“ฝ่าบาททรงพระปรีชา เช่นนั้นเยี่ยหลีขอนำแม่ทัพจางขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
ด้านในประตูใหญ่ เยี่ยหลียังคงอยู่ในชุดสีขาว เดินเรื่อยๆ ออกมาจากด้านใน ก่อนหยุดยืนบนบันไดด้านนอกประตูใหญ่ สายตาทอดมองลงไปยังบรรดาขุนนางชั้นสูงทั้งหลายที่มีสีหน้าแปลกประหลาด รวมถึงม่อจิ่งฉีที่มีสีหน้าเคร่งขรึม นางค่อยๆ เดินเข้าไปยอบตัวลงต่อหน้าม่อจิ่งฉี “ชายาตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีถวายการรับเสด็จฝ่าบาทเพคะ”
ม่อจิ่งฉีอึ้งไป มองประเมินหญิงสาวในชุดขาวที่ย่อเข่าคารวะตรงหน้าด้วยแววตาหลากหลาย โดยไม่มีความประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เอ่ยถามน้ำเสียงกลั้วหัวเราะด้วยความเป็นห่วงว่า “ชายาติ้งอ๋องปลอดภัยดีนับเป็นเรื่องที่ดีนัก เช่นนี้ข้าเองก็จะได้พูดกับติ้งอ๋องได้อย่างเต็มปาก ชายาติ้งอ๋องถูกทำให้หวาดกลัวหรือ”
เยี่ยหลีคลี่ยิ้มบางๆ “เป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนกไม่น้อยจริงๆ เพียงแต่การอารักขาของตำหนักอ๋อง ท่านอ๋องเป็นคนวางกำลังไว้เองกับมือ เยี่ยหลีเชื่อว่าขอเพียงพวกเขายังมีลมหายใจอยู่ จะไม่มีทางให้ผู้ใดทำร้ายเยี่ยหลีแน่นอนเพคะ”
“พระชายากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าน้อยได้ให้คำสัตย์สาบานว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยของพระชายาด้วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยเสียงขรึมขึ้น
“คุ้มครองความปลอดภัยของพระชายาด้วยชีวิต!” องครักษ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยความพร้อมเพรียง
ม่อจิ่งฉีหน้าขรึมลงไปเล็กน้อย ฝืนยกยิ้มอย่างแข็งขืนขึ้น “บ่าวไพร่ในตำหนักติ้งอ๋องช่างมีความจงรักภักดีเสียจริง ชายาและติ้งอ๋องช่างมีบุญวาสนายิ่งนัก ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป องครักษ์ที่อารักขาตำหนักติ้งอ๋องในคืนนี้ ตกรางวัลคนละสิบตำลึงทอง”
เยี่ยหลียิ้ม “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่พระราชทานรางวัล เชิญเสด็จฝ่าบาทด้านในเพคะ”
ม่อจิ่งฉีกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ก็เห็นที่หน้าประตูใหญ่มีรอยเลือดปรากฏให้เห็นอยู่ลางๆ เมื่อลมยามเช้าพัดเข้ามาอ่อนๆ กลิ่นคาวเลือดที่พัดออกมาจากประตูใหญ่นั้นรุนแรงและฉุนกว่าด้านนอกเสียอีก แค่เพียงจินตนาการก็สามารถนึกภาพออกแล้วว่า การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในตำหนักติ้งอ๋องคืนนี้นั้นดุเดือดเลือดพล่านเพียงใด
ม่อจิ่งฉีสีหน้านิ่งแข็งไป เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ยามนี้ติ้งอ๋องไม่อยู่ในตำหนัก ข้ากับขุนนางทั้งหลายคงไม่เข้าไปด้านในแล้ว วันนี้ชายาติ้งอ๋องได้รับความตกใจไม่น้อย ไปพักผ่อนดูแลร่างกายให้ดีเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะให้ฮองเฮาส่งหมอหลวงมาช่วยดูอาการเจ้าก็แล้วกัน ข้ากลับวังก่อนล่ะ อีกเดี๋ยวข้าก็ต้องออกว่าราชการยามเช้าแล้ว”
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยด้วยความเคารพว่า “ถ้าเช่นนี้ เยี่ยหลีส่งเสด็จฝ่าบาท”
ม่อจิ่งฉีโบกมือ หมุนตัวเดินขึ้นราชรถไป ไม่นาน ราชรถที่มีองครักษ์และขุนนางชั้นสูงห้อมล้อมก็ค่อยๆ เคลื่อนขบวนออกไปทางวังหลวง
เยี่ยหลียืนอยู่หน้าประตูใหญ่จนราชรถลับสายตาไปจากมุมถนน
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเดินขึ้นหน้าเข้ามาเอ่ยว่า “พระชายา…”
เยี่ยหลียกยิ้มเรียบๆ “กลับตำหนักเถิด”
เยี่ยหลีหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนัก นางค่อยๆ เดินเรื่อยๆ ไปตามระเบียงทางเดินในสวนที่มีเลือดกระจายอยู่เต็มไปหมด สายตาเรียบเย็นมองศพทั้งหลายที่มีคนทะยอยมาเคลื่อนย้ายออกไป บ้างก็ยังนอนสิ้นลมหายใจอยู่กลางลาน สุดท้ายถึงได้เดินกลับไปทางห้องหนังสือ
สวีหงเยี่ยนยังคงนั่งจิบชาอยู่ในห้องหนังสือเหมือนยามที่เยี่ยหลีจากไปไม่เปลี่ยน มีเพียงหนังสือรวมบทกลอนในมือเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเยี่ยหลีเดินเข้ามาถึงได้วางหนังสือในมือลง มองสำรวจนางก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “หมดเรื่องแล้วหรือ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างขอลุแก่โทษว่า “ทำให้ท่านลุงเป็นห่วงแล้ว”
สวีหงเยี่ยนส่ายหน้า “ยามนี้ตระกูลของเราคงช่วยอันใดเจ้าไม่ได้ ในตำหนักมีความเสียหายอันใดหรือไม่”
เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ “การจะมีคนตายหรือบาดเจ็บนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังไม่มีอันใดมาก หลีเอ๋อร์จะจัดการให้เรียบร้อยเจ้าค่ะ ท่านลุงวางใจเถิด”
สวีหงเยี่ยนเอ่ยเสียงเบาว่า “มาคืนนี้ลุงถึงได้รู้ว่า หลีเอ๋อร์จัดการเรื่องต่างๆ ได้เรียบร้อยและรอบคอบกว่าพี่รองของเจ้านัก เรื่องเหล่านี้เจ้าจัดการตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน ลุงคงไม่พูดอันใดมากแล้ว หากมีเรื่องอันใดที่ตระกูลเราพอช่วยเหลือได้ ก็ส่งคงไปบอกยังจวนผู้ตรวจก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยเสียงต่ำว่า “หลีเอ๋อร์รู้แล้ว ทำให้ท่านลุงเป็นกังวลแล้วเจ้าค่ะ”
“พระชายา” ไม่นาน เมื่อคณะของเฟิ่งจือเหยาจัดการเรื่องทางด้านนอกเรียบร้อยแล้ว จึงเข้ามารับคำสั่งต่อ เยี่ยหลีพยักหน้าเชิญให้ทุกคนนั่งลง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “จัดการไปถึงไหนแล้วหรือ”
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “พระชายาวางใจเถิด พวกศัตรูทั้งหลายถูกพวกเราล้อมจับไว้ได้ทั้งหมดแล้ว ถึงแม้แม่ทัพซุนจะยังกลับมาไม่ถึง แต่ด้วยความสามารถในการทำศึกของหน่วยเฮยอวิ๋นฉี พระชายาจะยังไม่วางใจอีกหรือ”
เยี่ยหลีคลี่ยิ้มน้อยๆ “ข้าเชื่อในความสามารถของแม่ทัพซุนและหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ทุกท่านเล่าถึงสถานการณ์ของแต่ละท่านให้ฟังหน่อยเถิด”
จางฉี่หลันเอ่ยด้วยเสียงก้องกังวานว่า “เรียนพระชายา นักฆ่าที่อยู่นอกตำหนักติ้งอ๋องทั้งหมดถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกที่ขัดขืนทั้งหมด ถูกสังหาร!” ด้วยเพราะเป็นแม่ทัพสายบู๊ ถึงแม้จะเป็นเพียงการรายงานอย่างเรียบง่าย แต่ก็ยังมีความหน้าหวั่นเกรงอยู่ในน้ำเสียง
“เรียนพระชายา บุคคลที่น่าสงสัยทั้งหมดภายในเมืองหลวง อยู่ในความควบคุมขององครักษ์ลับทั้งหมดแล้ว มีผู้ขัดขืนสามสิบหกคน ถูกจัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ม่อหวาเอ่ยรายงานเสียงขรึม
ฉินเฟิงยืนเอามือทิ้งข้างลำตัว เอ่ยเรียบๆ ว่า “นักฆ่าที่เข้ามาในตำหนักติ้งอ๋องทั้งหมด ถูกสังหารไม่มีเหลือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อหวาเงยหน้าขึ้นมองฉินเฟิงแต่มิได้พูดอันใด
เฟิ่งจือเหยาพัดพัดในมือเรื่อยๆ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดูว่าคืนที่ผ่านมานี้คงจะจัดการพวกสารเลวเหล่านั้นได้หมดสิ้นจริงๆ สองวันนี้พวกเราคงได้ยุ่งวุ่นวายกันอีกแล้ว ฉินเฟิง เจ้าอย่ามาแย่งข้าเชียวนะ”
ฉินเฟิงไม่แม้แต่จะเลื่อนสายตาขึ้นมอง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าน้อยย่อมทำตามคำสั่งของพระชายา”
เฟิ่งจือเหยาเบ้ปาก หันมองไปทางเยี่ยหลี
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หากเฟิ่งซานสนใจในเรื่องนี้ จะตามฉินเฟิงไปสังเกตการณ์ด้วยก็ย่อมได้ ฝากเจ้าช่วยให้ความเห็นแก่พวกเขาด้วย เพราะถึงอย่างไร ประสบการณ์ด้านนี้ของพวกเขาก็ยังขาดอยู่ไม่น้อย”
เฟิ่งจือเหยาตาเป็นประกาย ประสานมือขึ้นเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ขอบพระคุณพระชายา”
“ข้าน้อยซุนเหยียน ขอเข้าเฝ้าพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ด้านหน้าประตูมีเสียงเคร่งขรึมของซุนเหยียนดังขึ้น
เยี่ยหลียิ้ม “แม่ทัพซุนเชิญเข้ามาเถิด พวกเรากำลังรอท่านอยู่พอดี”
ซุนเหยียนผลักประตูเดินเข้ามา กวาดตามองทุกคนที่นั่งอยู่ด้านในก่อนประสานมือเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “พระชายาช่างคาดการณ์ได้แม่นยำนัก ข้าน้อยได้ส่งคนให้คอยไปเฝ้าดูเส้นทางที่จะเดินทางออกนอกเมืองหลวงทุกเส้นทางไว้ ฟ้าสางได้ไม่ได้เท่าไรก็พบคนน่าสงสัยที่หลบหนีออกมาจากเมืองหลวงจำนวนไม่น้อย สังหารไปยี่สิบหกคน จับเป็นมาเจ็ดคน พระชายาโปรดสั่งการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว “จับคนมามากเพียงนั้นเชียวหรือ ตำหนักติ้งอ๋องของเราคงกักตัวไว้ได้ไม่หมดเป็นแน่ ฉินเฟิง จั๋วจิ้ง พวกเจ้ารีบไปคัดเลือกดู หากดูแล้วไม่มีประโยชน์ก็ส่งตัวไปยังต้าหลี่ซื่อเถิด”
ฉินเฟิงและจั๋วจิ้งพยักหน้าพร้อมกัน ก่อนหมุนตัวเดินออกจากประตูไป
เฟิ่งจือเหยาหันมองทุกคน ก่อนอมยิ้มถามขึ้นว่า “พระชายา ท่านคิดจะทำเช่นไรกับมู่ฉิงชังหรือ”
นอกจากม่อหวาที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว คนอื่นๆ รวมถึงจางฉี่หลันและซุนเหยียนต่างอึ้งไป
“มู่ฉิงชังหรือ” ถึงแม้พวกเขาจะอยู่แต่ในกองทัพ แต่มู่ฉิงชังที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง อย่างไรพวกเขาก็เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามู่ฉิงชังจะมาตกอยู่ในมือของพระชายาได้
สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “มู่ฉิงชังที่เป็นลูกชายสายรองของจวนมู่หยางโหวน่ะหรือ”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ถูกต้องแล้ว ฐานะทางบ้านของมู่ฉิงชัง ถึงแม้จะมีคนล่วงรู้อยู่จำนวนน้อยนัก แต่ก็มีตระกูลในเมืองหลวงหลายตระกูลที่รู้ถึงเรื่องนี้ เขาเป็นบุตรชายคนโตของท่านมู่หยางโหว และเป็นพี่ชายใหญ่ของมู่หยางโหวซื่อจื่อ”
จางฉี่หลันกับซุนเหยียนอึ้งไปอีกครั้งหนึ่ง พวกเขารู้เพียงว่ามู่ฉิงชังได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ แต่ไม่รู้ว่าเขามีประวัติความเป็นมาเช่นนี้ เพียงแต่กว่ามู่หยางโหวจะมีบุตรชายเป็นมู่หยางโหวซื่อจื่อเพียงคนเดียวผู้นี้ อายุก็ปากเข้าไปสามสิบกว่าปีแล้ว หากจะว่ามีบุตรชายที่อายุมากอย่างมู่ฉิงชังมาก่อนก็ยังถือว่าพอฟังขึ้น ส่วนที่ว่าจะมีความลับในตระกูลใหญ่อันใดนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนนอกจะสามารถล่วงรู้ได้