ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 131-1 รวบอำนาจทางการทหาร

ม่อจิ่งฉีมองขุนนางในตำหนักที่เอ่ยชื่นชมเขา พร้อมพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นถึงได้หันมองไปทางเยี่ยหลีที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ลังเลเล็กน้อยก่อนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ผู้บัญชาการเหลิ่งและหนานโหวซื่อจื่อยินดีไปนำทัพด้วยความห้าวหาญ ข้านึกชื่นชมยิ่งนัก เพียงแต่ยามนี้ติ้งอ๋องมิได้อยู่ในเมืองหลวง มิอาจบัญชาการรบด้วยตนเอง ภายใต้ตำหนักติ้งอ๋องมีกองทัพอยู่นับแสนนายที่ไม่อาจเคลื่อนพลได้ ไม่รู้ว่าชายาติ้งอ๋องมีความเห็นเช่นไร”

 

 

คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย เงยหน้ามองไปทางม่อจิ่งฉีแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ฝ่าบาททรงอภัยด้วย เยี่ยหลีเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง จะมีความเห็นเช่นไรได้เพคะ”

 

 

“ชายาติ้งอ๋องถ่อมตนเกินไปแล้ว มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายหญิงแห่งตำหนักติ้งอ๋องมีอำนาจในการสั่งเคลื่อนพลกองทัพตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ยามนี้ทัพใหญ่ของซีหลินเคลื่อนพลข้ามแดนมาแล้ว ชายาติ้งอ๋องและตำหนักติ้งอ๋องจะนิ่งเฉยไม่ทำอันใดเลยหรือ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังม่อจิ่งฉีมองจ้องเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามขึ้น

 

 

ในใจเยี่ยหลีนึกยิ้มเยาะ ช่างสอดปากหาเรื่องให้กันได้ดีจริงๆ! เยี่ยหลีปรายตามองชายผู้นั้น

 

 

ในขณะที่เยี่ยหลีกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ ฮว่ากั๋วกงก็ก้าวขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง จ้องชายหนุ่มผู้นั้นพร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “บังอาจ! เจ้าเป็นผู้ใดกันถึงได้กล้าเอ่ยวาจาบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับตำหนักติ้งอ๋องเช่นนี้!” ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าใช้ชีวิตกรำศึกอยู่ในสนามรบมาหลายสิบปี ถึงแม้อายุจะล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่กลับเป็นชายชราที่ยังคงความเป็นขิงแก่ได้อย่างดี บารมีที่เขาแสดงออกมานั้น มีหรือจะใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งจะสามารถรับไหว

 

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นอึ้งไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นแข็งขืนก่อนหันไปประสานมือเอ่ยกับฮว่ากั๋วกงว่า “ข้าน้อยบัณฑิตถานจี้จือคารวะท่านฮว่ากั๋วกง”

 

 

ฮว่ากั๋วกงส่งเสียงหึเบาๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนหันมองไปทางม่อจิ่งฉี

 

 

ม่อจิ่งฉีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “กั๋วกงผู้เฒ่าอย่าเพิ่งมีน้ำโหไป จี้จือเป็นบัณฑิตหัวกะทิที่มีความสามารถมากผู้หนึ่ง ข้ากำลังคิดจะมอบตำแหน่งเดินหนังสือในห้องทรงพระอักษรให้แก่เขา จะได้ทำผลงานเพื่อแคว้นของเราด้วย”

 

 

ฮว่ากั๋วกงประสานมือไปทางม่อจิ่งฉี ยกมือลูบเคราสีดอกเลาพร้อมหัวเราะเสียงก้อง “ที่ฝ่าบาทตรัสมานั้น กระหม่อมฟังไม่เข้าใจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคุณชายถานท่านนี้เป็นบัณฑิตมีความสามารถ เหตุใดถึงไม่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่เล่า หากว่าสอบได้มีตำแหน่งเป็นจ้วงหยวนหรือทั่นฮวาแล้ว ฝ่าบาททรงเรียกใช้งานใกล้ชิดก็มิมีผู้ใดสามารถพูดอันใดมากได้ ตำแหน่งเดินหนังสือในห้องทรงพระอักษรนั้นเป็นตำแหน่งสำคัญที่ต้องถวายงานต่อหน้าพระพักตร์ หากยกตำแหน่งนี้ให้กับคนที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน เกรงว่าคงจะเป็นที่ครหาของคนจำนวนมากนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีและชายหนุ่มผู้นั้นต่างรู้สึกประดักประเดิดไม่น้อย มิใช่เพราะพวกเขาไม่คิดอยากเดินทางที่ถูกต้อง เพียงแต่เส้นทางการสอบเคอจวี่นั้นมิใช่เส้นทางที่จะเดินกันง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเคอจวี่ในปีนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผู้ควบคุมการสอบในครานี้เป็นท่านผู้อาวุโสซูที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่เถรตรงที่สุดของต้าฉู่ เพียงแค่ในบรรดาคุณชายทั้งห้าของตระกูลสวี ในปีนี้มีถึงสามคนที่ลงสนามมาร่วมสอบในครานี้ด้วย ถานจี้จือนั้นมีกลโกงอยู่ไม่น้อยก็จริง แต่หากพูดเรื่องการสอบเคอจวี่แล้วเขาก็ไม่มั่นใจเอาเสียเลย หรือต่อให้เขาสอบติดจริง แต่หากมิได้ตำแหน่งจ้วงหยวนหรือทั่นฮวา เช่นนั้นก็มีโอกาสถึงแปดส่วนที่จะต้องไปรับตำแหน่งอยู่นอกเมือง ต่อให้ไม่ได้ไปรับตำแหน่งที่นอกเมือง อย่างไรก็ได้เป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ขั้นหกขั้นเจ็ดเท่านั้น มิอาจรับตำแหน่งเดินหนังสือในห้องทรงพระอักษรที่สำคัญเช่นนี้ได้ เดิมทีหากฮ่องเต้คิดจะแต่งตั้งผู้ใดที่พระองค์ไว้ใจสักคน ก็คงมิมีผู้ใดกล้าเข้าไปยุ่งให้มากเรื่อง เพียงแต่จะผิดก็ตรงที่ ถานจี้จือไม่ควรเอ่ยวาจาบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้และตำหนักติ้งอ๋องต่อหน้าขุนนางสำคัญๆ ในเวลาเช่นนี้ เพราะมีแต่จะทำให้ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าที่มีใจทำเพื่อแคว้นมาโดยตลอดนึกไม่ชอบหน้าเขาขึ้นมและไม่มีทางคิดให้เกียรติเขาอย่างแน่นอน

 

 

ม่อจิ่งฉีกระแอมไอเบาๆ เอ่ยว่า “กั๋วกงผู้เฒ่า เรื่องนี้ไว้อีกหน่อยค่อยหารือกันเถิด เรื่องสำคัญที่สุดในยามนี้คือการเคลื่อนทัพ ในเมื่อติ้งอ๋องไม่อยู่ กองทัพจำนวนนับแสนนายของกองทัพตระกูลม่อจึงมิอาจสั่งการได้ เช่นนี้สมควรทำเช่นไรดี”

 

 

ฮว่ากั๋วกงมิได้คิดอยากให้ฮ่องเต้ไม่มีทางไปอยู่แล้ว จึงเอ่ยคล้อยตามไปว่า “เมื่อติ้งอ๋องได้รับข่าวนี้ย่อมรีบเดินทางกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้าที่ติ้งอ๋องจะกลับมาถึง เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่สั่งรวมพลทหารกองทัพอื่นๆ ให้เคลื่อนพลไปเสริมทัพก่อนเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ “กั๋วกงผู้เฒ่าไม่รู้หรือว่า ยามนี้ทางตอนใต้ยังต้องคอยรับมือหลีอ๋องอยู่ด้วย ด้านนอกด่านซุ่ยเสวี่ย คนหนานจ้าวก็จับจ้องเราไม่วางตา ยามนี้จะหาทหารจากที่อื่นมาได้อย่างไรกัน”

 

 

สีหน้าฮว่ากั๋วกงเปลี่ยนไป คิ้วสีขาวกระตุกเล็กน้อยแต่มิได้กล่าวอันใด ความคิดของฝ่าบาทมิใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ เพียงต้องการอาศัยจังหวะช่วงที่ติ้งอ๋องไม่อยู่ สร้างความลำบากให้กับชายาติ้งอ๋องเท่านั้น จนถึงขั้นไม่สนพระทัยในความปลอดภัยของชายแดนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนี่มิใช่สิ่งที่ฮ่องเต้ที่ดีควรกระทำ

 

 

มู่หยางโหวเดินขึ้นหน้ามาเอ่ยว่า “ในเมื่อพระชายาติ้งอ๋องสามารถสั่งเคลื่อนพลกองทัพตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้ ขอพระชายาได้โปรดเห็นบ้านเมืองเป็นสำคัญ สั่งรวมพลกองทัพตระกูลม่อ แล้วให้รีบเคลื่อนทัพไปเสริมยังชายแดนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีปรายสายตาเรียบๆ ไปกวาดมองมู่หยางโหวรอบหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “ความหมายของท่านมู่หยางโหวคือต้องการให้ข้าออกไปบัญชาการรบแทนท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ”

 

 

มู่หยางโหวชะงักไป ในประวัติศาสตร์ ต่อให้มีแม่ทัพหญิงหนึ่งหรือสองคน แต่ก็มิเคยมีสตรีผู้ใดที่ออกไปรับหน้าที่บัญชาการรบมาก่อน อีกอย่าง ด้วยวัยของชายาติ้งอ๋องที่เพิ่งอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ในยามนี้ต่อให้นางไม่ทำอันใดก็มิมีผู้ใดสามารถว่าอันใดนางได้ กลับกันหากให้ชายาติ้งอ๋องออกไปบัญชาการรบจริง เกียรติยศของต้าฉู่และของชายชาติทหารอย่างพวกเขาคงเสียหายไม่มีเหลือ

 

 

มู่หยางโหวหัวเราะแห้งๆ หลบสายตาเยี่ยหลีเอ่ยว่า “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ขอให้พระชายาได้โปรดเห็นแก่บ้านเมืองเป็นสำคัญด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เสนาบดีหลิ่วยกมือลูบเครา เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านโหวเอ่ยได้ถูกต้อง ขอพระชายาได้โปรดเห็นแก่ประชาชนและทหารที่อยู่บริเวณชายแดน มอบอำนาจการบัญชาการกองทัพตระกูลม่อให้แก่ผู้บังคับบัญชาทหารที่นำทัพไปชั่วคราวด้วยเถิด รอให้ติ้งอ๋องกลับมาแล้ว ย่อมคืนอำนาจทั้งหมดให้แก่ท่านอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีไม่แม้แต่จะปิดบังประกายเยาะหยันในแววตา รอให้ติ้งอ๋องกลับมาแล้วจะคืนอำนาจทั้งหมดให้อย่างนั้นหรือ เห็นว่านางโง่เขลานักหรือไร

 

 

แววตานางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนเยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ที่ท่านเสนาบดีกล่าวนั้น จะให้ข้ารับผิดชอบไหวได้เช่นไร ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าสามารถสั่งเคลื่อนพลกองทัพตระกูลม่อได้หรือไม่เลย แค่เพียง…หรือว่าเสนาบดีหลิ่วคิดว่า แค่เพียงข้าเอ่ยเพียงสั่งการเพียงประโยคเดียว ก็สามารถยกอำนาจในการบัญชาการกองทัพตระกูลม่อให้แก่ผู้ใดก็ได้แล้วอย่างนั้นหรือ เกรงว่าต่อให้ท่านอ๋องเอ่ยเรื่องนี้ด้วยตนเอง ก็คงมิอาจทำได้เช่นกัน”

 

 

ม่อจิ่งฉีหน้าบึ้งลงเล็กน้อย ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นชายาติ้งอ๋องมีความคิดเห็นอันใดดีๆ หรือไม่ หรือจะปล่อยให้ทัพใหญ่ของซีหลิงสร้างความหายนะให้แก่ชายแดนของเราหรือถึงขั้นปล่อยให้พวกเขาบุกเข้ามาในแดนของต้าฉู่เฉยๆ อย่างนั้นหรือ”

 

 

ในใจเยี่ยหลีนึกอยากตบหน้าบุรุษที่นั่งจ้องนางเขม็งอยู่บนบัลลังก์มังกร พร้อมเอ่ยคำพูดที่ดูมีคุณธรรมสูงส่งเสียเหลือเกินนั้นเสียให้ได้ การที่นางไม่รับปากก็ถือเป็นการปล่อยให้ซีหลิงบุกเข้ามาทำลายต้าฉู่แล้วอย่างนั้นหรือ

 

 

ในที่สุดนางก็ได้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดหลายวันนี้ม่อจิ่งฉีถึงได้ไม่แสดงอาการร้อนรนออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ที่แท้เขาก็คิดอาศัยช่วงที่ม่อซิวเหยาไม่อยู่ ยึดอำนาจทางการทหารของกองทัพตระกูลม่อนี่เอง เขามิได้ไม่ร้อนใจ แต่สำหรับเขาแล้ว การยึดอำนาจกองทัพตระกูลม่อนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่าการจัดการทัพใหญ่ของซีหลิงบริเวณชายแดนเท่านั้น แต่ที่เยี่ยหลีไม่ค่อยเข้าใจคือ ม่อจิ่งฉีเอาความมั่นใจมาจากที่ใดว่า ขอเพียงเขามีอำนาจทางการทหารของตำหนักติ้งอ๋องอยู่ในมือ ก็จะสามารถสั่งการได้ตามอำเภอใจและถึงขั้นกวาดต้อนกองทัพซีหลิงออกไปได้ หรือว่าเขามิได้คิดใคร่ครวญเลยว่า หากเขาไม่ระวังเพียงนิด ก็อาจถึงขั้นทำให้เกิดการกบฏทหารขึ้นมาได้

 

 

เยี่ยหลีก้มหน้าลงเอ่ยว่า “เยี่ยหลีเป็นเพียงสตรี มิมีความคิดอันใดที่จะเสนอฝ่าบาทให้พิจารณาได้จริงๆ เพคะ ฝ่าบาทได้โปรดอภัยด้วย”

 

 

ฮว่ากั๋วกงขมวดคิ้วแน่น เอ่ยด้วยความร้อนรนว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อเรื่องอำนาจทางการทหารของตำหนักติ้งอ๋องยังไม่สามารถกำหนดได้ในยามนี้ ก็ขอพระองค์ได้โปรดมีราชโองการเรียกติ้งอ๋องให้กลับเมืองหลวงโดยด่วน…ไม่สิ มีราชโองการให้ติ้งอ๋องเดินทางไปบัญชาการทหารยังชายแดนโดยทันทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง กระหม่อมจำได้ว่าทหารนับล้านนายของพวกเราต้าฉู่ นอกจากกองทัพตระกูลม่อและกองทัพทางใต้ที่ต่อสู้กับทัพของหลีอ๋องแล้วนั้น อย่างน้อยๆ ก็ยังมีทัพใหญ่อีกหนึ่งแสนนายที่สามารถส่งไปช่วยเสริมทัพได้ ขอฝ่าบาทสั่งเคลื่อนทัพส่วนหนึ่งให้ออกเดินทางไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถึงแม้ในใจม่อจิ่งฉีจะนึกไม่ยินดีนัก แต่สิ่งที่ฮว่ากั่วกงพูดออกมานั้นก็มิใช่สิ่งที่บอกปัดได้ ในระหว่างที่กำลังลังเลใจอยู่นั้น หนานโหวที่นิ่งเงียบมาตลอด กลับเดินขึ้นหน้ามากล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่กั๋วกงผู้เฒ่าเอ่ยมานั้นมีเหตุผล ขอพระองค์ได้โปรดส่งทัพไปเสริมยังชายแดนด้วยเถิด ทัพใหญ่ของซีหลิงสามารถตีเมืองแตกได้ถึงสองเมืองภายในหนึ่งวัน อย่างมากไม่เกินสิบวันก็คงเคลื่อนพลถึงซิ่นหยางที่เป็นเมืองชัยภูมิทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ซิ่นหยางเป็นเมืองเสบียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของต้าฉู่ หากซินหยางเกิดถูกตีแตก…”

 

 

ม่อจิ่งฉีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เหลือบมองเยี่ยหลีกัดฟันเอ่ยว่า “ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป แต่งตั้งเหลิ่งฉิงอวี่เป็นหัวหน้าผู้บัญชาการ หนานโหวซื่อจื่อเป็นรองผู้บัญชาการ นำทัพหนึ่งแสนห้าหมื่นนายออกเคลื่อนพลโดยเร็ววัน!”

 

 

“ข้าน้อยรับราชโองการ!” เหลิ่งฉิงอวี่และหนานโหวซื่อจื่อเอ่ยรับคำสั่งขึ้นพร้อมกัน

 

 

ม่อจิ่งฉิงดูไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน โบกมือด้วยสีหน้าบึ้งตึงเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไป

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset