“มู่ฉิงชัง!” เฟิ่งจือเหยากระโดดลงมากลางลาน ขมวดคิ้วมองชายในชุดดำตรงหน้า
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่…มู่ฉิงชังน่ะหรือ แม้แต่สุดยอดฝีมือเช่นท่านยังมาลงมือด้วยตนเอง ช่างให้เกียรติค่ายิ่งนัก”
มู่ฉิงชังสีหน้าเรียบเฉย “ข้าน้อยไม่เข้าใจความหมายของพระชายา สำนักเยี่ยซารับเงินทำงาน จะมาท่านไม่ท่านอันใดกัน”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วเรียวขึ้น ประกายในแววตาเปลี่ยนไป มองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ไม่รู้ด้วยเหตุใดมู่ฉิงชังถึงได้ทนสายตาของนางที่มองมาเช่นนี้ไม่ได้ เขาหลบสายตาหันมองไปทางอื่นอย่างเวทนา
เยี่ยหลีผินหน้าไปมองประเมินเขา เอ่ยยิ้มเรียบๆ ว่า “ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่หรือ ข้าว่า ดูท่าจะเป็นการเอ่ยเกินจริงกันไปสักหน่อยกระมัง”
“ท่านมีสิทธิอันใดมาพูดเช่นนี้!” ในสายตาของมู่ฉิงชังมีประกายโกรธเกรี้ยว หันขวับไปมองเยี่ยหลีด้วยสายตาโกรธขึ้ง ชายาติ้งอ๋องสามารถดูหมิ่นการกระทำหรือแม้แต่ศีลธรรมของเขาได้ แต่ไม่มีสิทธิมาดูหมิ่นความภาคภูมิใจในความเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเขา เขากวาดตามองคนที่ยืนอยู่โดยรอบ เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “ถ้าดูจากลูกน้องพวกนี้…”
เขาพูดไปได้เพียงครึ่งประโยค แต่เมื่อสายตาประสานเข้ากับแววตาเยาะหยันของเยี่ยหลี สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่เสียจนต้องกลืนคำพูดที่เหลืออยู่ทั้งหมดกลับลงไป ไม่ว่าคนเหล่านี้จะจับเขามาได้ด้วยวิธีใด แต่ดูเหมือนพวกเขาจะจับยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงได้ที่โดยพวกเขาไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ต่างหากคือเรื่องจริง ตั้งแต่โบราณมา สายบุ๋นไม่มีอันดับหนึ่ง สายบู๊ไม่มีอันดับสอง ต่อให้มีความสามารถเก่งกาจเทียมฟ้าเพียงใด แพ้แล้วก็คือแพ้
เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มน้อยๆ “ที่พวกเขาสามารถชนะท่านได้ในวันนี้ ด้วยเพราะส่วนหนึ่งมีโชคช่วยจริง เพียงแต่ทางที่ดีท่านควรเชื่อว่า อย่าว่าแต่มู่ฉิงชังหนึ่งคนเลย ต่อให้มีมู่ฉิงชังอีกสามสี่คน ข้าก็สามารถจับไว้ได้ทั้งหมด”
มู่ฉิงชังหัวเราะหึหึเสียงเย็น อย่างไม่เชื่อ
เยี่ยหลีไม่โกรธ เอ่ยต่อว่า “ที่ข้าบอกว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่เป็นการกล่าวเกินจริงไปนั้น อันที่จริงแล้วมิใช่เพราะท่านแพ้ให้พวกเขา แต่เป็นเพราะ…ท่านอายุมากเกินไปเสียแล้ว”
มู่ฉิงชังชะงักไป สีหน้าที่บิดเบี้ยวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เขาอายุยังไม่ถึงสี่สิบปีดี หากว่ากันในหมู่คนที่ฝึกวิทยายุทธแล้วยังไม่ถือว่าแก่ แต่อย่างไรเขาก็ถือว่าอายุมากแล้วจริงๆ
ในบรรดาสุดยอดฝีมือทั้งสี่แห่งใต้หล้านี้ เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงมีอายุมากที่สุด ถึงแม้ในอดีตจะเคยปะทะกับม่อหลิวฟางจนต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่อย่างไรเขาก็ถือว่าเป็นคนที่มีอำนาจเหนือคนทั้งปวงในแคว้นซีหลิง มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่
คนที่อายุรองลงมา คือเจ้าสำนักเยี่ยนอ๋อง หลิงเถี่ยหาน ถึงแม้จะเป็นคนในเจียงหูเช่นเดียวกับเขา เพียงแต่สำนักเยี่ยนอ๋องมีชื่อเสียงสะท้านไปทั่วเจียงหู แม้แต่ผู้มีอิทธิพลของทั้งสี่แคว้นยังไม่กล้าล่วงเกินเขา
ส่วนผู้ที่อายุน้อยที่สุดคือติ้งอ๋องแห่งต้าฉู่ ม่อซิวเหยา ถึงแม้เข้าจะได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องพิการตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เขาก็มีชื่อเสียงสะท้านไปทั้งใต้หล้าตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นกัน จนได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงครามตั้งแต่อายุยังน้อย
ส่วนเขา…เขาอายุมากกว่าหลิงเถี่ยหานถึงสองสามปี แม้จะได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ แต่กลับมีเพียงสำนักเยี่ยซาอยู่ในการควบคุมและค่อยๆ ชราภาพไปพร้อมๆ กับมัน ทั้งไม่สามารถออกไปทำศึกและไม่สามารถไปไหนมาไหนในเจียงหูได้อย่างอิสระ แม้แต่ผู้คนยามเอ่ยถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ยังมักเอ่ยพร้อมทอดถอนใจด้วยความเสียดายว่า หากมิใช่เพราะติ้งอ๋องโชคร้ายตั้งแต่อายุยังน้อย เกรงว่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่คงเปลี่ยนคนไปนานแล้ว…
เยี่ยหลีเหลือบมองชายวัยกลางคนที่สีหน้าหม่นหมองจากความพ่ายแพ้ด้วยความเสียดาย นึกลอบถอนใจว่า
ด้วยความหมายสามารถและความทะเยอทะยานของมู่ฉิงชังเดิมทีควรเป็นที่น่าเกรงขาม น่าเสียดายที่กลับต้องถูกคนคอยควบคุมและทำได้เพียงสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นเท่านั้น ตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่นี้ก็ดูจะมิได้เป็นง่ายสักเท่าไร
“ในเมื่อข้าแพ้ให้กับเจ้า จะฆ่าจะแกงอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเถิด” มู่ฉิงชังเอ่ยเสียงเย็นขึ้น ดวงตามีแววท้อแท้หมดกำลังใจเจืออยู่
เยี่ยหลีโบกมือ เอ่ยเรียบๆ ว่า “นำตัวออกไป ท่านมู่ เยี่ยหลีนับถือที่ท่านเป็นยอดฝีมือ ทางที่ดีท่านอย่าได้คิดทำอันใดผลีผลามและโง่เขลาอย่างการฆ่าตัวตายหรือคิดหลบหนีเลยจะดีที่สุด”
มู่ฉิงชังส่งเสียงหึเบาๆ ปล่อยให้องครักษ์จับตัวตนออกไปแต่โดยดี
มายามนี้เฟิ่งจือเหยาถึงได้ตั้งสติกลับมาได้ เขาทำเป็นปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงบนตัว เดินเข้ามาพร้อมยกมือขึ้นนวดขมับ “คนผู้นั้น…คนผู้นั้นเป็นมู่ฉิงชังไปได้อย่างไร!”
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เหตุใดถึงจะเป็นมู่ฉิงชังไม่ได้เล่า”
เฟิ่งจือเหยาทอดถอนใจด้วยความเศร้าโศก “เขาคือมู่ฉิงชังเชียวนะ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ สูงส่งและเย่อหยิ่ง ไม่ยอมก้มหัวรับใช้ชนชั้นสูง ในปีนั้นฝ่าบาทเสนอตำแหน่งแม่ทัพให้เขาเข้ามารับราชการ เขายังให้เหตุผลว่าไม่มีความตั้งใจที่จะเป็นข้าราชการ ปฏิเสธฝ่าบาทด้วยเหตุผลที่ว่าตนมุ่งมั่นที่จะเดินทางสายบู๊เสียด้วยซ้ำ ที่เขาบอกว่ามุ่งมั่นที่จะเดินทางสายบู๊ก็เพื่อที่จะมาเป็นนักฆ่าเช่นนี้น่ะหรือ”
ถึงแม้สำนักเยี่ยซาจะเป็นสำนักนักฆ่าที่ไม่เลวนัก แต่หากเทียบสำนักเยี่ยนอ๋องที่เป็นสำนักนักฆ่าเช่นเดียวกันแล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันมากเกินไปหน่อยกระมัง
เยี่ยหลีหลุบตาลง ริบฝีปากได้รูปค่อยๆ ยกยิ้มขึ้น “มีอำนาจปกครองใต้หล้า และได้มัวเมาอยู่ในอ้อมกอดสตรี บุรุษในใต้หล้ามิได้แสวงหาอันใดมากไปกว่านี้ มู่ฉิงชังไม่ฝักใฝ่ทั้งเรื่องอำนาจและสตรี เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ”
“เขาฝักใฝ่ทางสายบู๊อย่างไรเล่า”
“ท่านเห็นว่าวิทยายุทธของเขาเก่งกาจกว่ายอดฝีมืออีกสามท่านเพียงใดหรือ” เยี่ยหลีปรายตาเอ่ยถามขึ้น
เฟิ่งจือเหยาเอามือลูบจมูกโดยไม่พูดอันใด วิทยายุทธของมู่ฉิงชังนั้นล้ำเลิศก็จริงอยู่ แต่กับชื่อเสียงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงแล้ว เฟิ่งจือเหยายังรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ด้วยเพราะวิทยายุทธของเขามิได้เก่งกาจไปกว่ายอดฝีมืออีกสามท่านสักเท่าไร หนำซ้ำฝีมือในบางด้านของเขายังมีแววว่าจะไม่เก่งกาจเพียงพอเสียด้วยซ้ำ แต่อีกสามคนกลับล้วนเป็นคนที่มีภารกิจมากล้นพ้นตัว เมื่อเทียบกันแล้ว มู่ฉิงชังดูจะ…ได้พบหน้าไม่สู้ได้ยินชื่อเสียง “พระชายาคิดจะจัดการมู่ฉิงชังอย่างไรหรือ อย่างไรเขาก็เป็นคนของตระกูลมู่”
“คนตระกูลมู่แล้วอย่างไร” เยี่ยหลีเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้ว “ถึงแม้พวกเราจะไม่เกรงกลัวคนตระกูลมู่ แต่หากมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างไรก็นับเป็นความยุ่งยากมิใช่หรือ ตระกูลมู่วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด หากเพราะเขาแล้วทำให้…”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “เฟิ่งซาน ที่มู่ฉิงชังปรากฏตัวขึ้นที่นี่ไม่ทำให้เจ้าคิดเรื่องอันใดขึ้นมาได้เลยหรือ คนอย่างมู่ฉิงชังที่มีชาติกำเนิดเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาจะคิดเป็นอริกับตำหนักติ้งอ๋องเพื่อเงินจริงๆ หรือ”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป สีหน้านิ่งขรึมลง ไม่ใช่ว่าเขาคิดไม่ถึง เขาเพียงแต่ไม่อยากคิดถึงข้อนั้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะมิได้มีสายเลือดของตำหนักติ้งอ๋องแต่ก็เกือบเรียกได้ว่าเขาโตมากับม่อซิวเหยา ตำหนักติ้งอ๋องทุ่มเทเพื่อแผ่นดินต้าฉู่เพียงใดตัวเขาย่อมรู้ดี เพราะบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ทำนั้นก็มีน้ำพักน้ำแรงของเขารวมอยู่ด้วย ดังนั้น ทุกครั้งยามที่เขาเห็นคนที่เคยเป็นมิตรกันมาก่อนเหล่านั้น สามารถลงมือทำร้ายตำหนักติ้งอ๋องได้อย่างหน้าตาเฉย สิ่งที่เขารู้สึกจึงมิได้มีเพียงความผิดหวังและโกรธเคืองเท่านั้น แต่ยังรู้สึกสะท้อนใจอีกด้วย
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ผู้ใดให้ผลประโยชน์ก็จงรักภักดีกับผู้นั้นเท่านั้นเอง”
เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า สลัดความไม่พอใจในจิตใจทิ้งไป ยิ้มเลิกคิ้วเอ่ยว่า “พระชายามีแผนการเช่นไรหรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “จะมีแผนการเช่นไรได้ หากตระกูลมู่จ่ายไหว ก็คืนตัวมู่ฉิงชังให้เขาไปน่ะสิ จะได้ไม่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล แต่หากจ่ายไม่ไหว…ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตศัตรูที่มีวิทยายุทธล้ำเลิศ มิใช่หรือ”
กว่าเสียงรบราฆ่าฟันด้านนอกสงบลงก็เป็นเวลาเกือบฟ้าสางแล้ว ตรงขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปเริ่มปรากฏแสงสว่างให้เห็น เยี่ยหลีเดินออกมาจากเรือนประมุขพร้อมกับบ่าวไพร่ มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในอากาศ นางยืนอยู่หน้าตระกูหยวนเย่ว์ของเรือนประมุข ทอดสายตามองออกไปยังเลือดที่ไหลรวมกันจนเป็นแม่น้ำและศพที่นอนกองกันเกลื่อนไปหมดเบื้องหน้า
ชิงหลวนกับชิงอวี้ที่เดินตามหลังเยี่ยหลีมา เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับพุ่งตัวออกไปอาเจียนตรงด้านข้าง เยี่ยหลีปิดตาลง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เหลือเพียงแสงสว่างเย็นๆ ที่ลอยไปมาเท่านั้น
“คารวะพระชายา!” ในลานด้านหน้า ทุกคนที่ยืนถือดาบอยู่ต่างยืดตัวตรงขึ้นมองมาทางสตรีในชุดขาวที่ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมเอ่ยด้วยความเคารพ
เยี่ยหลีสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “คืนนี้ลำบากพวกแล้ว”
จางฉี่หลันมีคราบเลือดอาบเต็มตัว เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “การอารักขาตำหนักติ้งอ๋องเป็นหน้าที่และความภาคภูมิใจของพวกเรากองทัพตระกูลม่อ พระชายาเอ่ยเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียนพระชายา ฝ่าบาทเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านที่ดูแลอยู่ด้านนอกวิ่งกระหืดกระหอมเข้ามา ถึงแม้จะอยู่ในอารามรีบร้อน แต่ก็ยังไม่ลืมมารยาท
เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเสด็จมาหรือ”
พ่อบ้านพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ขบวนเสด็จอยู่ห่างไปเพียงสองลี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเราจะต้องออกไปรับขบวนเสด็จหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม “ในเมื่อฝ่าบาทถึงขั้นเสด็จออกจากวังหลวงมากลางดึกกลางดื่นเช่นนี้ พวกเราเป็นข้าในพระองค์จะไม่ออกไปรับเสด็จได้อย่างไร หัวหน้าพ่อบ้านม่อ ท่านพาคนล่วงหน้าออกไปรับเสด็จก่อนเถิด”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อตอบรับด้วยความเคารพ เขาโบกมือพาคนหมุนตัวเดินออกไป
เยี่ยหลีกวาดตามองทุกคนที่อยู่ในลาน ยกริมฝีปากขึ้นยิ้มน้อยๆ “พวกเจ้าก็ออกไปรับเสด็จฮ่องเต้ด้วยเถิด”
หน้าประตูใหญ่ตำหนักติ้งอ๋องอันแสนโอ่อ่า บนถนนกว้างหน้าตำหนักที่ก่อนหน้านี้มีศพนอนตายอยู่เกลื่อนกราดนั้น ถูกย้ายออกไปแล้วอย่างรวดเร็ว แต่เลือดสีแดงฉานที่อาบอยู่บนถนนมิได้สามารถจัดการให้หายไปได้รวดเร็วเช่นนั้น คราบเลือดสีแดงเข้ม เมื่อมาอยู่ใต้แสดงตะเกียงที่สาดส่องลงมาแล้วยิ่งทำให้ดูเย็นยะเยือกขึ้นไปอีก
ราชรถค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาท่ามกลางการอารักขาของกองทัพอวี้หลิน ขันทีที่คอยรับใช้อยู่ด้านนอกเลิกม่านขึ้น ม่อจิ่งฉีในชุดฮ่องเต้เต็มยศก้มพระเศียรก้าวออกมาจากราชรถ เพียงค้อมพระวรกายลง ก็ทอดพระเนตรเห็นของเหลวสีแดงเข้มที่สาดอยู่เต็มพื้น สีพระพักตร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วหันมองหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่ยืนอยู่ริมถนนด้วยความเคารพก่อนตรัสว่า “ชายาติ้งอ๋องอยู่ที่ใด”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยตอบเสียงขรึมว่า “พระชายาได้รับความตกใจเล็กน้อย อยู่ในลักษณะที่ไม่เรียบร้อยนัก จึงออกมารับเสด็จช้า ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นยกยิ้มขึ้นทันที “ชายาติ้งอ๋องปลอดภัยไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว ติ้งอ๋องไม่อยู่ในเมืองหลวง หากเกิดอันใดขึ้นกับชายาติ้งอ๋อง ข้าคงไม่รู้จะพูดกับติ้งอ๋องว่าอย่างไร”
เมื่อเห็นว่ามีขันทีเข้ามาประคองม่อจิ่งฉีลงมาจากราชรถ หัวหน้าพ่อบ้านม่อจึงถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งพร้อมก้มหน้าลงเอ่ยว่า “ลำบากฝ่าบาทต้องทรงเป็นห่วงแล้ว ฝ่าบาทเชิญเสด็จด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่มาย่อมมิใช่ม่อจิ่งฉีแต่เพียงผู้เดียว คนที่ตามขบวนเสด็จมายังมีคณะขุนนางชั้นสูงของเมืองหลวงอีกด้วย ในยามนี้ไม่ว่าในใจพวกเขาจะคิดอันใด แต่สีหน้าที่แสดงออกมาก็ทำได้เพียงแสดงความเป็นก้งวล ความกลัว และเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น แต่สำหรับหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่ผ่านโลกมามากแล้วนั้น ไม่มีความชื่นใจเลยแม้แต่น้อย
ม่อจิ่งฉีหันกลับไปเอ่ยกับคณะขุนนางว่า “ถ้าเช่นนั้น ขุนนางทุกท่านเข้าไปเยี่ยมชายาติ้งอ๋องพร้อมกับข้าด้วยเถิด”
จางฉี่หลันยืดตัวเดินออกมา ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ยามนี้ท่านอ๋องไม่อยู่ในเมืองหลวง ใต้เท้าจำนวนมากเช่นนี้เข้าไปในตำหนักติ้งอ๋องพร้อมกันจะไม่เป็นการดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีดวงตาเป็นประกายขึ้นทันที จ้องจางฉี่หลันเขม็ง “แม่ทัพจางหรือ ข้าจำได้ว่าเจ้ารับหน้าที่ดูแลกองทัพใหญ่จำนวนหลายหมื่นนายรอบๆ เมืองหลวง เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
จางฉี่หลันเองก็ไม่ปิดบัง เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ก่อนที่ท่านอ๋องจะออกเดินทางไป ได้มอบความปลอดภัยของตำหนักไว้ให้กระหม่อมดูแล หลายวันนี้ตำหนักติ้งอ๋องไม่สงบเรียบร้อยสักเท่าไรนัก กระหม่อมถึงได้จัดกำลังพลกลับมารักษาการณ์ที่ตำหนักติ้งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้…กระหม่อมได้ยื่นฎีกาถึงฝ่าบาทแล้ว เพียงแต่มิได้รับราชโองการตอบกลับของฝ่าบาทเลย แต่อย่างไรความปลอดภัยของตำหนักติ้งอ๋องก็สำคัญนัก กระหม่อมถึงจำต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงมาก่อน ฝ่าบาทโปรดทรงลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีรู้สึกเหมือนมีก้อนเลือดจุกอยู่ในอก ฏีกาของจางฉี่หลันน่าจะปนอยู่กับฎีกาเรื่องที่ตำหนักติ้งอ๋องถูกนักฆ่าโจมตีติดต่อกันหลายวันเป็นแน่ ฎีกาเช่นนั้นแม้แต่อ่านเขายังขี้เกียจจะอ่าน จึงโยนมันทิ้งไว้เท่านั้น แต่ในยามนี้เขามิอาจปฏิเสธและลงโทษจางฉีหลันต่อหน้าทุกคนได้ ด้วยเพราะจางฉี่หลันได้ยื่นฎีกาให้เขาก่อนแล้ว หากเขาไม่เห็นด้วย เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขาได้หยิบยื่นความตายให้กับตำหนักติ้งอ๋อง ต่อให้นี่เป็นความตั้งใจที่แท้จริงของเขา แต่ก็มิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้
ม่อจิ่งฉีฝืนยิ้ม “แม่ทัพจางกล่าวเกินไปแล้ว แม่ทัพจางมีใจทำพื่อแว่นเคว้น เป็นแบบอย่างที่ดีของทหารต้าฉู่ วันนี้เจ้ามีความดีความชอบในการปกป้องดูและตำหนักติ้งอ๋อง ข้าจะต้องตกรางวัลให้เจ้าเป็นแน่”
จางฉี่หลันยังไม่ทันได้เอ่ยขอบพระทัย ก็มีเสียงอันงามสง่าของสตรีดังขึ้นจากด้านใน “ฝ่าบาททรงพระปรีชา เช่นนั้นเยี่ยหลีขอนำแม่ทัพจางขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”