กลางดึก เยี่ยหลีเดินไปมาอยู่บนระเบียงทางเดินที่คดเคี้ยวไปมาของห้องหนังสือ เงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วมองพระจันทร์โค้งที่ใกล้จะเต็มดวงเข้าไปทุกที ใกล้จะถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงอีกคราแล้ว ข่าวคราวของม่อซิวเหยาที่เดินทางไปเป่ยหรงนั้นยังคงเงียบกริบ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นางอดรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ อีกทั้งด้วยสถานการณ์ในยามนี้ หนานโหวได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่อยากจัดการเรื่องใดๆ อีก ส่วนนี่ก็เป็นการควบคุมทหารหลายแสนนายครั้งแรกของตน ในใจของนางนั้นมิได้มีความมั่นใจและเยือกเย็นอย่างที่แสดงออกมาภายนอกเลยแม้แต่น้อย ซิวเหยา…ยามนี้ท่านอยู่ที่ใด…
“ผู้ใดกัน! ออกมาเดี๋ยวนี้!” ภายใต้แสงจันทร์ เยี่ยหลีหันขวับพร้อมชี้นิ้วไปยังปลายทางเดินที่อยู่เบื้องหลัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งถึงได้เดินออกมาจากโค้งระเบียงทางเดิน เยี่ยหลีอึ้งไปเล็กน้อย คิ้วเรียวเลิกขึ้น ดวงตาที่เรียบเย็นหรี่ลงเล็กน้อย “มู่ซื่อจื่อ ดึกดื่นเช่นนี้ท่านออกมาทำอันใดที่นี่หรือ”
ใบหน้ามู่หยางที่มองมือที่ชี้มายังตนของเยี่ยหลี เต็มไปด้วยความสับสน ภายใต้นิ้วมือที่เรียวยาวประหนึ่งหยกของนางซ่อนอาวุธลับไว้ มู่หยางกระแอมไอเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า “ข้าน้อยมิได้ตั้งใจที่จะรบกวน หากทำให้พระชายาตกใจ ข้าน้อยขออภัยด้วย”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เก็บอาวุธลับกลับเข้าแขนเสื้อด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่ข้างหูเบาๆ เอ่ยถามว่า “ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว มู่ซื่อจื่อมีอันใดจะคุยกับข้าหรือ”
มู่หยางมีสีหน้าประหลาด ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยๆ อย่างรวดเร็ว “พระชายามีความคิดรวดเร็วไม่เหมือนคนธรรมดา ข้าน้อยเพียงแค่…หนานโหวเห็นด้วยที่จะยกอำนาจทางการทหารทั้งหมดให้กับพระชายาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ยิ้มน้อยๆ “ซื่อจื่อถึงแม้จะมีฐานะเป็นมู่หยางโหวซื่อจื่อ แต่ก็มิใช่ตัวท่านมู่หยางโหวเอง อีกทั้ง ต่อให้เป็นท่านมู่หยางโหวเองก็ไม่มีอำนาจที่จะสอบถามเรื่องทางการทหาร ซื่อจื่อ ท่านเป็นเพียงเสี้ยวเว่ยคนหนึ่งของรองแม่ทัพใหญ่หนานโหวเท่านั้น”
เขามิได้โกรธที่เยี่ยหลีเอ่ยวาจาดูถูกเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เขาเอามือไพล่หลังเอนตัวพิงราวระเบียงพร้อมเอ่ยเรียบๆว่า “ข้าน้อยนึกว่าพระชายารู้ถึงความหมายและบทบาทที่แท้จริงของตำแหน่งเสี้ยวเว่ยของข้านี้เสียอีก”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “เช่นนั้นแล้วอย่างไร หนานโหวใจสลายด้วยเพราะไม่รู้ความเป็นความตายของหนานโหวซื่อจื่อ จนไม่มีกำลังในการควบคุมกองทัพทั้งสาม ยามนี้ทัพใหญ่ของซีหลินมาถึงนอกเมืองแล้ว มู่เสี้ยวเว่ยมีความเห็นว่าควรทำเช่นไรหรือ”
เมื่อต้องเผชิญกับหญิงสาวที่สุขุมเช่นนี้ ทำให้มู่หยางอ่อนล้าและไม่รู้จะรับมือเช่นไรดี เขาย่อมรู้ความหมายของชายาติ้งอ๋องเป็นอย่างดี เดิมทีจะอาศัยฐานะของหนานโหวในการรวมอำนาจการควบคุมกองทัพตระกูลม่อก็ลำบากมากพออยู่แล้ว ยิ่งในยามนี้แม้แต่เวลาจะเปลี่ยนตัวหัวหน้าแม่ทัพก็ยังไม่มี ถึงแม้เขาจะมีฐานะเป็นซื่อจื่อ แต่ตำแหน่งทางการทหารก็เป็นเพียงเสี้ยวเว่ยเท่านั้น อย่าว่าแต่บัญชาการกองทัพตระกูลม่อเลย เกรงว่าต่อให้คิดอยากจะบัญชาการกองทัพตระกูลม่อเพียงหน่วยหนึ่ง หากพระชายาไม่พยักหน้าเห็นด้วย อย่างไรก็คงไม่มีคนรับฟังคำสั่งเขาอย่างแน่นอน
แต่ไหนแต่ไรมามู่หยางมิใช่คนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมีความคิดที่จะแย่งชิงอำนาจในกองทัพตระกูลม่อไป เพียงแต่ สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนในยามนี้เป็นเพียงเด็กสาวที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบปีดี แต่รังสีบารมีและความเฉียบคมในท่วงท่าของนางนั้น กลับทำให้ชายร่างสูงใหญ่กว่าเจ็ดฉื่ออย่างเขาอดรู้สึกนับถือไม่ได้ สตรีเช่นนี้ ถือได้ว่าเกินกว่าขอบเขตและบทบาทของสตรีที่มู่หยางเข้าใจไปมากทีเดียว ประหนึ่งนางมิจำเป็นต้องพึ่งพาผู้ใด ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้นางเดือดร้อนได้ และไม่มีผู้ใดสามารถขวางหน้านางไว้ได้กระนั้น
จู่ๆ มู่หยางก็นึกถึงบุรุษหล่อเหลาที่แม้จะเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น แต่ยังคงสง่างามและเป็นธรรมชาติ ในโลกนี้ดูเหมือนจะมีแต่บุรุษเช่นนี้เท่านั้นถึงจะเหมาะสมกับสตรีเช่นนาง
“มู่ซื่อจื่อ” เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองชายตรงหน้าที่ยืนจ้องมาทางตน
มู่หยางตั้งสติกลับมาได้ เพียงหัวเราะแก้เก้อแต่มิได้เอ่ยอันใด
มู่หยางเอ่ยว่า “ยามนี้ความวุ่นวายทางใต้ที่หลีอ๋องก่อขึ้นยังไม่ทันสงบเรียบร้อย ซีหลิงก็บุกเข้ามาในเขตแดนของเราอีก ทางเหนือยังมีเป่ยหรงที่จ้องเราอยู่ตาเป็นมัน ผู้ที่สามารถกวาดล้างศัตรูออกไปได้ มีเพียงตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อเท่านั้น ถึงแม้มู่หยางจะมิใช่คนมีความสามารถ แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องในใต้หล้าต้องมาก่อน เหตุใดจะต้องทำให้พระชายาลำบากด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีมองประเมินเขา ยิ้มเรียบๆ “มู่ซื่อจื่อไม่สร้างความลำบากให้กับข้า ไม่กลัวว่าท่านผู้นั้นในวังจะทำให้ท่านลำบากหรือ”
มู่หยางหัวเราะเสียงใส “ขอบพระคุณพระชายาที่เป็นห่วง เรื่องนี้ข้าน้อยย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ข้าน้อยมีเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งอยากให้พระชายารับปาก”
“ซื่อจื่อมีอันใดโปรดพูดออกมาได้เลย”
มู่หยางนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่รู้ว่าตระกูลบิดาของข้าน้อยกับตำหนักติ้งอ๋องเคยมีเรื่องที่ผิดใจกันมาก่อนหรือไม่ แต่ข้าน้อยหวังเพียงว่าต่อไปพระชายาได้โปรดเห็นแก่หน้าของข้าน้อย โปรดเมตตาด้วย”
เยี่ยหลีประหลาดใจ พักใหญ่ถึงได้ถอนใจออกมาเบาๆ “มู่หยางโหวช่างมีบุตรชายที่ดีจริงๆ มีบุตรชายเช่นท่าน ท่านมู่หยางคงสามารถอยู่อย่างสงบได้ไปตลอดชีวิต ตกลง ข้ารับปากเจ้า”
มู่หยางประสานมือเอ่ยว่า “ขอบพระคุณพระชายา”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้อตกลงกับซื่อจื่อในครานี้ข้ามิได้เสียเปรียบอันใดเลย เพราะถึงอย่างไรยามนี้หากเทียบกับการศึกแล้ว เรื่องบุญคุณเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดแม้แต่น้อย”
มู่หยางหัวเราะเสียงต่ำ “พระชายาเอ่ยเช่นนี้ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม “ข้าพลั้งปากไป ซื่อจื่ออย่าได้ถือโทษ ดึกแล้ว ซื่อจื่อรีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
“พระชายา โปรดรอสักครู่!” มู่หยางเอ่ยเรียกด้วยความรีบร้อน “พระชายา ขอถามว่า…ท่านมีข่าวของเหยาจีบ้างหรือไม่”
เยี่ยหลีหันกลับมามองด้วยความคาดไม่ถึง ภายใต้แสงจันทร์ นางเห็นสีหน้าแห่งความคิดถึงและเป็นห่วงเป็นใยที่เขามิได้ปิดบังเอาไว้แม้แต่น้อย
เยี่ยหลีส่ายหน้า เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของมู่หยาง จึงได้เปิดปากเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ กับเรื่องบางเรื่อง กับคนบางคน เมื่อพลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว”
มู่หยางจ้องมองนางอย่างไม่เห็นด้วย “พระชายารู้ได้อย่างไรว่ากระจกที่แตกแล้วจะกลับมาประสานกันไม่ได้อีก”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าซื่อจื่อจะสามารถประสานกระจกที่แตกแล้วได้หรือไม่ เพียงแต่…กระจกนั้น ต่อให้กลับมาประสานกันอีกครั้ง ก็มิอาจปกปิดรอยแตกร้าวได้ อีกอย่าง…ซื่อจื่อมีวิธีที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจอย่างนั้นหรือ”
ใบหน้าของมู่หยางมีประกายท้อแท้และคิดไม่ตก
เยี่ยหลีมิได้พูดอันใดอีก หมุนตัวเดินจากไป พร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “หมกมุ่นในรักมักติดขัดในทางธรรม อยากหลีกหนีจากโลกมนุษย์แต่เฝ้าถวิลหาหญิงงาม ในโลกนี้ใดเลยจะสมใจทั้งสองอย่าง รังแต่จะเสียการไปทั้งหมด”
“ในโลกนี้ใดเลยจะสมใจทั้งสองอย่าง…” มู่หยางเอ่ยพึมพำเสียงเบา มุมปากยกยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างขมขื่น เขามิอาจโน้มน้าวให้เหยาจีให้มาเป็นอนุในจวนมู่หยางโหวได้ฉันใด เขาก็มิอาจก็โน้มน้าวให้บิดามารดาที่แสนหยิ่งทระนงยอมรับเหยาจีให้มาเป็นสะใภ้ได้ฉันนั้น มีแต่จะทำให้เสียการไปทั้งหมด ไม่รู้ว่าผู้ที่เขียนกลอนบทนี้จะเคยประสบกับช่วงเวลาที่ต้องดิ้นรนและเจ็บปวดเช่นเดียวกับเขาหรือไม่
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น น่าแปลกที่ทัพใหญ่ซีหลิงมิได้ยกทัพเข้ามาบุกอีกครั้ง เยี่ยหลีนั่งอยู่ในห้องหนังสือ สะสางข่าวสารต่างๆ ที่ส่งมาจากแนวหน้ารวมถึงข้อมูลวิเคราะห์ทางการทหารต่างๆ
ที่หนานโหวกล่าวว่าตนไม่มีกำลังจะทำสิ่งใดนั้น มิได้เป็นการกล่าวอ้างเพื่อบอกปัดแต่อย่างใด เช้าตรู่วันนี้ ตั้งแต่เยี่ยหลีเพิ่งตื่นนอนได้ไม่เท่าไร ก็มีคนเข้ามารายงานว่า หนานโหวล้มป่วยหนัก ถึงแม้ในเมืองเจียงซย่าจะไม่มีหมอที่มีชื่อเสียง แต่โชคดีที่หมอทหารประจำกองทัพตระกูลม่อมีฝีมือทางการแพทย์เป็นเลิศ จึงรีบเข้าไปช่วยตรวจดูอาการ แล้วกลับมารายงานเยี่ยหลีว่า ถึงแม้หนานโหวจะอายุยังไม่มากนัก แต่ด้วยเพราะอยู่อย่างสบายมานาน ในครานี้เมื่อต้องมาเดินทัพอย่างยากลำบาก จึงทำให้เหน็ดเหนื่อยจนเกินไป ประกอบกับมีเรื่องร้อนใจ และคิดมากจนเกินไปจึงทำให้เกิดล้มป่วยกะทันหัน
ในช่วงเวลาที่ทำอันใดไม่ได้มากเช่นนี้ เยี่ยหลีจึงได้แต่ส่งคนไปคอยดูแล อีกด้านก็ให้คนเร่งออกตามหาหนานโหวซื่อจื่อเป็นการด่วน พอดีกับที่ฉินเฟิงปฏิบัติภารกิจเป็นที่เรียบร้อยและเดินทางกลับมาถึงเจียงซย่าเมื่อคืนตอนค่ำพอดี เยี่ยหลีจึงเรียกให้เขามาพบที่ห้องหนังสือแต่เช้า และสั่งการให้เขาออกตามหาหนานโหวซื่อจื่ออีกแรง
“พระชายา อวิ๋นเสี้ยวเว่ยมีเรื่องวิวาทอยู่ที่ลานฝึกพ่ะย่ะค่ะ!” ในขณะที่กำลังพูดธุระอยู่กับฉินเฟิงนั้น ด้านนอกประตูก็มีคนกระหืดกระหอบเข้ามารายงาน
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม ผินหน้าไปพูดกับฉินเฟิงและจั๋วจิ้งว่า “หลายวันนี้เร่งร้อนเดินทาง วานนี้ก็เพิ่งมีศึกใหญ่ เช้าวันนี้มีแรงลุกขึ้นมาวิวาทกันแล้ว ดูท่าพวกเราคงจะประเมินกำลังกองทัพตระกูลม่อของเราต่ำเกินไปเสียแล้ว”
จั๋วจิ้งยกมือขึ้นลูบจมูก หัวเราะเสียงต่ำ “พระชายากล่าวถูกต้องแล้ว”
เยี่ยหลีลุกขึ้นพร้อมยกมือนวดไหล่ “ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็ไปดูสักหน่อยเถิด”
ด้วยเพราะเป็นยามที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ค่ายทหารของกองทัพตระกูลม่อจึงตั้งอยู่บริเวณลานโล่งไม่ไกลจากเมืองเจียงซย่า เส้นทางโดยรอบมีทหารเฝ้าระวังอยู่อย่างแน่นหนา โดยใช้ลานโล่งกลางค่ายทหารเป็นลานฝึกช่วยคราว
ยามที่คณะของเยี่ยหลีเดินไปถึงนั้น อวิ๋นถิงกำลังต่อสู้เป็นพัลวันอยู่กับพลทหารอายุอานามใกล้เคียงกันผู้หนึ่งอยู่ ด้านข้างมีผู้บัญชาการทหารระดับสูงของกองทัพตระกูลม่อกับพลทหารจำนวนมากคอยตะโกนปลุกเร้าอยู่ด้วย
มู่หยางที่ยืนดูความสนุกอยู่ด้านข้างมองเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก่อน จึงหันไปยิ้มให้นาง เยี่ยหลีพยักหน้ารับน้อยๆ ฉินเฟิงและจั๋วจิ้งที่เดินนำหน้าแหวกกลุ่มคนที่ยืนดูอยู่ออกเป็นทาง ทุกคนกำลังดูพลทหารหนุ่มอายุไล่เรี่ยกันแต่มีความสามารถโดดเด่นทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างเมามัน มีหลายคนที่เยี่ยหลีเดินมาจนถึงด้านหน้าแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
“พระชายา” มู่หยางเอ่ยปากเรียกนางขึ้นก่อน ทุกคนที่ยืนล้อมดูสถานการณ์อยู่ถึงได้เรียกสติกลับมาได้ หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยก่อนรีบคารวะเยี่ยหลี และมีคนที่คิดอยากเข้าไปแยกคนทั้งสองที่กำลังแลกหมัดกันอยู่ออกจากกัน
เยี่ยหลีโบกมือยิ้มๆ “ไม่เป็นไร รอให้พวกเขาสู้กันจนรู้แพ้รู้ชนะก่อนค่อยว่ากันเถิด”
ถึงแม้เยี่ยหลีจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เมื่อมีพระชายามาอยู่ ณ ลานฝึกด้วยเช่นนี้ เสียงตะโกนโวยวายเมื่อครู่จึงเงียบหายลงไปมาก นายทหารโดยมากต่างมีสีหน้าประดักประเดิดและระมัดระวังตัว
เยี่ยหลีมิได้สนใจ อมยิ้มหันไปเอ่ยถามมู่หยางที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “มู่ซื่อจื่อ ท่านว่าผู้ใดมีโอกาสชนะมากกว่ากันหรือ”
มู่หยางยิ้มอย่างมั่นใจ เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “ข้าน้อยว่าอวิ๋นถิงเสี้ยวเว่ยดูจะเหนือกว่าอยู่สักหน่อย”
ทันใดนั้น ผู้บัญชาการทหารที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าไม่เชื่อ ผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งปากไวเอ่ยออกมาว่า “เท่าที่ข้าเห็น ดูเฉินเสี้ยวเว่ยจะเก่งกาจกว่านะ!”
เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้ ทุกคนกลับไม่เห็นสีหน้าไม่พอใจของเยี่ยหลีเลยแม้แต่น้อย จึงอดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ และต่างส่งเสียงสนับสนุนนายทหารเสี้ยวเว่ยแซ่เฉินผู้นั้นกันอย่างชัดเจน
มู่หยางเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำกับเยี่ยหลีว่า “พระชายา ดูท่ากองทัพตระกูลม่อก็ไม่ชอบคนนอกอยู่ไม่น้อยเลยนะ”
ยามนี้อวิ๋นถิงเองก็เป็นคนของกองทัพตระกูลม่อ ทั้งยังเป็นคนที่พระชายารับเข้ามาด้วยตนเอง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่เข้ามาอย่างครึ่งๆ กลางๆ และเป็นคนที่ลอยเข้ามาเฉยๆ คนที่เป็นทหารต่างเป็นคนที่หยิ่งทระนง คนที่พวกเขาไม่ถูกชะตาจึงย่อมมีอยู่มาก
เยี่ยหลีมิได้สนใจ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในค่ายทหารผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะได้เป็นหัวหน้า มีการประมือกันบ้างนานๆ ทีมิใช่เรื่องเลวร้ายอันใด ขอเพียงไม่กระทบกับงานใหญ่เป็นใช้ได้”
ชาติที่แล้ว ในหน่วยทหารพิเศษที่นางอยู่ จะเลือกผู้ใดเข้ามาก็ต้องเป็นนายทหารที่เก่งกาจและล้ำเลิศทั้งสิ้น เมื่อมียอดฝีมือเช่นนี้มาอยู่รวมกันเป็นหมู่ใหญ่ จะให้ไม่มีความขัดแย้งกันบ้างได้อย่างไร และด้วยเพราะความขัดแย้งเช่นนี้เองที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้พวกเขาอยากฝึกฝนให้เก่งกาจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะผู้ที่อ่อนแอกว่าจะต้องถูกคัดออกไปในตอนท้าย ด้วยหลักการเดียวกัน ผู้บัญชาการทหารของกองทัพตระกูลม่อ จึงเป็นคนที่ได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาจากพลทหารธรรมดาทั่วไป และมีส่วนหนึ่งที่เป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของนายทหารที่สละชีพเพื่อตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้อวิ๋นถิงจะมีผลงานจากเมืองหย่งหลินมาก็ตาม แต่สำหรับนายทหารในกองทัพตระกูลม่อแล้ว ไม่ถือเป็นผลงานที่มีสาระอันใด อีกทั้งเขายังเป็นคนที่พระชายาผู้ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่างนางเป็นคนเลือกเข้ามาอีก
มู่หยางมองลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “พระชายากล่าวถูกต้องแล้ว”