หลังจากนั้นสองสามวัน เยี่ยหลีมาคอยชี้แนะกลุ่มคนที่ได้รับคัดเลือกมาบนหุบเขาเฮยอวิ๋นด้วยตนเองทุกวัน ฉินเฟิงที่ติดตามนางอยู่ตลอดเวลาก็ได้ประโยชน์ไปไม่น้อย ในใจนึกนับถือในความสามารถของเยี่ยหลีมากขึ้นเรื่อยๆ ฉินเฟิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่า พระชายาที่เป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบกว่าปีผู้นี้ เหตุใดถึงได้มีวิชาความรู้ที่แม้แต่คนอย่างพวกเขายังไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉินเฟิงที่ชื่นชมว่าตนเองเป็นคนฉลาด แต่กลับมิอาจไม่ยอมรับว่า หากคิดอยากจะเรียนรู้วิชาทั้งหมดจากพระชายาให้ถ่องแท้ เกรงว่าอย่างน้อยเขาคงต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบหรือยี่สิบปีเลยทีเดียว
สำหรับนายทหารที่ได้รับคัดเลือกออกมาแยกฝึกเป็นสายลับ เยี่ยหลียังคงให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจและความนึกคิดของพวกเขาเช่นเดิม ดังนั้นในขณะที่ฝึกสอนพวกเขานั้น นางยังได้นำเรื่องภารกิจพิเศษอันแปลกประหลาดที่เล่าลือกันในชาติก่อนของนาง นำมาดัดแปลงและเล่าให้พวกเขาฟังอีกด้วย ถึงแม้จะมิได้มีชื่อแซ่ที่แน่ชัดว่าคือผู้ใด แต่ก็ทำให้คนที่ฉลาดหลักแหลมเหล่านี้เข้าใจถึงความสำคัญของภารกิจที่พวกเขาต้องแบกรับในอนาคตได้เป็นอย่างดี และการเป็นคนสอดแนม…สายลับมิได้เป็นหน้าที่ที่ไร้ประโยชน์อย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้ เพราะบางครั้งอาจถึงขั้นเป็นคนตัดสินแพ้ชนะของสงครามได้เลยทีเดียว ดังนั้นความรู้สึกผิดหวังและความไม่พอใจลึกๆ ที่เคยมี จึงถูกความรู้แปลกใหม่และทักษะสารพัดอย่างที่เยี่ยหลีนำมาสอน ฝังกลบลงไปจนมิด
“พระชายา ท่านมีแผนสำหรับคนเหล่านี้แล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฉินเฟิงที่ติดตามอยู่ข้างกายเยี่ยหลี มองดูเยี่ยหลีก้มลงอ่านหนังสือ เอ่ยถามด้วยความสงสัย
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนเอ่ยว่า “ที่พวกเขาทำอยู่ในยามนี้ก็เป็นเพียงการได้ลงมือปฏิบัติเท่านั้น ถึงเวลาจริงจะใช้การได้มากน้อยเพียงใดข้าก็มิอาจแน่ใจ การฝึกสายลับที่ได้มาตรฐานยากลำบากกว่าการฝึกทหารที่มีฝีมือเป็นเลิศมากนัก เวลาที่ต้องใช้ก็มากกว่า อีกอย่างด้านนี้ข้าเองก็ไม่ค่อยถนัดนัก”
ฉินเฟิ่งเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าน้อยดูไม่ออกเลยพ่ะย่ะค่ะว่าพระชายาไม่ถนัด เรื่องที่พระชายาสอนพวกเขาหลายวันนี้ข้าน้อยก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ล้วนเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่แคยแม้แต่จะนึกถึง ข้าน้อยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพระชายาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร”
เยี่ยหลีเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ”
ฉินเฟิงอึ้งไป ย่นคอพร้อมส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ข้าน้อยเพียงล้อเล่นเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ตระกูลสวีเป็นตระกูลบัณฑิตมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตระกูลที่โด่งดังจากลัทธิขงจื้อ จะมีสตรีที่มีพรสวรรค์อย่างพระชายาเกิดขึ้นสักคนหนึ่งก็คงไม่แปลกอันใดกระมัง
ฉินเฟิงเหลือบมองม้วนกระดาษที่วางทับกันอยู่บนโต๊ะเป็นตั้ง แล้วจึงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พระชายา หากต้องการฝึกสายลับจริงๆ เหตุใดถึงเลือกเพียงผู้ชาย ไม่เลือกผู้หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ เพราะถึงอย่างไรผู้หญิงก็ดูน่าสงสัยน้อยกว่าผู้ชายนะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีปรายตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้หรือ จะไปหาหญิงสาวที่เหมาะสมได้ง่ายๆ ที่ใดกัน ผู้หญิงไม่เหมือนกับผู้ชาย หากเป็นผู้ชายที่มีรูปลักษณ์และความรู้ความสามารถทั่วๆ ไป ก็ไม่เป็นไรหรอก จะยิ่งไม่ทำให้คนนึกสงสัย แต่หากเป็นผู้หญิง กลับต้องได้คนที่มีความสามารถและรูปลักษณ์ที่โดดเด่น มิเช่นนั้นแล้วหากแม้แต่ข้างกายศัตรูยังเข้าไม่ถึง เช่นนั้นเรื่องอื่นก็คงไม่ต้องพูดกันแล้ว”
ฉินเฟิงพยักหน้า “พระชายากล่าวถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ต่อไปส่วนนี้คงต้องให้เจ้ามาคอยดูแล เจ้าคอยดูหน่อยก็แล้วกันว่ามีตัวเลือกที่เหมาะสมอีกหรือไม่ ส่วนทหารเหล่านั้น อีกสองวันข้าก็จะต้องกลับเมืองหลวงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นของที่พวกเขาต้องเรียนรู้ เจ้าลองดูหน่อย ไว้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จนหมดแล้ว ข้าจะเชิญผู้ฝึกสอนท่านอื่นมาคอยชี้แนะเรื่องอื่นให้พวกเขาต่อ ข้าสามารถส่งคนไปเรียนยังสำนึกศึกษาหลีซานได้สองคน ไว้รอพวกเขาฝึกจนเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าเลือกสองคนมาส่งไปก็แล้วกัน”
ฉินเฟิงอึ้งไป สำนักศึกษาหลีซานเป็นสำนักศึกษาที่บรรดาคุณชายชนชั้นสูงต่างเบียดแย่งกันเข้าไปแต่ก็ใช่ว่าจะเข้าไปได้ นับประสาอันใดกับพวกเขาที่เป็นเพียงนายทหารที่พื้นเพครอบครัวก็ไม่ได้ดีเด่อันใด ไม่ว่าพระชายาคิดอยากทำอันใด การเข้าไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาหลีซานถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง
“ขอบพระทัยพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีโบกมือ “ขอบคุณน่ะไม่ต้องหรอก พยายามเลือกคนที่อายุน้อยหน่อยก็แล้วกัน อีกอย่างหากพวกเขาสอบเข้าสำนักศึกษาหลีซานไม่ได้ ก็ถือว่าเสียเปล่า”
ฉินเฟิงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นายทหารเหล่านี้ล้วนเคยได้ร่ำเรียนหนังสือมาบ้าง ต่างกับนายทหารที่ดิบเถื่อนเหล่านั้นไม่น้อย ข้าน้อยรับรู้แล้ว ความเมตตาในครานี้ของพระชายา พวกเขาจะต้องทุ่มเทเต็มกำลังเพื่อสอบให้ได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ ในขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากสั่งการต่อนั้น ที่ด้านนอกประตูก็มีเสียงตะโกนแหลมดังขึ้น “เยี่ยหลี เจ้าไสหัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
ฉินเฟิ่งขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ผู้ใดกันที่ใจกล้ามาเอะอะโวยวายถึงตำหนักองค์หญิงเช่นนี้”
เยี่ยหลีเพียงได้ยินเสียงร้องตะโกนเรียกก็รู้ทันทีว่าคือผู้ใด เพียงยิ้มเรื่อยๆ แล้วกล่าวว่า “ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว นางเพิ่งมาเอะอะโวยวายก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว เพียงแต่เกรงว่ายามนี้ทุกคนคงยอมอ่อนให้นาง อยากโวยวายก็ให้โวยวายสักหน่อยเป็นไร สั่งการลงไป ให้พานางเข้ามา อย่าให้รบกวนการพักผ่อนของเสด็จป้าเลย”
“ท่านหญิงหรงหวาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ต้องเรียกว่าองค์หญิงหรงหวา” เยี่ยหลีเอ่ยเก้ไข ถึงแม้ตัวนางจะมิได้อยู่ในเมืองหลวง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง จะถูกส่งมาหานางเป็นประจำทุกวัน ฮ่องเต้แต่งตั้งท่านหญิงหรงหวาขึ้นเป็นองค์หญิงหรงหวาและส่งนางไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ยังแคว้นเป่ยหรง
หลายวันมานี้ตำหนักองค์หญิงเจาเหรินเรียกได้ว่าอาละวาดกันจนสะเทือนไปถึงสวรรค์เลยทีเดียว เดิมทีท่านหญิงหรงหวายังคิดว่าเสด็จแม่และเสด็จป้าของนางจะสามารถช่วยเหลือนางได้ จนเมื่อรู้ว่าเสด็จแม่ของตนไม่สามารถช่วยอันใดได้ จึงเริ่มอาละวาดเสียยกใหญ่จนถึงขั้นอดอาหารเลยทีเดียว ทำให้องค์หญิงเจาเหรินนึกเป็นกังวลจนผมแทบจะขาวไปทั้งศีรษะ เพียงแต่ไม่ว่าท่านหญิงหรงหวาจะอาละวาดอย่างไร จะสามารถเอาชนะพระราชโองการของฮ่องเต้ได้หรือ
นางถูกนางกำนัลที่ส่งตัวมาจากในวัง จับตัวไว้ให้เรียนรู้พิธีการต่างๆ ในวังทุกวัน ท่านหญิงหรงหวาเดิมก็เกิดเป็นราชนิกุลอยู่แล้ว ถึงแม้ธรรมเนียมต่างๆ จะมิได้เคร่งครัดอย่างองค์หญิงที่อยู่ในวัง แต่ก็มิได้ย่ำแย่เสียจนต้องรับโทษ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้นางจึงหนีออกมาอาละวาดถึงที่นี่ได้
เมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่ด้านนอก เยี่ยหลีจึงวางพู่กันในมือลงก่อนเดินออกไป เพียงออกจาประตูมาก็เห็นท่านหญิงหรงหวาเดินนำคนกลุ่มใหญ่เข้ามา เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินออกมา แววตานางก็เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นและโกรธเกลียด “เยี่ยหลีนังคนสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เมื่อเห็นเยี่ยหลี ท่านหญิงหรงหวาก็ทำประหนึ่งเจอศัตรูคู่อาฆาตกันมาหลายชาติ พุ่งตัวเข้าใส่อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทันที
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉินเฟิงที่เดินตามเยี่ยหลีออกมารีบก้าวขึ้นมา กันท่านหญิงหรงหวาให้อยู่ห่างจากเยี่ยหลีประมาณสองก้าว ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์หญิง ได้โปรดนึกถึงฐานะท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำเรียกขานตนเช่นนี้ ใบหน้าเรียวของท่านหญิงหรงหวาก็บิดเบี้ยวขึ้นทันที เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “หุบปาก ข้าต้องให้บ่าวไพร่อย่างเจ้ามาสั่งสอนหรือ”
ฉินเฟิงเลิกคิ้วเรียบๆ ก่อนเอ่ยว่า “ขอประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ข้าน้อยเป็นบ่าวของตำหนักติ้งอ๋อง มิใช่บ่าวของท่าน”
“เจ้า…เจ้า…” ท่านหญิงหรงหวาโอหังจนเคย ทั้งจิตใจยังเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจึงไม่คิดว่าคนของตำหนักติ้งอ๋องจะกล้าเสียมารยาทกับตนเช่นนี้ จึงโกรธจนพูดไม่ออกอยู่เป็นนาน บ่าวที่ตามนางมาด้วยตั้งสติได้ก่อนจึงรีบเข้ามาเอ่ยปลอบเป็นการใหญ่
ท่านหญิงหรงหวารำคาญเสียงที่ดังระงมอยู่ข้างหูจนทนไม่ไหว หันไปตบหน้าคนที่ยืนอยู่ใกล้โดยแรง “หุบปากเดี๋ยวนี้!” ภายในเรือนเงียบสงัดลงทันใด สาวใช้ข้างกายของท่านหญิงหรงหวาเงียบกริบไม่กล้าเอ่ยอันใดให้ผู้เป็นนายโกรธอีก
เยี่ยหลีโบกมือพร้อมหันไปพูดกับฉินเฟิงว่า “ฉินเฟิง เจ้าไปจัดการธุระก่อนเถิด”
ฉินเฟิงขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย “พระชายา เกรงว่าจะไม่เหมาะ…”
เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ “ไม่ต้องกังวลไป ท่านหญิงหรงหวาไม่ทำอันใดข้าหรอก”
ถึงแม้จะไม่วางใจองค์หญิงหรงหวาที่ดูเสียสติผู้นั้น แต่ฉินเฟิงก็เลือกที่จะเชื่อใจพระชายา เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเรือนขององค์หญิง ต่อให้ท่านหญิงหรงหวาคิดอยากทำอันใดจริงก็คงไม่ง่ายเช่นนั้น หากคิดจะลงมือ ฉินเฟิงก็มิกล้าบอกว่านางจะสามารถเอาชนะพระชายาได้ ต่อให้มีองค์หญิงหรงหวาอีกสิบคนก็คงยังไม่สามารถทำอันใดพระชายาได้อยู่ดี
จนเมื่อฉินเฟิงขอตัวออกไปแล้ว เยี่ยหลีถึงได้หันมาส่งยิ้มให้ท่านหญิงหรงหวา “องค์หญิงเชิญด้านในเถิด”
เมื่อเห็นท่าทางเป็นมิตรเช่นนี้ ท่านหญิงหรงหวาก็ถึงกับไปไม่ถูก จ้องมองนางด้วยความระแวดระวัง “เจ้ามีแผนร้ายอันใดกันแน่”
เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ “ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่มีทางวางแผนทำร้ายอันใดกับท่านหรอก วางแผนทำร้ายองค์หญิงที่กำลังจะไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ ข้าทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ”
“เจ้า!” ท่านหญิงหรงหวาโกรธจนหน้าแดง
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “องค์หญิงนั่งลงพูดคุยกันเถิด”
ในที่สุดท่านหญิงหรงหวาก็เดินเข้าไปนั่งด้านในโถงดอกไม้อย่างว่าง่าย แต่ดวงตากลมโตคู่นั้น ก็มิวายจ้องมองเยี่ยหลีอย่างไม่เกรงใจ