ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 129 ซีหลินยกทัพ (1)

ภายในห้องหนังสือ เงียบสงัดประหนึ่งหากมีเข็มตกสักเล่มหนึ่งก็ยังได้ยิน เยี่ยหลีนั่งเงียบมองชายวัยกลางคนตรงหน้า ใบหน้างดงามนิ่งเรียบอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับมิอาจปิดบังคลื่นความตระหนกตกใจจากสิ่งที่ใด้ยินได้ฟังเมื่อครู่ได้

 

 

ม่อซิวเหวินเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยเพราะเรื่องสุขภาพ ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่สามารถคาดเดาได้ว่าจะต้องมีความลับอันใดที่มิมีผู้ใดล่วงรู้อย่างแน่นอน เพียงแต่ต่อให้เป็นเยี่ยหลีก็คาดไม่ถึงว่าการตายของม่อซิวเหวินจะเกี่ยวข้องกับท่านนั้นในวังหลวงด้วย

 

 

ในปีนั้น ที่ม่อซิวเหวินป่วยจนเสียชีวิตและกองทัพตระกูลม่อถูกลดบทบาทลงนั้น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงสามปี ที่ผลีผลามลงมือกับตำหนักติ้งอ๋องเช่นนี้…

 

 

“พระชายายังอยากรู้อันใดอีกหรือไม่” มู่ฉิงชังมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง สีหน้าของเขาดูมีความสุขบนความทุกข์ของนางอยู่ไม่น้อย

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ทั้งหมดที่ท่านรู้”

 

 

มู่ฉิงชังอึ้งไป มองจ้องเยี่ยหลี “ทั้งหมดหรือ พระชายาคิดดีแล้วใช่หรือไม่ ความลับบางเรื่องนั้นเพียงพอที่ส่งผลกระทบไปทั้งต้าฉู่หรือแม้กระทั้งทั่วทั้งใต้หล้าได้เลยทีเดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็น “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยได้พบหน้าติ้งอ๋องคนก่อนมาก่อน แต่อย่างไรท่านก็เป็นพี่ชายของสามีข้า และก็ถือเป็นพี่ชายของข้า อีกอย่าง…ท่านตกอยู่ในมือข้าแล้ว ท่านคิดว่าหากข้าไม่ได้ยินจากปากผู้อื่น แล้วคิดว่าข้าจะไม่รู้ถึงความลับนี้หรือ”

 

 

มู่ฉิงชังนิ่งไปครู่หนึ่ง ถอนใจเบาๆ “ติ้งอ๋องช่างมีวาสนานัก ในเมื่อพระชายายืนยันเช่นนั้น ข้าน้อยก็จะเล่าทุกอย่างให้พระชายาฟัง ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนที่พระชายาช่วยทำตามความต้องการของข้าน้อยก็แล้วกัน”

 

 

เยี่ยหลีกับมู่ฉิงชังนั่งสนทนากันอยู่ในห้องหนังสือตลอดเช้า มิมีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาสนทนาถึงเรื่องใดบ้าง เมื่อยามที่ออกมาจากห้องหนังสือ สีหน้าทั้งสองดูหนักอึ้งไม่น้อย

 

 

มู่ฉิงชังถูกองครักษ์สองคนนำตัวออกไป แต่ก่อนไปจู่ๆ เขาก็หันกลับมามองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าน้อยมองออกว่าพระชายาเป็นคนเด็ดขาด ข้าน้อยบอกข่าวให้ท่านโดยไม่คิดค่าตอบแทนอีกสักข่าวดีหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารอฟังอยู่”

 

 

“ซีหลิงตัดสินใจที่จะยกทัพมายังต้าฉู่ในขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปดนี้ พระชายาคิดจะทำเช่นไร” พูดจบ เขามิได้สนใจจะมองสีหน้าของเยี่ยหลีอีก จากที่มู่ฉิงชังดูหดหู่ก่อนหน้านี้ ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมออกเดินไปทันที

 

 

รอยยิ้มบนริมฝีปากของเยี่ยหลีค่อยๆ หายไป เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือบริเวณเรือนอยู่พักใหญ่ ก่อนสะบัดแขนออกเดินไป “รีบไปบอกเฟิ่งซานกับซุนเหยียน ให้มาพบข้าที่ห้องหนังสือเดี๋ยวนี้!”

 

 

เฟิ่งจือเหยากับซุนเหยียนมาถึงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมาถึงแทบจะพร้อมเพรียงกัน เพียงก้าวเข้าไปในห้องหนังสือก็เห็นเยี่ยหลีกับจั๋วจิ้งกำลังนั่งพลิกม้วนกระดาษหนาๆ บนโต๊ะหนังสืออยู่ เฟิ่งจือเหยาเหลือบตามอง ก็เห็นว่าเป็นคำสารภาพของนักฆ่าทั้งหลายที่จับได้ในช่วงหลายวันนี้ กับสารพัดข่าวสารที่องครักษ์ลับรวบรวมมาได้

 

 

เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พระชายา เกิดอันใดขึ้นหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเขา “เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป เดิมที่อยู่ในท่าทีสบายๆ ค่อยๆ เปลี่ยนมานั่งตัวตรงเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที หันมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าจริงจัง

 

 

ซุนเหยียนก็อยู่ในสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน รอฟังสิ่งที่เยี่ยหลีจะเอ่ย

 

 

เยี่ยหลีหยิบม้วนกระดาษหนึ่งขึ้นมา “เมื่อครู่มู่ฉิงชังบอกข้าว่าซีหลิงเตรียมที่จะยกทัพมาบุกต้าฉู่ในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปดนี้”

 

 

สีหน้าเฟิ่งจือเหยามีประกายนิ่งอึ้ง คิ้วคมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่ พวกเราไม่ได้รับข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ แต่มู่ฉิงชังไม่น่าพูดโกหก เราจำต้องหาความเป็นไปได้ของเนื้อข่าวนี้ เพียงแต่…” เยี่ยหลีชะงักไป เงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสอง “วันนี้เป็นวันใดแล้ว”

 

 

ซุนเหยียนเอ่ยว่า “ขึ้นเจ็ดค่ำเดือนแปดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สีหน้าของเฟิ่งจือเหยาเปลี่ยนไปทันที ลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “หากข่าวนี้เป็นข่าวลวงก็แล้วไปเถิด แต่หากเป็นจริงขึ้นมา…”

 

 

หากเป็นจริงขึ้นมา ทหารทางตะวันตกเฉียงเหนือถึงแม้จะมิได้ไม่มีทหารประจำการอยู่เสียทีเดียว แต่ทหารที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ นั้น หลายปีนี้ได้ถูกม่อจิ่งฉีส่งคนที่ตนไว้ใจไปควบคุมไว้หมดแล้ว กองทัพตระกูลม่อก็ถูกกีดกันต่างๆ นานา หากซีหลิงเกิดยกทัพโจมตีขึ้นมากะทันหันจริง คงจะถูกโจมตีโดยตั้งตัวไม่ทันอย่างแน่นอน แต่ในยามนี้ พวกเขาอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีทางที่จะเคลื่อนพลไปถึงชายแดนได้ภายในเจ็ดแปดวันอย่างแน่นอน

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ท่านอ๋องเดินทางออกจากเมืองหลวงได้ยี่สิบกว่าวันแล้ว หากคำนวณตามความเร็วในการเคลื่อนขบวนของคณะรับตัวเจ้าสาว ยามนี้ก็น่าจะเข้าเขตแดนของเป่ยหรงแล้ว หากว่าหน้าที่ในการส่งตัวองค์หญิงเพื่อไปแต่งงานของท่านอ๋อง ถึงแม้จะยังไม่เรียบร้อยดี และรีบเดินทางกลับมาก่อน อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนถึงจะเดินทางไปบัญชาการทัพใหญ่ยังชายแดนแคว้นซีหลิงได้ อีกอย่าง ยามนี้ไม่มีทางที่ท่านอ๋องจะได้รับข่าวนี้ในเร็ววัน” ในใจเฟิ่งจือเหยาเกิดความรู้สึกไม่ดีบางอย่างขึ้น ดูเหมือนเรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นโดยมีต้าฉู่เป็นเป้าหมายกระนั้น

 

 

“พระชายา…”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “พวกเจ้ามีความเห็นเช่นไร พูดออกมาได้เลย”

 

 

ซุนเหยียนขมวดคิ้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ พวกเราควรเตรียมการเสียแต่เนิ่นๆ ถึงจะถูก หากเป็นเรื่องลวงก็ไม่เป็นอันใด แต่หากเกิดเป็นเรื่องจริง…”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “ข้าน้อยเห็นว่าข่าวนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่องครักษ์ลับกลับไม่ได้ยินข่าวเรื่องนี้เลย”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ มีอยู่คนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือด้านข่าวสาร และในยามนี้ ตัวเขาก็อยู่ที่แคว้นซีหลิง”

 

 

“หานหมิงเย่ว์!” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยด้วยความตกใจ

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ “อิทธิพลของเทียนอี้เก๋อในต้าฉู่ถึงแม้จะถูกหานหมิงซีจัดการล้างใหม่เสียรอบหนึ่งแล้ว แต่อย่าลืมว่าหานหมิงเย่ว์ต่างหากที่เป็นนายใหญ่แห่งเทียนอี้เก๋อที่แท้จริง อีกอย่างเทียนอี้เก๋อมีสายข่าวอยู่ทั่วทุกแว่นแคว้น ส่วนที่ได้รับผลกระทบมีเพียงต้าฉู่เท่านั้น และหานหมิงเย่ว์ก็เคยเป็นสหายรักกับท่านอ๋องมาก่อน ในใต้หล้านี้คนที่รู้จักตำหนักติ้งอ๋องดีที่สุด ถึงแม้เขาจะมิใช่อันดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ติดหนึ่งในสาม”

 

 

เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “ข้าน้อยจะส่งคนไปสืบข่าวเดี๋ยวนี้!”

 

 

ซุนเหยียนเอ่ยถามว่า “พระชายา ยามนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี”

 

 

เยี่ยหลีก้มหน้านิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง “รีบส่งคนไปรายงานท่านอ๋องโดยทันที อีกอย่าง…ส่งข่าวไปยังกองทัพตระกูลม่อที่ปักหลักอยู่บริเวณโดยรอบชายแดนแคว้นซีหลิงด้วย ให้เตรียมพร้อมเคลื่อนพลไปเสริมยังชายแดนตลอดเวลา”

 

 

ซุนเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “หลายปีนี้จำนวนกองทัพตระกูลม่อที่ประจำการอยู่ที่นั่นถูกสั่งให้ถอยร่นเข้ามาเรื่อยๆ ยามนี้จุดที่กองทัพตระกูลม่อประจำการอยู่น่าจะใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกวันในการเคลื่อนพลไปยังชายแดนซีหลิง แล้วยังไม่รวมเวลาส่งข่าวของพวกเราอีก เกรงว่า…”

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้น “ไม่ว่าจะทันหรือไม่ หากไม่ทันก็ยังพอขวางทัพใหญ่ของซีหลิงไว้ได้”

 

 

ซุนเหยียนพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะรีบส่งจดหมายไปยังกองทัพตระกูลม่อทันทีพ่ะย่ะค่ะ พระชายาโปดรวางใจ ขอเพียงกองทัพตระกูลม่อยังเหลือทหารเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ คนซีหลิงก็อย่าหวังจะข้ามแนวต้านของกองทัพตระกูลม่อไปได้เลย”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “ลำบากแม่ทัพซุนแล้ว ข้า จะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้”

 

 

“พระชายา เกรงว่าจะไม่เหมาะ” เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น ตั้งแต่จับตัวมู่ฉิงชังมาได้ ถึงแม้จะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่คนที่คิดจะใช้เลือดล้างตำหนักติ้งอ๋องเป็นผู้ใดบ้างนั้น ในใจทุกคนต่างรู้ดี

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ไม่มีอันใดไม่เหมาะหรอก ต่อให้ท่านนั้นในวังกล้าเย้ยฟ้าท้าดินเพียงใด ก็มิกล้าลงมือทำอันใดข้าหรอก และไม่แน่ว่าเขาจะมีความสามารถในการรั้งข้าไว้ได้”

 

 

เฟิ่งจือเหยานึกไปถึงกลุ่มคนลึกลับกลุ่มนั้น จึงค่อยวางใจลง “พระชายารู้ดีก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีลุกขึ้น วางม้วนกระดาษในมือลง “กลับไปจัดการเรื่องต่างๆ เถิด อีกอย่าง ตำหนักเรายังคงวางกำลังไว้ทุกด้านเช่นเดิมต่อไป”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 

 

ในวังหลวง

 

 

ภายในห้องทรงพระอักษร ม่อจิ่งฉีบอกปัดมู่หยางโหวที่รีบร้อนมาขอเข้าเฝ้าไป เขาจ้องมองฎีกาตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างคาดเดาไม่ได้

 

 

“ทูลฝ่าบาท พระชายาติ้งอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่หน้าประตูเอ่ยรายงานขึ้น

 

 

ม่อจิ่งฉีขมวดคิ้ว “ชายาติ้งอ๋องหรือ นางมาได้อย่างไร” นึกถึงช่วงเวลาฟ้าสางเมื่อหลายวันก่อน สตรีในชุดขาวที่ยืนอย่างงามสง่าอยู่บนบันไดหน้าตำหนักติ้งอ๋องที่เต็มไปด้วยคราบเลือด ในใจม่อจิ่งฉีมักมีความรู้สึกหดหู่ประหนึ่งสิ้นหวังและเสียใจอยู่ลึกๆ สตรีผู้นี้เขาเป็นคนเลือกให้ม่อซิวเหยาด้วยตนเอง ด้วยต้องการที่จะเหยียดหยามเขา แต่ยามนี้สตรีผู้นี้กลับกลายเป็นเสาหลักของตำหนักติ้งอ๋องและเป็นกำลังสำคัญที่คอยช่วยเหลือม่อซิวเหยา และขณะเดียวกันก็กลายเป็นเป้าหมายที่เขามิอาจไม่กำจัดได้ ด้วยความหลักแหลมของเยี่ยหลี นางถึงขั้นไปยังจวนมู่หยางโหว ม่อจิ่งฉีไม่เชื่อว่านางจะคาดเดาความจริงของเรื่องนี้ไม่ออก แต่เหตุใดยามนี้นางถึงกล้าเข้ามาในวังหลวงอีก

 

 

“ให้เข้ามา”

 

 

ไม่นาน ประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักเปิดออก เยี่ยหลีเดินเข้ามาด้วยชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินเข้ม ชุดประจำตำแหน่งของชายาติ้งอ๋อง ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่เยี่ยหลีใส่ชุดทางการของชายาติ้งอ๋อง ซึ่งทำให้นางมิได้ดูงดงามและอ่อนหวานอย่างเช่นทุกครั้ง แต่สีเงินนั้นกลับทำให้นางดูมีความเยียบเย็นและสูงส่งอย่างมิอาจเอื้อมขึ้นหลายส่วน

 

 

เยี่ยหลีเดินเข้าไปกลางตำหนัก ทำความเคารพอย่างสง่างาม “เยี่ยหลีถวายพระพรฝ่าบาท”

 

 

ม่อจิ่งฉีมองสำรวจเยี่ยหลีอยู่นาน ถึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “จะว่าไป ข้าไม่เคยได้ยินชายาติ้งอ๋องใช้สรรพนามแทนตนเองมาก่อนเลยนะ”

 

 

เยี่ยหลียกมุมปากยิ้มเล็กน้อย “เยี่ยหลีก็คือเยี่ยหลีเพคะ” นางย่อมรู้ดีว่า ต่อหน้าฮ่องเต้ ฮองเฮาและไทเฮานั้น สตรีที่มียศศักดิ์ทุกคนจะต้องแทนตัวเองว่าข้าพระบาท เพียงแต่อย่างไรนางก็มิชอบเรียกแทนตนเองเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ ฮองเฮาและไทเฮาต่างไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน คนอื่นๆ ก็ย่อมมิกล้าจุกจิกกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ และต่างมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป แต่ไม่คิดว่าวันนี้ม่อจิ่งฉีจะไม่รู้จะพูดเรื่องอันใดและเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา

 

 

ม่อจิ่งฉีดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย ก่อนรีบเอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “ดี เยี่ยหลีก็คือเยี่ยหลี เช่นนั้นในใจของชายาติ้งอ๋องก็คงมิได้ถือว่าตนเป็นขุนนางคนหนึ่งของต้าฉู่อย่างนั้นสิ”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น มองตรงไปยังม่อจิ่งฉีอย่างไม่หลบสายตา เอ่ยช้าๆ ขึ้นว่า “ตำหนักติ้งอ๋องทุกรุ่นปกป้องรักษาแผ่นดินต้าฉู่อย่างเต็มความสามารถมาโดยตลอด เยี่ยหลีเป็นชายาติ้งอ๋อง จะกล้ามีใจอาจหาญคิดทรยศเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีมองนางด้วยแววตาขบขัน “อ้อ ความหมายของชายาติ้งอ๋องคือ ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีทางมีใจเป็นอื่นอย่างนั้นหรือ”

 

 

เยี่ยหลีมองม่อจิ่งฉีด้วยแววตานิ่งลึก ในใจนึกยิ้มเยาะ ส่วนปากเอ่ยออกไปด้วยความแน่วแน่ว่า “ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีทางทำเรื่องอันใดที่ผิดต่อแผ่นดินต้าฉู่เพคะ”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ม่อจิ่งฉีก็นิ่งไปพักใหญ่ ในที่สุดถึงได้เอ่ยออกมาว่า “ดี ข้าเชื่อคำพูดชายาติ้งอ๋อง วันนี้ชายาติ้งอ๋องตั้งใจเข้าวังมาด้วยเรื่องอันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “มีเรื่องที่สำคัญมากๆ ที่ต้องทูลให้ฝ่าบาททรงทราบเพคะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีพยักหน้า “เชิญชายาติ้งอ๋องพูดมาได้เลย”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อครู่เยี่ยหลีเพิ่งได้รับข่าวว่า ซีหลิงจะยกทัพมาบุกต้าฉู่ในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปดเพคะ ขอฝ่าบาทได้โปรดเตรียมการด้วย”

 

 

ม่อจิ่งฉีอึ้งไป พักใหญ่ถึงได้หัวเราะออกมา มองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “ข่าวนี้ของชายาติ้งอ๋องจะไม่มาอย่างกะทันหันไปหน่อยหรือ เท่าที่ข้ารู้ แคว้นที่ซีหลิงต้องการบุกในยามนี้คือเป่ยหรง มิใช่ต้าฉู่ ชายาติ้งอ๋องไปได้ยินข่าวนี้มาจากผู้ใดกัน”

 

 

เยี่ยหลียกยิ้มพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “หวังว่าฝ่าบาทจะรีบส่งกำลังเสริมไปโดยเร็วที่สุดเพคะ เพื่อป้องกันเหตุที่คาดไม่ถึง”

 

 

“ข้ามิอาจเคลื่อนพลเพียงเพราะฟังคำของชายาติ้งอ๋องเพียงไม่กี่ประโยคได้ นอกเสียจากว่าชายาติ้งอ๋องสามารถพิสูจน์ได้ว่าข่าวนี้เป็นความจริง”

 

 

“เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “มู่ฉิงชัง”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset