ทหารในชุดดำไหลทะลักออกมาจากหัวถนนประหนึ่งน้ำหลาก พุ่งตรงตามถนนไปยังปากประตูเมืองที่มีการฆ่าฟันกันอยู่ ก่อนหน้านี้หนึ่งเค่อ ประตูเมืองที่ล้มพับลงกับพื้น ปิดลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารซีหลิงที่แย่งกันบุกเข้ามาในเมืองเจียงซย่าเพื่อสร้างผลงานเกิดตื่นกลัวขึ้น ด้วยเพราะรู้ตัวว่าพวกตนกลายเป็นปลาที่อยู่ในอวน สัตว์ที่อยู่ในกรงเสียแล้ว
ทหารในชุดดำทั้งหลายกระจายไปตามจุดที่จำเป็นอย่างเป็นระเบียบ บนกำแพงเมืองที่เดิมมีทหารในชุดเทาของซีหลิงอยู่เต็มไปหมด จู่ๆ ก็มีทหารในชุดดำจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามา จนเกิดการฆ่าฟันขึ้นอีกครั้ง
ไกลออกไป เจิ้นหนานอ๋องเมื่อเห็นว่ามีทหารในชุดดำปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงเมืองอย่างกะทันหัน สีหน้าจึงดูเปลี่ยนไปมาก จากนั้นก็เห็นเงาในชุดสีแดงอันโดดเด่นปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงเมือง ร่างของเขาประหนึ่งมังกรเจียวหลงที่พัดทุกอย่างให้หายไป
“ท่านอ๋อง นั่นเฟิ่งจือเหยาพ่ะย่ะค่ะ คนเมืองหลวงของต้าฉู่เรียกเขาว่าคุณชายเฟิ่งซาน เป็นบุตรชายสายรองของคหบดีอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ถูกขับออกจากตระกูลตั้งแต่เด็กๆ เขาติดตามม่อซิวเหยาไปออกรบตั้งแต่อายุเพียงสิบกว่าปี เป็นคนที่ม่อซิวเหยาให้ความเชื่อใจเป็นอย่างมาก เขามาปรากฏตัวที่นี้ หมายความว่าทัพเสริมของกองทัพตระกูลม่อต้องมาถึงแล้วแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องใบหน้านิ่งขรึม เอ่ยเสียงขรึมว่า “บุกต่อไป!”
กลองศึกดังสนั่นขึ้น เงาในชุดสีดำและสีเทาต่างเข้าห้ำหั่นกันจนกลายเป็นผืนเดียว แต่ประตูเมืองของเจียงซย่ากลับผลักเปิดออกไม่ได้อีกเลย จนเมื่อพลธนูจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนกำแพงเมือง และลูกธนูคมถูกยิ่งออกไปยังกลุ่มคนด้านนอกเมืองประหนึ่งห่าฝนนั้น เงาบางในชุดสีขาวร่างหนึ่งถึงได้ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนกำแพงเมือง
คนที่ยืนอยู่ข้างกายนางคือหนานโหว มู่หยางและจั๋วจิ้ง ทั้งๆ ที่มีเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว แต่ชุดหลัวสีขาวดุจหิมะกลับไม่เปื้อนคราบเลือดเลยแม้แต่น้อย ขุดสีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่เปื้อนแม้เศษดินทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกและรังสีสังหารอย่างชัดเจน
เยี่ยหลียืนอยู่บนกำแพงเมือง ทอดสายตามองไกลออกไปยังเบื้องล่างตรงจุดที่มีธงของหัวหน้าผู้บัญชาการทหารของซีหลิง ถึงแม้จะเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่ยังคงรับรู้ได้ถึงบารมีอันยิ่งใหญ่และความโกรธเกรี้ยวที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน มุมปากของนางยกยิ้มเยาะขึ้น ก่อนเอ่ยสั่งเสียงเย็นว่า “ทหารซีหลิงที่ล่วงล้ำเข้าไปในเจียงซย่าอย่าให้เหลือรอดแม้แต่ผู้เดียว ศพทั้งหมดจับโยนออกนอกเมือง!”
จั๋วจิ้งพยักหน้า “ข้าน้อยรับบัญชา”
เยี่ยหลีหันกลับไปมอง ส่งยิ้มอย่างท้าทายไปยังจุดหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
“นั่นคือชายาติ้งอ๋องหรือ” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยถามเสียงขรึม
ผู้บัญชาการทหารที่ยืนอยู่ข้างกายเขามองไปยังหญิงสาวที่สง่างามอยู่ในชุดขาวเหนือกำแพงเมือง ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ดูท่าจะเป็นชายาติ้งอ๋องจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
อันที่จริงคนที่เคยพบหน้าชายาติ้งอ๋องจริงๆ นั้นมีไม่มากนัก เพียงแต่ในยามนี้สตรีที่สามารถปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงเมืองเจียงซย่าพร้อมกับกองทัพตระกูลม่อได้ น่าจะเป็นชายาติ้งอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย
เจิ้นหนานอ๋องมองนางอยู่พักใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น “ดี! น่าสนุก…ชายาติ้งอ๋องหรือ มีแต่คนบอกว่าสตรีของต้าฉู่นั้นบอบบาง แต่ชายาติ้งอ๋องผู้นี้ แม้แต่สตรีชั้นสูงของแคว้นซีหลิงของข้าก็ยังสู้ไม่ได้ มิน่าถึงได้สามารถทำให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นตกใจกลัวได้ถึงเพียงนั้น”
ผู้บัญชาการทหารที่อยู่ข้างกายเขายกยิ้มอย่างแข็งขืน ไม่รู้ว่าจะเห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยชมชายาติ้งอ๋องดีหรือไม่ แต่ในยามนี้ ชายาติ้งอ๋องผู้นี้ที่เป็นคนทำแผนยึดเมืองเจียงซ่าของพวกเขาในวันนี้เสียมิใช่หรือ อีกอย่างพวกทหารที่บุกเข้าไปในเมืองเจียงซย่านั้น เกรงว่ายามนี้คงจะไม่รอดออกมาแน่แล้ว หากเป็นเช่นนี้ กำลังทหารที่พวกเขาเสียให้กับเมืองเล็กๆ อย่างเจียงซย่า คงมากกว่ากำลังทหารที่เสียไปในช่วงนี้รวมกันเสียอีก ซึ่งเรื่องนี้คงส่งผลต่อขวัญและกำลังใจของทัพใหญ่ซีหลิงมากโขทีเดียว
“ท่านอ๋อง ทหารที่บุกเข้าไปในเมือง…”
เจิ้นหนานอ๋องโบกมือพร้อมส่ายหน้า “สายไปเสียแล้ว บุกโจมตีเมืองเต็มกำลัง! คนที่จับเป็นชายาติ้งอ๋องได้ จะแต่งตั้งขึ้นเป็นขุนนางเชียนฮู่โหว
“พ่ะย่ะค่ะ”
เวลาล่วงไปจนเกือบเที่ยงคืน ในที่สุดซีหลิงก็ส่งสัญญาณให้ถอยทัพกลับ ในขณะที่ยังไม่รู้ว่ากองทัพตระกูลม่อมีจำนวนทหารในทัพเสริมอยู่มากน้อยเพียงใดนั้น การบุกอย่างหนักหน่วงโดยไม่หยุดพักเช่นนี้มิใช่การกระทำที่ฉลาดนัก หากกองทัพทั้งสองฝ่ายมีกำลังใกล้เคียงกัน สุดท้ายแล้วก็เป็นไปได้สูงว่าทั้งสองฝ่ายจะเสียหายและบาดเจ็บอย่างหนัก อีกทั้งถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นดินแดนของตงฉู่ ตงฉู่จึงสามารถมีกำลังทหารและเสบียงอาหารมาคอยเสริมได้ตลอดเวลา ส่วนพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขาได้จากเมืองซิ่นหยางน้อยกว่าที่คาดไว้อย่างชัดเจน จึงยิ่งต้องระมัดระวังในทุกๆ ด้านเอาไว้ก่อน หากประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังได้เลยทีเดียว
เมื่อเห็นทหารของซีหลิงถอยทัพกลับไปตามเสียงสัญญาณอย่างรวดเร็วแล้ว ทหารบนกำแพงเมืองต่างถอนใจด้วยความโล่งอก นายทหารของเจียงซย่าที่ยังเหลืออยู่ถึงขั้นตะโกนร้องออกมาด้วยความยินดีอย่างอดไม่อยู่
หยวนเผยอยู่ในชุดเปื้อนเลือดที่แห้งกรังไปแล้วบางส่วน เดินเข้ามาหาเยี่ยหลีด้วยท่าทีอ่อนล้า “ข้าหยวนเผย แม่ทัพรักษาการณ์เมืองเจียงซย่า คารวะพระชายา!”
เยี่ยหลีรีบยื่นมือไปประคองเขาขึ้นมา ไม่ให้เขาคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมเอ่ยเสียงขรึมว่า “ลำบากท่านแม่ทัพแล้ว ข้ามาช้าเอง จึงทำให้ท่านต้องเหนื่อยเช่นนี้”
สีหน้าหยวนเผยดูซาบซึ้งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดมีประกายหยดน้ำขึ้นอย่างอดไม่อยู่ เอ่ยเสียงดังว่า “ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยไร้ความสามารถ ถึงได้ทำให้เจียงซย่าเกือบตกอยู่ในมือของซีหลิง มิกล้าเอ่ยว่าลำบากได้พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “สถานการณ์บีบบังคับให้เป็นเช่นนี้ หาใช้ความผิดของท่านแม่ทัพไม่ พวกเราอย่าได้พูดคุยเรื่องนี้กันอีกเลย ท่านแม่ทัพนำคนไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด เมืองเจียงซย่านี้ยกให้พวกเราดูแลชั่วคราวก็แล้วกัน”
หยวนเผยพยักหน้าหนักๆ
เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “แม่ทัพหยวนโปรดวางใจเถิด เฟิ่งซานไม่มีทางให้คนซีหลิงเหยียบย่างเข้ามาในเจียงซย่าได้แม้แต่ก้าวเดียวอย่างแน่นอน”
หยวนเผยเองก็ไม่เกรงใจ ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็ลำบากแม่ทัพเฟิ่งแล้ว”
หลังจากวางกำลังดูแลรักษาเมืองใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีถึงได้เดินนำทุกคนลงจากกำแพงเมือง เดินลงจากกำแพงเมืองได้ไม่เท่าไร ก็เห็นเหลิ่งฉิงอวี่ยืนถือดาบที่มีคราบเลือดอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนเดินเข้าไปเอ่ยถามว่า “แม่ทัพเหลิ่ง ยังสบายดีหรือไม่”
เหลิ่งฉิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี ฝืนยิ้มพร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “แม่ทัพที่ทำศึกพ่ายแพ้ ยังจะมีอันใดสบายดีไม่สบายดีอีกหรือ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยว่า “แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาของการเป็นทหาร เรื่องนี้มิใช่ความผิดของแม่ทัพเหลิ่งเสียทีเดียว แม่ทัพรักษาตัวด้วย”
เหลิ่งฉิงอวี่อึ้งไป พักหนึ่งถึงได้พูดขึ้นว่า “ขอบพระคุณพระชายา”
เมื่อมองส่งเยี่ยหลีเดินจากไปแล้ว เหลิ่งฉิงอวี่หันมองดาบในมือก่อนเก็บเข้าฝัก บางทีสิ่งที่ชายาติ้งอ๋องเอ่ยอาจจะไม่ผิด บางทีความพ่ายแพ้ในครั้งนี้อาจมิใช่ความผิดของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพียงแต่ในยามนี้มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถแบกรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ได้ ยังโชคดี…ที่เจียงซย่ายังอยู่ และกองทัพตระกูลม่อมาถึงแล้ว
“แม่ทัพเหลิ่ง” เหลิ่งฉิงอวี่กำลังจะหมุนตัวเดินออกไป ก็ได้ยินเสียงหนานโหวเรียกขึ้นจากด้านหลัง
หนานโหวยืนอยู่ริมถนน ดูแก่ชราและเหนื่อยล้ากว่าคราที่แล้วที่ได้พบกันมากนัก ศึกครานี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นได้ไม่เท่าไร แต่พวกเขาหลายคนกลับดูประหนึ่งแก่ลงไปแล้วเป็นสิบปี
หนานโหวมองเหลิ่งฉิงอวี่อยู่พักใหญ่ ถึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “แม่ทัพเหลิ่ง ไม่รู้ว่า…มีข่าวเฉวี่ยนเอ๋อร์บ้างหรือไม่”
เหลิ่งฉิงอวี่เอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “วันนั้นข้าศึกโจมตีพวกเราอย่างกะทันหัน ซื่อจื่อนำทหารส่วนหนึ่งแยกออกไปเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู…เสียหายทั้งหมด…ท่านโหว ขอโทษด้วย…”
“ข้ารู้แล้ว” ประกายในดวงตาที่อ่อนล้าของหนานโหวค่อยๆ จางหายไป เขาถอนใจเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ หมุนตัวเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยลาเหลิ่งฉิงอวี่
เหลิ่งฉิงอวี่มองแผ่นหลังที่เปล่าเปลี่ยวและสิ้นหวังของหนานโหว แล้วรู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงกระดูก ครั้งหนึ่ง เขาเคยนึกอยากมาทำศึกในสนามรบเช่นนี้อย่างมาก เขาคิดว่าสนามรบจะทำให้เลือดในกายเขาเร่าร้อน เป็นสิ่งที่ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดการแย่งชังกันอย่างบ้าคลั่ง แต่ในยามนี้ เขาเพิ่งได้เข้าใจว่าเบื้องหลังความเร่าร้อนนั้น มีแต่ความหนาวเหน็บและเจ็บปวดซ่อนอยู่
เจียงซย่าเป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง คณะของเยี่ยหลีจึงพักอยู่ในจวนของหยวนเผยเป็นการชั่วคราว จวนท่านแม่ทัพที่ว่านั้น ก็เป็นเพียงเรือนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่หลังหนึ่งภายในตัวเมืองเจียงซย่าเท่านั้น นายทหารอาวุโสอย่างหยวนเผยหรือจางฉี่หลัน ไม่ว่าคนใดต่างก็มีผลงานไม่น้อยหน้าไปกว่าแม่ทัพเจิ้นกั๋วหรือมู่หรงเซิ่นเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยเพราะพวกเขาเป็นแม่ทัพของกองทัพตระกูลม่อ พวกเขาถูกกดให้ต้องย้ายมาอยู่ยังที่ห่างไกล จนไม่มีวันได้รับเกียรติยศและความเคารพอย่างที่พวกเขาควรได้อย่างแท้จริง
ด้วยเพราะการมาของเยี่ยหลี หยวนเผยจึงได้ให้ภรรยาและบุตรของตนย้ายจากเรือนประมุขไปอยู่เรือนด้านหลัง เยี่ยหลีมิได้ปฏิเสธด้วยเพราะเข้าใจถึงความตั้งใจของหยวนเผยและความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อตำหนักติ้งอ๋อง นางเลือกเข้าไปพักอยู่ในห้องหนึ่ง ยังไม่ทันได้เก็บของดี ก็รีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างลวกๆ ก่อนเดินออกไปยังโถงหน้าเพื่อหารือเรื่องการศึกกับทุกคน
ยามที่เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในห้องหนังสือนั้น ภายในห้องหนังสือมีคนนั่งกันอยู่เต็มห้องแล้ว พวกเขากำลังหารือเรื่องบางอย่างกันอยู่อย่างดุเดือด เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาถึงได้นิ่งลง
หยวนเผยเดินเข้ามาเชิญเยี่ยหลีให้เข้าไปนั่งในตำแหน่งประธานด้วยตนเอง รอจนเยี่ยหลีนั่งลงแล้ว จึงได้จัดเครื่องแบบของตนอีกครั้ง ก่อนก้าวขึ้นหน้าไปทำความเคารพ “ข้าน้อยขอบพระคุณพระชายาที่ได้ช่วยชีวิตไว้พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีได้แต่ถอนใจเบาๆ ส่งสัญญาณให้จั๋วจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ เข้าไปประคองเขาให้ลุกขึ้น
“แม่ทัพหยวน พิธีการไร้สาระพวกนี้ ช่างมันเถิด ลุกขึ้นยืนคุยกันเถิด” เยี่ยหลีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
หยวนเผยลุกขึ้นยืนหมุนตัวกลับไปนั่งลงยังที่ของตน “เรียนพระชายา ยามนี้มีทหารซีหลิงจำนวนสามแสนนายอยู่ด้านนอกเมืองเจียงซย่า คาดว่าอย่างไรคงคิดอยากยึดเมืองเจียงซย่าให้ได้ ข้าน้อยได้ข่าวมาว่า ทัพเหนือและทัพใต้ก็กำลังค่อยๆ เคลื่อนพลมายังเจียงซย่า เมื่อใดที่ทัพทั้งสามกลับรวมตัวกัน ทัพของข้าอย่างไรก็จะยังคงต่อสู้อย่างกล้าหาญต่อไป เพียงแต่เจียงซย่าเป็นเมืองเล็กๆ ประชาชนอ่อนแอ เสบียงคลังทางทหารขาดแคลน ถึงยามนี้เกรงว่าคงไม่มีกำลังมากพอจะต้านทัพใหญ่ห้าแสนนายที่ล้อมเมืองเอาไว้ได้ ขอพระชายาได้โปรดเตรียมวางแผนแต่เนิ่นๆ เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “ขอบคุณแม่ทัพหยวนที่เตือน ในใจข้าพอรู้อยู่บ้าง ส่วนเรื่องเสบียงอาหารนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง ราชสำนักย่อมส่งเสบียงอาหารที่เพียงพอมาให้อย่างแน่นอน หนานโหว มู่ซื่อจื่อ พวกท่านว่าใช่หรือไม่”
หนานโหวกำลังใจลอยอยู่เล็กน้อย เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนั้นถึงได้เงยหน้าขึ้น ยิ้มน้อยๆ “พระชายาเอ่ยถูกต้องแล้ว พวกเราสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในสนามรบ ราชสำนักและฝ่าบาทย่อมไม่ทำให้เหล่าทหารที่อยู่แนวหน้าต้องลำบากพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีหันมองหนานโหว มองเห็นความอ่อนล้าและโศกเศร้าในแววตาของเขาอย่างชัดเจน เหลิ่งฉิงอวี่เอ่ยสิ่งใดกับเขานั้นนางไม่รู้ แต่ก็พอคาดเดาได้คร่าวๆ ด้วยเพราะจนถึงยามนี้ ยังคงไม่มีข่าวของหนานโหวซื่อจื่อเลย ซึ่งอดทำให้คิดไปในทางร้ายไม่ได้ นางมองหนานโหวด้วยความเป็นห่วง หนานโหวพยักหน้าน้อยๆ ให้นางเป็นการบอกว่าเขาไม่เป็นอันใด
ถึงแม้หนานโหวจะบอกเช่นนั้น แต่สีหน้าของทุกคนยังคงไม่สู้ดีเท่าไรนัก หลายปีมานี้ ทหารในกองทัพตระกูลม่อต่างไม่ค่อยมีความหวังกับท่านผู้นั้นในวังเสียนานแล้ว เยี่ยหลีเห็นสีหน้าของทุกคนอย่างชัดเจน แต่มิได้พูดอันใด เพียงหันไปหารือเรื่องการศึกกับทุกคนต่อไปเท่านั้น
จนเมื่อหารือกันเสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนต่างเอ่ยขอตัวลา หนานโหวยังคงนั่งอยู่ในที่ของตนโดยไม่ลุกออกไป เดิมทีเยี่ยหลีนึกว่าหนานโหวมีอันใดอยากพูดคุยกับนาง แต่เมื่อทุกคนเดินออกไปกันจนหมดแล้ว ถึงได้พบว่า หนานโหวเพียงกำลังใจลอยเท่านั้น นางขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความเป็นห่วง ก่อนเอ่ยเรียกว่า “ท่านโหว”
แววตาหนานโหวยังคงว่างเปล่า พักใหญ่ถึงได้พอเรียกสติกลับมาได้บ้าง แต่ยังคงหันมองเยี่ยหลีอย่างใจลอย อีกครู่ใหญ่ถึงได้ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “พระชายา รบกวนแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ท่านโหว ฐานะของซื่อจื่อไม่เหมือนกัน ยามนี้ที่ยังไม่มีข่าวถือเป็นเรื่องดี ขณะนี้ยังมีเรื่องใหญ่ๆ ในกองทัพอีกมากที่ท่านโหวต้องตัดสินใจ หวังว่าท่านโหวจะรักษาตัวด้วย”
หนานโหวฝืนยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี “กั๋วกงผู้เฒ่าเคยบอกไว้ว่า พระชายามิใช่คนธรรมดา ตลอดเส้นทางมานี้ข้าได้เห็นแล้ว เรื่องทางการทหารคงต้องลำบากพระชายาแล้ว ข้า…ข้าเกรงว่าตัวข้าคงไม่มีเรี่ยวแรงพอ”
“ท่านโหว…”
เยี่ยหลียังอยากพูดอันใดอีก แต่หนานโหวโบกมือแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอตัวก่อน พระชายาเองก็รีบพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีมองหนานโหวก้าวเดินออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ในที่สุดจึงตัดสินใจกลืนคำพูดที่ริมฝีปากลงไป “ท่านโหวค่อยๆ เดิน”