ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 123-1 จิตใจยากจะสงบ

 

 

ด้านหน้าประตูวัง ท่านหญิงหรงหวาอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงสดลายหงส์ล้อดอกโบตั๋น นางกำลังเอ่ยลากับไทเฮา ฮ่องเต้ ฮองเฮา กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนางด้วยน้ำตาคลอหน่วย องค์หญิงเจาเหรินที่เย่อหยิ่งเหลือคณาในอดีต เมื่อถึงคราต้องส่งบุตรสาวเพียงคนเดียวไปแต่งงานยังเป่ยหรง ก็ยังอดเสียน้ำตาไม่ได้ ได้แต่มองบุตรสาวที่กำลังจะต้องพรากจากกันไปไกลโดยพูดอันใดไม่ออก เมื่อไทเฮา ฮ่องเต้และฮองเฮาออกมาส่งองค์หญิงด้วยองค์เองเช่นนี้ ต่อให้นางเป็นมารดาแท้ๆ ก็มิอาจดึงรั้งท่านหญิงหรงหวาไว้ได้นานนัก

 

 

เมื่อท่านหญิงหรงหวาทำความเคารพลาไทเฮา ฮ่องเต้ ฮองเฮา กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาวใช้ข้างกายที่พาติดตัวไปด้วยยามแต่งงาน ก็เข้ามาประคองนางให้ออกเดินไปยังรถม้าทันที ก่อนขึ้นรถม้า นางหันมองไปทางเยี่ยหลีทีหนึ่ง เยี่ยหลีผงกศีรษะพร้อมยิ้มบางๆ ให้นาง ท่านหญิงหรงหวาหลุบตาลงแล้วจึงระบายยิ้มบางๆ ก่อนหมุนตัวก้าวขึ้นรถม้าไปอย่างเด็ดเดี่ยว

 

 

บนรถม้าที่ตกแต่งอย่างงดงามหรูหรา ผ้าม่านที่ปักลวดลายดอกโบตั๋นแสดงถึงฐานะขององค์หญิงอันสูงส่งค่อยๆ ทิ้งตัวลง ปิดบังใบหน้าและรูปร่างที่งดงามของท่านหญิงหรงหวา จากนี้ไป นางจะต้องทำหน้าที่ขององค์หญิงแห่งต้าฉู่ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ยังต่างแคว้น บางทีนับแต่นี้ไปนางอาจไม่มีโอกาสได้กลับมาพบหน้าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ของนางอีกเลย…

 

 

“อาหลี ข้าไปแล้วนะ เจ้าอยู่ในเมืองหลวงก็ระวังตัวด้วย” ม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลี เอ่ยสั่งลาขึ้นเบาๆ

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มในชุดสีฟ้าปักลายมังกรประจำตัวชินอ๋อง เขาผู้ซึ่งสง่างามโดดเด่นกว่าผู้ใดทั้งสิ้น นางพยักหน้าเล็กน้อย “ข้ารู้แล้ว ท่านเองก็ระวังตัวด้วย แล้วรีบกลับมาในเร็ววันนะ”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้าจะระวัง อาหลีอยู่เมืองหลวงคนเดียว…”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยขัดเขาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าจะดูแลตำหนักติ้งอ๋องให้ดี รอท่านกลับมา”

 

 

ม่อซิวเหยาอึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอเพียงอาหลีปลอดภัย ซิวเหยาก็ยินดีมากแล้ว”

 

 

บ่าวตามขบวนที่เมื่อครู่เดินเข้ามาเร่งให้ออกเดินทางด้วยความระมัดระวัง นึกลอบพึมพำในใจว่า ที่ผู้คนต่างว่ากันว่าท่านอ๋องและพระชายามีใจรักใคร่กันนักนั้น ดูท่ายามนี้คงจะไม่อยากแยกจากกันจริงๆ เสียแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว ผละออกจากอ้อมกอดของม่อซิวเหยา ก่อนผินหน้าหันไปพูดกับหลินหานว่า “หลินหาน ฝากความปลอดภัยของท่านอ๋องไว้ที่เจ้าด้วย”

 

 

หลินหานพยักหน้า เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “พระชายาได้โปรดวางพระทัย ข้าน้อยจะไม่ทำลายความไว้ใจของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยกับม่อซิวเหยาว่ารักษาตัวด้วย ก่อนถอยกลับเข้าไปยังกลุ่มคนที่มาส่ง

 

 

ม่อซิวเหยาหันมองนางอีกครั้ง ก่อนกระโดดขึ้นหลังม้าสีขาวที่ตนจูงอยู่ พร้อมบังคับให้ม้าออกวิ่งเหยาะๆ ตามขบวนที่เริ่มออกเดินทางไปแล้วไป

 

 

จนเมื่อคณะรับตัวเจ้าสาวเดินห่างไกลออกไป ในที่สุดองค์หญิงเจาเหรินก็ร้องไห้จนร่างอ่อนระทวยลงกับพื้น องค์หญิงเจาหยางสั่งให้คนมาพยุงตัวนางกลับตำหนักองค์หญิงไป ฮ่องเต้และฮองเฮาก็กลับวังไปพร้อมไทเฮาด้วยเช่นกัน หน้าประตูวังที่ก่อนหน้านี้จ๊อกแจ๊กจอแจก็เงียบลงในทันที

 

 

เยี่ยหลียืนอยู่ที่เดิมมองตามทางที่ม่อซิวเหยาลับหายไปโดยมิได้พูดอันใด

 

 

“พระชายา ท่านอ๋องออกจากเมืองไปแล้ว พวกเราควรกลับกันได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อเดินเข้ามาหาเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยเสียงเบาขึ้น

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “กลับกันเถิด” เมื่อจู่ๆ ม่อซิวเหยาไม่อยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้ นางจึงอดรู้สึกเปล่าเปลี่ยวขึ้นมาไม่ได้

 

 

เมื่อติ้งอ๋องไม่อยู่ในเมืองหลวง ตำหนักติ้งอ๋องยังคงปิดประตูไม่ต้อนรับแขกเช่นเคย แต่มีเพียงคนในตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้นที่รู้ว่า ภายในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงสิบวันนั้น ตำหนักติ้งอ๋องถูกคนลอบโจมตีมากกว่าหลายปีที่ผ่านมารวมกันหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

 

 

กลางดึกคืนหนึ่ง เมื่อการลอบโจมตีอีกระลอกสงบลง เยี่ยหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ชายคาเรือน พร้อมมองชายชุดสีดำที่คุกเข่าหน้าซีดอยู่ที่พื้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย ด้านข้างมีจั๋วจิ้ง ฉินเฟิง หัวหน้าพ่อบ้านม่อ เฟิ่งจือเหยา ม่อหวาและจางฉี่หลันที่มารักษาการณ์เฉพาะกิจอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องยามที่ติ้งอ๋องไม่อยู่ในเมืองหลวง รวมถึงหานหมิงซียืนอยู่ด้วย

 

 

นอกจากเฟิ่งจือเหยาที่ยังคงยิ้มระรื่นอยู่ตามปกติแล้ว สีหน้าของคนอื่นๆ ต่างไม่สู้ดีนัก คืนที่ผ่านมานี้มีนักฆ่าถึงขั้นสามารถฝ่าด่านรอบนอกของตำหนักติ้งอ๋องเข้ามา จนเกือบบุกเข้าไปถึงเรือนประมุขที่เยี่ยหลีพักอยู่ได้สำเร็จ สีหน้าคนที่เป็นหัวหน้าองครักษ์ลับอย่างม่อหวาจึงยิ่งดูย่ำแย่กว่าทุกคน นี่ถือเป็นการตบหน้าองครักษ์ลับชัดๆ

 

 

“เอาล่ะ ลองพูดมาซิ เจ้าเป็นคนมากจากที่ใดอีก” เยี่ยหลีหันมองสีหน้าบึ้งตึงของลูกน้องแต่ละคน ก่อนเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ

 

 

นักฆ่าที่โดนกดตัวบังคับให้คุกเข่าอยู่กับกลางลาน ดวงตาส่อแววดูแคลน ก่อนหันหน้ามองไปทางอื่นด้วยความเย่อหยิ่ง

 

 

เยี่ยหลีหัวเราะออกมา “ข้าพูดผิดไปเอง หากไม่ถามดีๆ เชื่อว่าพวกเจ้าคงไม่ยอมคายความจริงออกมาเป็นแน่ แต่ก็พอดีเลย…สิบวันมานี้ในตำหนักข้ามีคนบุกเข้ามาเจ็ดกลุ่มด้วยกัน ไม่แน่ว่าหนึ่งในนั้นอาจมีเพื่อนของพวกเจ้าอยู่ก็ได้นะ เพียงแต่ ยังไม่มีผู้ใดที่กระดูกแข็งพอจนสามารถต่อกรกับข้าได้เลย ฉินเฟิง ยกให้เจ้าก็แล้วกัน”

 

 

ฉินเฟิงหัวเราะขึ้นเสียงดัง “ขอบพระทัยพระชายาพ่ะย่ะค่ะ ลูกน้องข้ากำลังเรียนรู้เรื่องการสอบสวนด้วยการทรมานอยู่พอดี พัฒนาการอย่างรวดเร็วของพวกเขาในช่วงหลายวันนี้ อย่างไรก็ต้องขอบคุณความเสียสละของทุกท่านจริงๆ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่อีกด้านหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าดูแคลน แต่ดวงตากลับจ้องเขม็งไปทางฉินเฟิง “ข้าขออยู่ดูด้วย” เขาเฟิ่งจือเหยาได้ชื่อว่าเป็นนักสอบสวนมือฉมังของตำหนักติ้งอ๋อง แต่ตั้งแต่ฉินเฟิงพาเจ้าเด็กสามสี่คนนั้นกลับมาเขาถึงได้รู้ว่าอันใดที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า และอันใดที่เรียกว่าคลื่นลูกใหม่ดันคลื่นลูกเก่า หนำซ้ำพวกยอดฝีมือด้านการทรมานกลุ่มนี้ยังมีกันหลายคนอีกด้วย

 

 

ฉินเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ตาไม่ยิ้มว่า “ทุกอย่างเป็นความลับ ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า” ก่อนโบกมือ ก็มีคนเข้ามาพาตัวคนที่อยู่ในลานออกไปทันที

 

 

เฟิ่งจือเหยามองจ้องฉินเฟิงที่เดินเยื้องย่างสบายๆ ออกไปเขม็ง ก่อนหันกลับมาจับจ้องเยี่ยหลี แต่เขาก็ทำอันใดไม่ได้ ตั้งแต่ฉินเฟิงได้มาติดตามพระชายานี้ นอกจากคำสั่งของท่านอ๋องและพระชายาแล้ว เขาก็ไม่สามารถสั่งการผู้ใดได้มากนักอีก

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ “เฟิ่งซาน ฉินเฟิงมิได้ตั้งใจแกล้งเจ้า แต่นี่เป็นความลับจริงๆ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่งเสียงหึๆ “ก็แค่การทรมาน ต่อให้มีวิธีการพิเศษเพียงใด ก็คงไม่ถึงกับเป็นความลับกระมัง”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “การทรมานคนยามนี้ยังเป็นความลับอยู่”

 

 

เฟิ่งซานลูบจมูกแล้วไม่พูดอันใดอีก เขาเป็นหนึ่งในคนที่ม่อซิวเหยาเชื่อใจมากที่สุด เขาย่อมรู้ว่าในมือพระชายามีกองกำลังลับที่สร้างขึ้นจากทหารที่ถูกเลือกจากหน่วยต่างๆ ของตำหนักติ้งอ๋องอยู่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระชายาจะนำคนเหล่านี้มาทำอันใด และแม้แต่ตัวท่านอ๋องเองก็ไม่รู้ว่าหลังจากคนเหล่านี้ถูกพระชายาคัดตัวไปแล้วพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง มายามนี้…คือคนเหล่านี้เองหรือ

 

 

เฟิ่งจือเหยานึกถึงคนที่เมื่อหลายวันก่อนฉินเฟิงพากลับมาให้ทำการทดสอบการทรมานสามสี่คนนั้นขึ้นมาได้ เขามองเพียงผ่านๆ ก็ดูไม่เห็นมีอันใดประหลาดออกไป เพียงแต่ประสบการณ์จากสนามรบและสัญชาตญาณความระแวดระวังที่ลอบสั่งสมมาหลายปีนี้ทำให้เขารับรู้ได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

 

 

เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นยิ้มให้กับทุกคน “ค่ำคืนนี้ลำบากทุกท่านแล้ว พวกเราไปนั่งพักกันที่ห้องหนังสือเถิด”

 

 

จางฉี่หลันเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจว่า “ท่านอ๋องเพิ่งเดินทางออกไปได้ไม่เท่าไร คนเหล่านี้ก็ลงมือกับตำหนักติ้งอ๋องเสียแล้ว จะปล่อยผ่านไปเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ “แม่ทัพจางไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าย่อมไม่ปล่อยผ่านไปเช่นนี้แน่ ข้า…กำลังต้องการคนมาฝึกปรือฝีมืออยู่พอดีเท่านั้น”

 

 

น้ำเสียงอันอ่อนหวานตคแฝงไปด้วยรังสีสังหารอันเย็นเยียบ ทุกคนต่างอดขนลุกซู่ขึ้นมาไม่ได้ รีบเดินตามเยี่ยหลีเข้าห้องหนังสือไปทันที

 

 

เมื่อเข้าไปยังห้องหนังสือ ทุกคนต่างนั่งลง เยี่ยหลีหันไปพูดกับหานหมิงซีที่นั่งอยู่ว่า “เรื่องทางซีหลิงและหนานเจียงนั้น ควรไปจัดการได้แล้ว หมิงซี พรุ่งนี้เจ้าเริ่มออกเดินทางจากเมืองหลวงเถิด”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานหมิงซีก็ขมวดคิ้วทันที คิดอยากเอ่ยพูดอันใดบางอย่าง

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ต้องเอ่ยอันใดให้มากความ สถานการณ์ในเมืองหลวงเจ้าเองก็เห็นแล้ว เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอันใดให้ทำ สู้ออกเดินทางให้เร็วขึ้นหน่อยเสียยังดีกว่า ยามนี้พี่ใหญ่น่าจะยังอยู่ในเขตหย่งโจว หากมีอันใดที่เจ้าตัดสินใจไม่ได้ เจ้าสามารถนำของตัวแทนข้าไปสอบถามจากพี่ใหญ่ได้”

 

 

หานหมิงซีมองนางนิ่ง ก่อนถอนใจออกมาเบาๆ “ข้ารู้แล้ว ข้าจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้ เช่นนั้นข้ากลับไปเตรียมตัวเก็บของก่อนล่ะ”

 

 

เยี่ยหลีก็ไม่รั้งเขาไว้ เพียงพยักหน้าน้อยๆ เท่านั้น

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset