดถึงไม่ฝึกซ้อมร่วมกับทุกคนหรือขอรับ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เพราะข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าจำเป็นต้องฝึกในแบบที่ต่างออกไปอย่างไร แน่นอนว่า…อย่างไรก็ควรสอบถามความเห็นของพวกเจ้าก่อน กลัวตายหรือ”
ทหารทั้งหลายต่างรู้สึกเหมือนโดนดูถูก จึงต่างถลึงตามองจ้องเยี่ยหลี “กลัวตายก็มิใช่กองทัพตระกูลม่อ!”
“พวกคนใจเสาะเท่านั้นที่กลัวตาย!”
“พวกข้าไม่กลัวตาย เพียงแต่พวกข้าอยากรู้ว่าพวกข้าต้องไปทำอันใด! อย่างน้อยพวกข้าก็ไม่อยากตายโดยไม่รู้อันใดขอรับ”
เยี่ยหลีมิได้โกรธ เพียงยิ้มพร้อมพยักหน้า “ดีมาก ข้าชื่นชอบคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง เพียงแต่ยามนี้…สิ่งแรกที่พวกเจ้าต้องทำคือการเชื่อฟังคำสั่ง สิ่งที่สองคือน้อมรับ อย่างที่สามคือ…ทำตามอย่างไม่ต้องสงสัย! เข้าใจหรือไม่”
น้ำเสียงที่ดุดันของเยี่ยหลีทำให้ทุกคนต่างอึ้งไป ในลานฝึกเงียบลงทันที ไม่ว่าผู้ที่ถูกเลือกหรือทหารคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ต่างไม่มีการถกเถียงใดๆ อีก ต่างเอ่ยตอบรับด้วยความพร้อมเพียงว่า “เข้าใจขอรับ!”
“ดีมาก เช่นนั้น ยามนี้ออกวิ่ง หนึ่งเค่อ”
ผู้ที่ถูกเลือกต่างหมุนตัวออกวิ่งไปจากลานฝึกอย่างไม่ลังเล ก่อนวิ่งหายลึกเข้าไปในป่าทึบ