เฟิ่งจือเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พระชายา ข้าว่าสิ่งที่ทุกคนกำลังเป็นกังวล นั่นคือ หากกองทัพตระกูลม่อรับฟังคำสั่งเคลื่อนพลของหนานโหวแล้ว อำนาจในกองทัพตระกูลม่อที่เขามี จะส่งผลเสียต่อพวกเราหรือไม่น่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หนานโหวไม่มีทางได้อำนาจในกองทัพตระกูลม่อ ข้าจะร่วมปฏิบัติหน้าที่ไปพร้อมกับหนานโหว ถึงแม้ทำเช่นนี้…จะมิใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก แต่ในยามนี้ก็คงทำได้เพียงเท่านี้ จะว่าไป ถึงแม้หนานโหวจะรับหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้บัญชาการรบชั่วคราว แต่ก็คงมิอาจออกไปบัญชาการรบทุกที่ด้วยตนเองได้ ดังนั้น ในสนามรบอย่างไรก็คงต้องขอรบกวนแม่ทัพทุกท่านด้วย”
ทุกคนเอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียงว่า “จะไม่ทำให้พระชายาผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ลำบากแม่ทัพทุกท่านแล้ว ท่านนั้น ยามนี้พวกท่านเข้าใจสถานการณ์รบทางแนวกันหน้ามากน้อยเพียงใดแล้วหรือ”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ บรรยากาศภายในกระโจมก็หนักอึ้งขึ้นมาทันที ถึงแม้ในใจพวกเขาจะนึกต่อต้านคนที่ฮ่องเต้ส่งมา แต่นั่นก็ด้วยเพราะหลายปีมานี้ ฮ่องเต้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะบีบกองทัพตระกูลม่อในทุกๆ ทาง เดิมทีกองทัพตระกูลม่อกระจายตัวรักษาการณ์อยู่ตามชายแดนต่างๆ ของต้าฉู่ แต่ด้วยเพราะม่อจิ่งฉีไม่วางใจ จึงอาศัยจังหวะช่วงที่ติ้งอ๋องพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในตำหนัก และช่วงที่กองทัพตระกูลม่อเสียหายหนักๆ สั่งให้กองทัพตระกูลม่อทั้งหมดเคลื่อนพลกลับเข้าพื้นที่ด้านใน พวกที่รักษาการณ์อยู่ชายแดนล้วนเป็นคนที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัย หรือไม่ก็เป็นแม่ทัพที่มิค่อยถูกกับตำหนักติ้งอ๋องสักเท่าไรนัก แต่ในยามนี้ เมื่อแคว้นซีหลิงบุกเข้ามาในเขตแดนต้าฉู่ และเช่นเดียวกัน พื้นที่ที่พวกเขาลุกล้ำเข้ามาก็เป็นพื้นที่ที่พวกเขาปกป้องคุ้มครองกันมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น พวกเขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร
หลี่ว์จิ้นเสียนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ที่ซีหลิงบุกมาในครานี้มีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทัพกลางจำนวนสามแสนนาย นำโดยเจิ้นหนานอ๋องบุกเข้ามาในอาณาเขตของพวกเรา ตามข่าวที่ทางด่านหน้าส่งมา แจ้งว่าแค่ทหารที่ปิดล้อมเมืองซิ่นหยางไว้ ก็มีมากถึงหนึ่งแสนนายแล้ว กองทัพที่ราชสำนักส่งออกมาก็ถูกเจิ้นหนานอ๋องลอบโจมตีเสียหายไปกว่าครึ่ง สองวันนี้พวกเราได้ปรึกษาหารือกันแล้ว เมืองซิ่นหยางนั้น เกรงว่าคง…รักษาไว้ไม่ได้แล้ว”
สีหน้าทุกคนต่างดูไม่สู้ดีนัก ซิ่นหยางเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ หากเสียเมืองซิ่นหยางไป ความเสียหายจะมิใช่เพียงเมืองเมืองหนึ่ง หรือ บ่อน้ำบ่อหนึ่งเท่านั้น แต่จะยังมีพืชพันธ์ธัญาหารของประชาชนในพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือ หรือแม้กระทั่งเสบียงทหารที่จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
เยี่ยหลีนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “ด้วยความเร็วในการเคลื่อนพลของพวกเรา ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร”
หลี่ว์จิ้นเสียนเอ่ยว่า “ทัพใหญ่ของซีหลิงจะเคลื่อนทัพผ่านเมืองซิ่นหยาง และเข้ายึดพื้นที่ทั่วทั้งเขตชิงโจว จากนั้นจะเข้าโจมตีเมืองเจียงซย่าในเขตฮั่นโจวพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น หลี่ว์จิ้นเสียนเอ่ยอธิบายว่า “ใกล้ๆ เมืองเจียงซย่ามีทหารห้าหมื่นนายของพวกเราประจำการอยู่ แม่ทัพใหญ่ของที่นั่น แม่ทัพหยวนเผยก็เป็นแม่ทัพอาวุโสที่ผ่านการทำศึกมาแล้ว ยามนี้เขาน่าจะเดินทางไปเสริมทัพที่ซิ่นหยางแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่เมืองซิ่นหยางแตก เขาคงจะนำทหารร่นถอยกลับไปรักษาเมืองเจียงซย่าเช่นเดิมพ่ะย่ะค่ะ หากพวกเราเร่งเดินทาง ก็น่าจะไปทันช่วยเสริมทัพที่เมืองเจียงซย่าพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า เรื่องนี้ นางกับเฟิ่งจือเหยาก็เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สรุปออกมาได้ใกล้เคียงกับหลี่ว์จิ้นเสียน เยี่ยหลียกมือนวดหน้าผากพร้อมเอ่ยถามว่า “พวกเราพูดกันถึงแต่ทัพซีหลิงที่เดินทางมาทางภาคกลาง แล้วทัพทางใต้กับทางเหนือเล่า เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่ว์จิ้นเสียนเอ่ยว่า “ทัพทางใต้กับทางเหนือมีกำลังทหารอย่างน้อยทัพละหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย แบ่งไปโจมตีด่านจยาอี้ทางตอนใต้ และด่านเทียนอวิ๋น ทางตอนเหนือ ถึงแม้แม่ทัพที่ประจำการอยู่จะต้านไว้อย่างเต็มกำลัง แต่เกรงว่า สถานการณ์ก็คงไม่สู้ดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ทัพใต้และทัพเหนือมีผู้ใดคอยนำทัพหรือ”
หลี่ว์จิ้นเสียนส่ายหน้า ซุนเหยียนเอ่ยว่า “เรียนพระชายา ทัพใต้ได้ยินว่าเป็นเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ เหลยเถิงเฟิง คนผู้นี้ได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากเจิ้นหนานอ๋องมาตั้งแต่เล็ก เมื่ออายุสิบเก้า ออกไปทำศึกกับเป่ยหรง ก็สามารถสร้างผลงานอันโดดเด่นได้ตั้งแต่ครั้งแรก จะดูถูกเขามิได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนทางทัพเหนือคือ ซั่งกวานอี๋ แม่ทัพเก่าแก่ของซีหลิง คนผู้นี้มิได้มีผลงานที่ยิ่งใหญ่อันใดนัก ซ้ำอายุก็ล่วงเลยไปกว่าหกสิบปีแล้ว แต่ว่า…เขาเป็นอาจารย์ทางการทหารของเจิ้นหนานอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า นิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “วันนี้ลำบากแม่ทัพทุกท่านแล้ว วันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า ทุกท่านเชิญกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
ทุกคนต่างลุกยืนขึ้นเอ่ยขอตัวออกไป
ภายในกระโจมเหลือเพียงเฟิ่งจือเหยา จั๋วจิ้งและสวีชิงเจ๋อ เฟิ่งจือเหยายิ้มมองเยี่ยหลีที่คิ้วผูกกันแน่น “ซีหลิงยกทัพมากันอย่างดุดันเช่นนี้ พระชายารู้สึกปวดหัวแล้วหรือ”
เยี่ยหลียิ้มขื่น “ไม่ปวดหัวได้หรือ” นางเองก็มิใช่ผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศ ว่ากันตามตรงนางไม่เคยผ่านการทำศึกขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน หากเป็นการรบพิเศษกลุ่มย่อย นางมีความมั่นใจเพียงพอที่จะแสดงให้คนทั้งใต้หล้าได้เห็น แต่หากว่ากันด้วยเรื่องการจัดวางกำลังทหารให้เหมาะสมแล้วนั้น ต่อให้นางได้รับคำแนะนำของม่อซิวเหยามามาก แต่นี่เป็นการลงมือปฏิบัติจริงครั้งแรก อย่างไรก็อดที่จะหวั่นใจไม่ได้
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยว่า “เรามั่นใจได้ว่า ที่ซีหลิงยกทัพมาในครานี้ มีกำลังพลมาอย่างน้อยหกแสนนาย กำลังทหารจำนวนมากเช่นนี้ บวกกันชื่อเสียงเทพแห่งส่งครามของเจิ้นหนานอ๋อง อย่าว่าแต่พระชายาเลย แม้แต่แม่ทัพอาวุโสที่กรำศึกมาแล้วไม่รู้เท่าไร่ จะมีสักกี่คนที่ไม่หนักใจ”
ถึงแม้จะบอกว่าเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงเคยพ่ายแพ้ให้กับติ้งอ๋องผู้สำเร็จราชการ ม่อหลิวฟาง แต่อย่างไรม่อหลิวฟางก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่เขายังมีชีวิตอยู่
“หลีเอ๋อร์ เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” สวีชิงเจ๋อหันมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยเสียงเรียบขึ้น ดวงตาที่นิ่งขรึมอยู่เป็นนิจ มีแววอบอุ่นบางๆ เจืออยู่
เยี่ยหลีระบายยิ้มเอ่ยว่า “พี่รองอย่าได้ชมข้าเลย ข้านิ่งแต่เพียงภายนอกเท่านั้น ในใจข้านั้นว้าวุ่นไปหมดแล้ว”
สวีชิงเจ๋อเอ่ยว่า “ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ทำสิ่งที่เจ้าทำได้ก็พอแล้ว หากมีอันใดต้องการให้ข้าทำ ก็บอกมาได้เลย”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอบคุณพี่รองเจ้าค่ะ”
ในยามนี้ ในใจม่อซิวเหยาที่อยู่แคว้นเป่ยหรงนั้นเย็นเยียบไปหมด เขาเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่ทอประกายสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า แล้วอดคิดถึงวันเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาไม่ได้
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ชีวิตของตนจะมีวันที่น่าพอใจและมีความสุขเช่นนี้ เริ่มจากการจับมือด้วยความสนิทสนมเหมือนเพื่อน จนกลายเป็นความรักอย่างลึกซึ้งที่ไม่อยากจะแยกจาก ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่รอยยิ้มของเยี่ยหลีได้ประทับอยู่ในหัวใจของเขา จนชีวิตนี้คงมิอาจลบมันออกไปได้
“ท่านอ๋อง” องครักษ์ลับผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังเขาอย่างไร้ซุ่มเสียง
“มีข่าวอันใดหรือ”
องครักษ์ลับเอ่ยว่า “รายชื่อผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารพระชายา สืบหามาโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ และตั้งแต่ที่ซีหลิงยกทัพบุกเข้ามา ฮ่องเต้ก็ทรงเรียกพระชายาให้เข้าวังไปหลายครั้ง ดูเหมือนทรงคิดที่จะแย่งอำนาจการบัญชาการกองทัพตระกูลม่อของพระชายาไป แต่ไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาม่อซิวเหยามีประกายวูบไหว พร้อมหัวเราะอย่างเยาะหยัน “เขาไม่เคยแยกแยะว่าสิ่งใดสำคัญ สิ่งใดเร่งด่วนกว่ากันออกเลยสินะ ไปบอกหรงหวาว่า ไม่ว่าอย่างไร วันพรุ่งพวกเราจะเดินทางกลับ”
องครักษ์ลับลังเลเล็กน้อย เอ่ยว่า “เกรงว่าองค์หญิงหรงหวาจะมีอิทธิพลต่อเยียหลี่ว์หงไม่มากเท่าไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบว่า “หากเยียหลี่ว์หงคิดอยากเอาชนะเยียหลี่ว์เหยี่ย เข้าย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไร ไปเตรียมตัวเถิด พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกัน”
องครักษ์ลับพยักหน้าขานรับว่า “ข้าน้อยรับบัญชา!”
เมื่อองครักษ์ถอยออกไปแล้ว ม่อซิวเหยาเงยขึ้นมองพระจันทร์บนท้องฟ้า ประกายในดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอบอุ่น “อาหลี…ซิวเหยามักทำให้เจ้าลำบากอยู่เรื่อย…ต้องมีสักวัน…ต้องมีสักวันที่ข้าสามารถนำทุกสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้ามาไว้ตรงหน้าเจ้าให้ได้ ส่วนพวกคนที่คิดอยากทำร้ายเจ้าเหล่านั้น…ข้าจะไม่มีทางปล่อยพวกมันไปแน่!”
เดิมทีเมื่อมีข่าวว่าแคว้นซีหลิงยกทัพบุกเข้ามา ม่อซิวเหยาก็ควรออกเดินทางกลับเมืองหลวงโดยทันที แต่เป่ยหรงอ๋องกลับแสดงท่าทีปฏิเสธมาโดยตลอด อย่างไรก็ต้องการให้ม่อซิวเหยารั้งอยู่ร่วมงานแต่งงานขององค์รัชทายาทให้ได้ จนถึงขั้นเอ่ยข่มขู่เป็นนัยน์ๆ เลยทีเดียว
ม่อซิวเหยาไม่กลัวท่าทีข่มขู่ของเขา แต่หากจะบอกปัดไปในทันที ก็เป็นไปได้มากที่ต้าฉู่จะต้องเผชิญกับการโจมตีจากทั้งสองแคว้น
ยามนี้เป่ยหรงอ๋องยังมิได้เตรียมตัวที่จะกลืนกินต้าฉู่ แต่เขาก็ไม่รังเกียจที่จะดึงรั้งม่อซิวเหยาที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงครามตั้งแต่อายุยังน้อยแทนซีหลิง บางทีเขาอาจได้ประโยชน์จากการทำเช่นนี้ ดังนั้น…เขาก็สมควรตาย!