วันนี้ จวนมู่หยางโหวมีแขกที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางมาที่นี่ปรากฏตัวขึ้น เมื่อมู่หยางโหวได้ยินสิ่งที่พ่อบ้านเข้ามารายงานก็ถึงกับอึ้งไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งแข็งขึ้นทันที
ใบหน้าหล่อเหลาที่ติดจะซีดเซียวของมู่หยางที่ยืนอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้วขึ้น อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันงานสมรสใหญ่ของเขาแล้ว แต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขากลับไม่มีแววยินดีเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นสีหน้านิ่งแข็งและถอดสีของบิดาตนแล้ว ความขุ่นข้องที่ยังมีอยู่ภายในจิตใจของมู่หยางก็ดูจะอ่อนลงไปมากในทันที เอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ท่านพ่อ เป็นอันใดหรือขอรับ”
มู่หยางขมวดคิ้ว เมื่อเห็นสีหน้าของบิดาตนดูไม่ดีนัก จึงเอ่ยว่า “ลูกไปพบชายาติ้งอ๋องเป็นเพื่อนท่านพ่อจะดีกว่า ลูกเคยมีวาสนาได้พบหน้าชายาติ้งอ๋องอยู่หลายครั้งพอดีขอรับ”
มู่หยางโหวอึ้งไป รู้สึกซาบซึ้งใจที่บุตรชายดูเป็นห่วงตนเช่นนี้ เขาส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ชายาติ้งอ๋องคงมีธุระสำคัญอันใดสักอย่างถึงได้มาหาพ่อ พ่อไปพบนางเองได้”
เมื่อเห็นผู้เป็นบิดายืนยันหนักแน่น มู่หยางจึงมิได้เอ่ยอันใดอีก
ภายในห้องหนังสือจวนมู่หยางโหว เยี่ยหลียืนเอามือไพล่หลังชื่นชมภาพวาดที่แขวนอยู่บนกำแพงอย่างสบายๆ โดยมีจั๋วจิ้งยืนกุมมืออย่างสุภาพอยู่ด้านข้าง
เมื่อมู่หยางโหวเปิดประตูเข้ามาเห็นสตรีเอวบางร่างน้อยยืนหันหลังให้ตนอยู่ ก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนรีบตั้งสติประสานมือทำความเคารพอย่างรวดเร็ว “คารวะพระชายา”
เยี่ยหลีหมุนตัวกลับมาพร้อมส่งยิ้มให้เขา “ท่านโหวไม่ต้องมาพิธี ข้ามาที่จวนท่านด้วยตนเอง รบกวนความสงบของท่านแล้ว หวังว่าท่านโหวจะอภัยให้ข้าด้วย” น้ำเสียงราบเรียบของเยี่ยหลีฟังดูรื่นหูยิ่งนัก แต่คำว่าความสงบนั้นกลับฟังดูเน้นหนักเป็นพิเศษ
คำสองคำนั้นดูจะเป็นเหมือนฟ้าผ่าครั้งใหญ่ของมู่หยางโหว ในใจอดกระตุกขึ้นไม่ได้ เขาฝืนหัวเราะ “พระชายาล้อข้าเช่นแล้ว ที่พระชายาให้เกียรติมายังจวนมู่หยางโหว ถือเป็นเกียรติของจวนมู่หยางอย่างมาก เชิญพระชายานั่งลงก่อน”
เยี่ยหลีก็มิได้เกรงใจ นั่งลงตรงข้ามมู่หยางโหวทันที
จนเมื่อสาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาให้แล้ว มู่หยางโหวถึงได้หันมองเยี่ยหลีกับจั๋วจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ท่านนี้คือ…”
“ท่านโหวมิต้องเกรงใจ ข้าน้อยเป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่งของพระชายาเท่านั้น” จั๋วจิ้งเอ่ยขึ้นเรียบๆ
จั๋วจิ้งเรียกตนเองว่าบ่าว แต่มู่หยางโหวกลับมิกล้าคิดว่าเขาจะเป็นเพียงบ่าวธรรมดาๆ ถึงแม้จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ฐานะทางบ้านและพื้นเพของจั๋วจิ้ง แต่สองเดือนมานี้ ธุระโดยมากของชายาติ้งอ๋องก็มีคนชื่อจั๋วจิ้งกับหลินหานคอยออกหน้าจัดการแทน ถือได้ว่าทั้งสองคนนี้เป็นคนที่ชายาติ้งอ๋องไว้วางใจเป็นอย่างมาก
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะกับจั๋วจิ้งว่า “จั๋วจิ้ง นั่งลงคุยธุระกันเถิด อีกเดี๋ยวมีเรื่องต้องเจรจากับท่านโหว คงมิอาจให้ท่านโหวเงยหน้าคุยกับเจ้าไปตลอดมิใช่หรือ”
จั๋วจิ้งเอ่ยมิกล้าเสียงเบา ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ท้ายสุด
ภายในห้องดูจะกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทั้งสามคนต่างนั่งจิบชาเงียบๆ ประหนึ่งกำลังประลองกันว่าผู้ใดจะมีความอดทนมากกว่ากัน สายตาของมู่หยางโหวลอบมองเยี่ยหลีและจั๋วจิ้งเป็นระยะ ถึงแม้บนใบหน้าจะยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับนึกร้องโอดครวญ ไม่น่าแปลกใจที่ฮ่องเต้จะเกรงกลัวชายาติ้งอ๋อง เห็นๆ อยู่ว่าติ้งอ๋องไม่อยู่ในตำหนัก ความตั้งใจที่จะทำลายตำหนักติ้งอ๋องให้ราบคาบ ก็ดูไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อันใด แต่กลับยังคง… ชายาติ้งอ๋องอายุยังไม่เท่าไร แต่มีบารมีเช่นนี้ ต่อไปในอนาคตคงมิอาจคาดเดาได้
ครู่ใหญ่ มู่หยางโหวถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนหันมองไปทางเยี่ยหลี “ที่พระชายามาเป็นแขกที่นี่ด้วยเพราะมีเรื่องอันใดจะชี้แนะหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม “ชี้แนะคงมิกล้า อันที่จริงมีคนฝากข้าให้มาสอบถามเรื่องหนึ่งกับท่านโหว”
มู่หยางโหววางถ้วยชาในมือลง “เชิญพระชายาเอ่ยมาได้เลย หากเป็นเรื่องที่ข้ารู้ข้าจะบอกพระชายาอย่างแน่นอน”
เยี่ยหลีระบายยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณท่านโหวแล้ว มีคนฝากข้ามาถามท่านโหวเพียงหนึ่งคำถามเท่านั้น ว่าท่านโหวยังจำคนที่ชื่อมู่ฉิงชังได้หรือไม่”
มู่หยางโหวถึงกับมือสั่น จนเกือบปัดแก้วชาที่วางอยู่ด้านข้างหก เขากลับมารักษาท่าทีสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว
จั๋วจิ้งที่นั่งอยู่อีกด้านถึงกับเลิกคิ้วขึ้น มองเห็นอย่างชัดเจนว่ามู่หยางโหวใช้มือข้างที่วางอยู่ข้างกายตบตนเองเบาๆ สองที เห็นได้ชัดว่าต้องบังคับตนเองอย่างมากเพื่อให้ตนเองสงบลง
มู่หยางโหวฝืนยกยิ้ม “ข้าย่อมรู้จักดี มู่ฉิงชังได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ ตามลำดับฝีมือแล้วดูจะอยู่เหนือกว่าท่านติ้งอ๋องเล็กน้อย ในใต้หล้านี้มีผู้ใดไม่รู้จักเขาบ้าง”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงจิบชา ยิ้มเรียบๆ “ท่านอ๋องกล่าวถูกแล้ว จะว่าไปมู่ฉิงชังกับท่านอ๋องมีแซ่เดียวกัน ไม่รู้ว่าท่านโหวพอรู้จักเขาบ้างหรือไม่”
มู่หยางโหวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กว่าในที่สุดจะเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ถึงแม้จะได้ยินชื่อเสียงเขามานาน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวาสนาได้พบหน้า”
“ท่านโหวไม่รู้จักมู่ฉิงชังจริงๆ หรือ” จู่ๆ จั๋วจิ้งก็เอ่ยปากถามขึ้น
มู่หยางโหวขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “คุณชายจั๋วพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือท่านกำลังนึกสงสัยว่าข้าโกหกอย่างนั้นหรือ”
คิ้วคมของจั๋วจิ้งเลิกขึ้น แต่มิได้ตอบอันใด ประหนึ่งกำลังยอมรับสิ่งที่มู่หยางโหวเอ่ยออกมากระนั้น
เมื่อเห็นมู่หยางโหวใกล้จะหัวเสียเต็มที เยี่ยหลีจึงวางถ้วยชายในมือลง เอ่ยว่า “ท่านโหวอย่าเพิ่งโกรธ อันที่จริงหลายวันก่อนตำหนักของเราจับนักฆ่าได้คนหนึ่ง เขาบอกว่าตนเองคือมู่ฉิงชัง ดังนั้นข้าถึงได้อยากมาถามเรื่องนี้กับท่านโหวเท่านั้นเอง แต่หากท่านโหวไม่รู้จักเขาจริงๆ ก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงนักฆ่าคนหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อตกมาอยู่ในมือของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ยังจะสามารถแผลงฤทธิ์อันใดได้อีกจริงหรือไม่”
มู่หยางโหวขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นักฆ่าหรือ แต่ในบรรดานักฆ่าที่ตำหนักติ้งอ๋องส่งตัวให้กับต้าหลี่ซื่อนั้นไม่มี…” พูดไปได้เพียงครึ่งประโยคมู่หยางโหวก็หยุดชะงัดลง จำนวนนักฆ่าที่ตำหนักติ้งอ๋องส่งตัวไปยังต้าหลี่ซื่อมีเท่าใดนั้น อันที่จริงเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดี ก็เช่นเดียวกับที่ตำหนักติ้งอ๋องรู้ดีว่าเบื้องหลังนักฆ่าแต่ละคนนั้นเป็นผู้ใดแต่ก็มิได้เปิดเผยออกมา ตำหนักติ้งอ๋องจะต้องกักตัวนักฆ่าผู้ที่มีฐานะยิ่งใหญ่ไว้อีกจำนวนมากอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็เป็นความลับที่ทุกคนต่างรู้ดี เพียงแต่เรื่องในตำหนักติ้งอ๋องคืนนั้นทำให้ผู้คนจากทุกสารทิศตื่นกลัวกันไม่น้อย ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ เกรงว่าคงจะมิมีผู้ใดกล้าบุกเข้าไปแหกคุกในตำหนักติ้งอ๋องอีกเป็นแน่
เยี่ยหลีเอ่ยกับมู่หยางโหวด้วยน้ำเสียงเจือแววขบขัน “ในเมื่อท่านอ๋องเองก็ไม่รู้จัก เช่นนั้นข้าคงมารบกวนท่านแล้ว ที่ตำหนักข้ายังมีเรื่องให้สะสางอีกไม่น้อย ข้าขอตัวเลยก็แล้วกัน”
มู่หยางโหวนึกร้อนใจขึ้นมาทันที พลั้งปากเอ่ยถามว่า “พระชายาคิดจะจัดการมู่ฉิงชังเช่นไรหรือ”
เยี่ยหลียกริมฝีปากขึ้นยิ้มเพียงเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเยียบเย็นว่า “ก็แค่นักฆ่าคนหนึ่ง ฆ่าทิ้งเสียก็เท่านั้น”
มู่หยางโหวเย็นวาบในใจ ตาค้างมองเยี่ยหลีที่เดินนำจั๋วจิ้งออกไป
จั๋วจิ้งเดินตามหลังเยี่ยหลีออกไป เมื่อเดินไปถึงปากประตู ได้หันกลับมามองมู่หยางโหวที่ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ ก่อนเอ่ยปากบอกว่า “พระชายาได้ตัดสินใจที่จะสังหารนักฆ่าทั้งหมดในคืนนี้ เพื่อเป็นการเซ่นไหว้ให้แก่องครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องที่ต้องสละชีวิตของตนไป หากท่านโหวอยากพบหน้าผู้ใด รีบหน่อยก็จะดี”
ดวงตามู่หยางโหวเป็นประกายทันที ฝืนหัวเราะออกไปว่า “คุณชายจั๋วล้อข้าเล่นแล้ว ข้ามิได้มีผู้ใดที่อยากพบหน้า”
จั๋วจิ้งพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนหมุนตัวเดินตามเยี่ยหลีออกไป
จนเมื่อเสียงฝีเท้าของทั้งสองหายไปจากระเบียงทางเดินแล้ว มู่หยางโหวที่ฝืนยืนตัวแข็งส่งแขกก็ประหนึ่งหมดเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงนั่งกลับลงบนเก้าอี้โดยทันที ในดวงตาที่ดูชราภาพแต่ยังคงแฝงประกายคมกล้าดูมีแววอ่อนล้าและรู้สึกผิด และยิ่งดูมีความแน่วแน่และตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่คิดสนใจสิ่งใดทั้งสิ้นอยู่ภายในแววตาคู่นั้น
“ท่านพ่อ” ไม่รู้มู่หยางมาปรากฏตัวที่ประตูตั้งแต่เมื่อใด มองดูบิดาที่มีสีหน้าหดหู่อย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็นด้วยแววตาหลากหลาย “ท่านพ่อ หรือว่าพระชายาพูดอันใดที่ทำให้ท่านลำบากใจหรือขอรับ”
มู่หยางโหวโบกมือยิ้มๆ “ไม่มีอันใด หยางเอ๋อร์อีกไม่นานเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว อย่าเพิ่งยุ่งกับเรื่องนี้เลย เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้พ่อย่อมจัดการให้เรียบร้อยได้ เจ้าเพียงทำหน้าที่เจ้าบ่าวให้ดีก็พอแล้ว”
มู่หยางขมวดคิ้ว มองมู่หยางโหวพร้อมเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านพ่อ ลูกเองก็เป็นลูกหลานของตระกูลซุน มีเรื่องอันใดที่บอกลูกมิได้หรือ”
มู่หยางโหวเอ่ยว่า “ไม่มีเรื่องอันใดจริงๆ หยางเอ๋อร์ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
มู่หยางเอ่ยว่า “ลูกมิใช่คนโง่ ท่านพ่อ เรื่องนักฆ่าบุกตำหนักติ้งอ๋องในคืนนั้นเกี่ยวอันใดกับจวนของพวกเรากันแน่ มิเช่นนั้นชายาติ้งอ๋องจะ…”
“หุบปาก!” มู่หยางโหวเอ่ยตะโกนเสียงเข้มขึ้น จ้องมองใบหน้าตื่นกลัวของมู่หยางด้วยแววตาดุดัน “เจ้าจำไว้ให้ดี เรื่องในตำหนักติ้งอ๋องไม่เกี่ยวอันใดกับตระกูลมู่ของเราทั้งสิ้น!”
อันที่จริงปฏิกิริยาเช่นนั้นก็สามารถอธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เขามองดูลักษณะอาการของบิดาด้วยความกลัดกลุ้ม เขาถอนใจก่อนเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังทำอันใด”
มู่หยางโหวอึ้งไป หลุบตาลงเอ่ยว่า “พ่อเองก็ทำเพื่อความรุ่งเรืองของตำหนักมู่หยางโหว หยางเอ๋อร์ เจ้าวางใจเถิด ไม่มีอันใดหรอก ออกไปเถิด”
มู่หยางยังคิดอยากพูดอันใดอีก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของบิดาแล้ว ในที่สุดจึงได้กลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากลงไป ถอยออกไปจากห้องหนังสือเงียบๆ
เมื่อกลับถึงตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีหันกลับไปมองจั๋วจิ้งที่เดินตามหลังนางมา ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ผลลัพธ์เช่นนี้เจ้าพอใจหรือไม่”
จั๋วจิ้งนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยกมือขึ้นลูบที่ใบหน้า หน้ากากหนังบางๆ ชั้นหนึ่งถูกลอกออกจากใบหน้า เผยสีหน้าอ่อนแรงและเศร้าโศกให้เห็น อันที่จริงใบหน้าของมู่ฉิงชังกับจั๋วจิ้งมิได้เหมือนกันสักทีเดียว เพียงแต่เดิมทีคนที่เคยพบหน้าจั๋วจิ้งมีไม่มากนัก อย่างน้อยมู่หยางโหวก็ไม่เคยเห็นหน้าจั๋วจิ้งมาก่อน ส่วนจั๋วจิ้งนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็มักแสดงสีหน้าไร้อารมณ์มาโดยตลอด ดังนั้นแม้แต่มู่หยางโหวเองก็มิได้รู้สึกแปลกใจอันใดกับสีหน้าแข็งขืนของมู่ฉิงชัง
มู่ฉิงชังก้มศีรษะลง เอ่ยด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “เมื่อยินดีพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้”
เยี่ยหลีมิได้มีท่าทีได้ใจ เพียงเอ่ยว่า “เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น ยามนี้บอกข่าวทั้งหมดที่เจ้ารู้มาให้ข้าได้แล้วสินะ”
“ท่านไม่กลัวว่าข้าจะตระบัดสัตย์หรือ”
เยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็น “หากเจ้าตระบัดสัตย์ ข้าก็จะฆ่ามู่หยางโหว!”
มู่ฉิงชังหลับตาลงด้วยสีหน้าอ่อนล้า เอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะบอกท่านในสิ่งที่ข้ารู้ ท่านถามมาเถิด”
เยี่ยหลีหุบยิ้มบนใบหน้าลง มองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเสียงหนักแน่นว่า “ติ้งอ๋องท่านก่อน ม่อซิวเหวินเสียชีวิตอย่างไร”
มู่ฉิงชังอึ้งไป คาดไม่ถึงว่านางเปิดปากก็จะถามคำถามเช่นนี้ออกมา แต่ก็ตรงไปตรงมาดี เขาเอ่ยตอบด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “ข้าเป็นคนฆ่าเขาเอง”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว มิได้พูดอันใด
มู่ฉิงชังเอ่ยว่า “ยามนั้นข้าได้รับคำสั่งให้ไปยังชายแดนแคว้นเป่ยหรงที่มีการสู้รบกันอยู่ และให้ใส่ยาพิษลงไปในน้ำของม่อซิวเหวิน สร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนว่าเขาป่วยตาย”
เยี่ยหลีจ้องมองเขาด้วยสายตาเรียบเย็น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ท่านมู่ช่างกล้าพูดได้ทุกอย่างเสียจริง”
มู่ฉิงชังมิได้สนใจ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ในเมื่อข้ารับปากพระชายาแล้ว ย่อมต้องรักษาคำพูด หากพระชายาไม่กล้าฟัง ก็ถือเสียว่าข้ามิได้พูดอันใดก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีส่งเสียงหึเบาๆ “ท่านมู่เอ่ยเพียงครึ่งไม่เอ่ยครึ่งหนึ่งเช่นนี้ ข้าย่อมมิกล้าฟัง”
มู่ฉิงชังหลุบตาลงเอ่ยว่า “ด้วยความเฉลียวฉลาดและหลักแหลมของพระชายา ส่วนที่เหลืออีกครึ่งยังจำเป็นต้องให้ข้าพูดโดยละเอียดอีกหรือ”
เยี่ยหลีหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ “ดี ข้าจะไม่ถามว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังท่านมู่คือผู้ใด เชิญท่านมู่เล่าเรื่องทั้งหมดที่ท่านรู้ให้ข้าฟังทั้งหมดทีเถิด อีกอย่าง…ข้าไม่รับประกันความปลอดภัยในชีวิตของท่านมู่นะ”
มู่ฉิงชังเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไร เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะเป็นหรือตายสำหรับข้าแล้วก็มิได้ต่างอันใดกันหรอก”