ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 140 ทูตจากซีหลิน

 

 

บนเวที ทั้งสองออกอาวุธใส่กันเป็นพัลวัน ดาบยาวสามฉื่อในมือเยี่ยหลีฉวัดเฉวียนประหนึ่งงูพิษที่คอยพุ่งโจมตีเข้าใส่เฉินอวิ๋นตลอดเวลา เฉินอวิ๋นเองก็ไม่น้อยหน้า ร่ายรำหอกยาวในมืออย่างไม่ลดละ ทั้งสองฟาดฟันเข้าใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองใบหน้าอันเคร่งขรึมของพลทหารแล้วยิ้มน้อยๆ ดาบยาวในมือยกขึ้นเป็นท่านหานหงก่อนพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเฉินอวิ๋น เฉินอวิ๋นรีบดึงหอกมากันไว้ แต่กลับเห็นว่าวิถีดาบที่พุ่งเข้าใส่ตน ค่อยหมุนเปลี่ยนวิ่งล้อไปตามด้าบหอก เขาอึ้งไปเพียงเล็กน้อย เฉินอวิ๋นก็รู้สึกเพียงเย็นวาบขึ้นที่ลำคอ

 

 

ปลายดาบของเยี่ยหลีจออยู่ที่ลำคอของเขาเสียแล้ว ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งจับมั่นอยู่ที่ด้ามหอกของเขา

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย “เฉินเสี้ยวเว่ย”

 

 

เฉินอวิ๋นวางหอกในมือลง เอ่ยด้วยความเคารพเสียงขรึมว่า “พระชายาช่างมีเพลงดาบที่ยอดเยี่ยมนัก ข้าน้อยยอมแพ้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีเองก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ เก็บดาบลงพร้อมโยนส่งให้จั๋วจิ้งที่ยืนอยู่ข้างเวที แล้วหันกลับไปเอ่ยกลั้วหัวเราะกับผู้บัญชาการทหารทุกคนว่า “ยังมีแม่ทัพท่านใดไม่ยอมรับอีกหรือไม่ ลองขึ้นมาประลองกับข้าได้นะ”

 

 

ผู้บัญชาการทหารหันมองสบตากัน ชายวัยกลางคนร่างกายสูงใหญ่กำยำในมือถือกระบองเหล็กคู่คนหนึ่งก้าวขึ้นมาบนเวที ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “ข้าน้อยลู่เฟิง รองแม่ทัพตระกูลม่อเขตฉือโจวขอเรียนรู้จากพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ ก้าวถอยหลังไปสองก้าว แม่ทัพลู่ผู้นี้ไม่เหมือนกับเฉินอวิ๋นที่มีรูปร่างไม่สูงใหญ่นัก เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่อาศัยพละกำลังเป็นหลัง เพียงแค่กระบองเหล็กในมือคู่นั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องหลักหลายสิบจินด้วยกัน หากถูกอาวุธประเภทนี้ฟาดเข้าสักที ก็คงเคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สบายเท่าไรนัก เยี่ยหลีมิใช่คนที่ชอบบีบคั้นตนเอง ดังนั้นนางจึงควักกริชที่นางถนัดมือที่สุดออกมา

 

 

ลู่เฟิงมองกริชที่สะท้อนแสงเป็นประกายเย็นเยียบในมือเยี่ยหลีด้วยความประหลาดใจ “นี่คืออาวุธของพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “แม่ทัพลู่ เชิญ”

 

 

“เช่นนั้นข้าน้อยล่วงเกินแล้ว พระชายาโปรดระวังด้วย”

 

 

ลู่เฟิงพูดจบ ก็ยกกระบองในมือขึ้นเป็นท่าเฟิงเหลย พุ่งเข้าใส่เยี่ยหลีทันที

 

 

เยี่ยหลีหลบหลีกอย่างว่องไว กริชในมือสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายเย็นเยียบ

 

 

ด้านล่างเวทีทุกคนต่างรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ในขณะที่กริชปรากฏขึ้นบนมือเยี่ยหลีนั้น ดูอันตรายกว่ายามที่ในมือนางถือดาบมากนัก มีหลายคราที่กริชของเยี่ยหลีเกือบโดนเข้ากับตัวลู่เฟิง หากมิใช่เพราะลู่เฟิงมีพละกำลังที่กล้าแกร่ง ในทุกกระบวนท่าของเขามีพละกำลังมหาศาลที่ยากจะป้องกันได้ซ่อนอยู่ จนทำให้นางมิอาจไม่หลบอาวุธของเขาได้ ก็เกรงว่าลู่เฟิงคงถูกกริชเล่มเล็กนั้นแทงจนได้หลายแผลแล้ว

 

 

เยี่ยหลีดูจะมองจุดอ่อนและจุดแข็งของลู่เฟิงออกเป็นอย่างดี ดังนั้นนางจึงมิได้ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับลู่เฟิงแบบต่อหน้า แต่นางอาศัยรูปร่างที่ได้เปรียบของตน ค่อยๆ ผลาญพละกำลังของเขาไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็คอยหาโอกาสออกอาวุธ ถึงแม้จะยังทำอันตรายลู่เฟิงได้ไม่สำเร็จ แต่ก็ทำให้เขาตระหนกตกใจได้ไม่น้อย

 

 

เป็นอีกครั้งที่ลู่เฟิงยกกระบอกคู่ในมือขึ้นหมายจะฟาดเข้าใส่เยี่ยหลี เยี่ยหลีก้าวหลบไปด้านหนึ่ง หลังจากยกขาขึ้นเตะขึ้นบนอากาศแล้ว นางวางมือซ้ายลงกับพื้น ก่อนพุ่งกริชในมือขวาเข้าใส่หัวไหล่ด้านซ้ายของลู่เฟิง

 

 

เมื่อลู่เฟิงเห็นเช่นนั้นจึงรีบยกกระบองในมือขวาขึ้นกัน แต่เยี่ยหลีกลับใช้จังหวะนั้นพลิกตัวไปอยู่ทางด้านหลังเขา “แม่ทัพลู่…”

 

 

ลู่เฟิงตัวแข้งไป คมกริชที่แข็งเย็นจ่ออยู่ที่กระดูกสันหลังของเขา จากการกรำศึกมาหลายปี ลู่เฟิงย่อมเคยเห็นบาดแผลมาแล้วนับไม่ถ้วน และย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าหากเยี่ยหลีแทงเข้าไปจริงๆ ตนคงไม่สามารถเป็นอันใดไปได้นอกจากจะต้องพิการไปตลอดชีวิต

 

 

ลู่เฟิงวางกระบองคู่ในมือลง แล้วจึงหมุนตัวหันไปประสานมือคารวะเยี่ยหลี “ขอบพระคุณพระชายาที่ยั้งมือ ข้าน้อยยอมแพ้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้มเล็กน้อย “แม่ทัพลู่ช่างมีพละกำลังมหาศาลยิ่งนัก ฝีมือไม่ธรรมดา ข้าเองก็นับถือท่านมากเช่นกัน”

 

 

ด้านล่างเวทีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็มีคนตะโกนโห่ร้องขึ้น บรรดาทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตะโกนกันว่าดีๆ อย่างไม่ขาดสาย

 

 

นางชนะได้ถึงสองคราติดต่อกัน ผู้บัญชาการทหารทุกคนจึงต่างยอมรับในฝีมือของเยี่ยหลีด้วยใจจริง และย่อมไม่มีผู้ใดก้าวขึ้นไปประลองกับนางอีก

 

 

เยี่ยหลีเอาชนะได้ถึงสองรอบติดต่อกัน หากยังมีผู้ใดขึ้นไปประลองกับนางอีก ต่อให้ชนะก็ถือเป็นการชนะโดยมิได้ลงแข่ง คงเหลือเพียงชื่อเสียงที่ว่าชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ผลัดกันขึ้นไปประลองกับสตรีนางหนึ่งเท่านั้น

 

 

เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินลงมา ทุกคนต่างรีบเข้าไปรอรับ

 

 

หลี่ว์จิ้นเสียนประสานมือเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “วันนี้พระชายาได้แสดงฝีมือให้พวกเราเห็น ทำให้พวกข้าน้อยรู้สึกเลื่อมใสพระชายาด้วยใจจริง คนหยาบอย่างพวกเราไม่ค่อยรู้เรื่องกฎระเบียบ จนล่วงเกินพระชายาเสียแล้ว หวังว่าพระชายาจะไม่ถือโทษพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “แม่ทัพหลี่ว์กล่าวเกินไปแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มิจำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจ ข้ายังไม่เรื่องในเมืองในต้องไปสะสาง เรื่องในค่ายนี้คงต้องรบกวนแม่ทัพหลี่ว์แล้ว”

 

 

หลี่ว์จิ้นเสียนรีบเอ่ยรับคำว่า “พระชายาโปรดวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า อมยิ้มหันมองไปทางอวิ๋นถิง “อวิ๋นเสี้ยวเว่ย…”

 

 

อวิ๋นถิงยกมือลูบท้ายทอย ทำหน้าม่อยเอ่ยว่า “พระชายา ข้าน้อยผิดไปแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “รู้ว่าผิดก็แก้ไขเสีย ถึงจะถือเป็นผู้มีคุณธรรมอันดี ระยะนี้ได้อ่านหนังสือบ้างหรือไม่”

 

 

เมื่อคิดถึงช่วงที่พระชายาส่งตนเข้ากองทัพตระกูลม่อพร้อมกับกองหนังสือกองโตที่สูงกว่าตนแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นถิงจึงยิ่งดูขมขื่นขึ้นไปอีก “อ่านพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้อ่านถึง กลยุทธ์การทหารพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีดูเป็นกันเองยิ่งขึ้น “คืบหน้าได้ไม่เลว พอดีเลย ข้ากำลังอยากได้หนังสือกลยุทธ์การทหารไปเป็นตำราฝึกทหารอยู่พอดี รบกวนอวิ๋นเสี้ยวเว่ยช่วยคัดลอกมาให้ข้าสักสิบเล่มก็แล้วกัน ส่งให้ข้าในอีกสามวันทันหรือไม่”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา” ดวงตาทั้งสองข้างของอวิ๋นถิงแข็งข้างไปทันที ร่างกายแข็งเกร็งนิ่งอึ้งมองเยี่ยหลีหมุนตัวเดินจากไป

 

 

“น้องชาย เป็นอันใดไป” เฉินอวิ๋นที่ยืนอยู่ เมื่อเห็นสีหน้าประหนึ่งญาติเสียของเขาแล้ว ก็เข้ามาตบบ่าพร้อมเอ่ยถาม

 

 

อวิ๋นถิงเหลือบมองเขานิ่งๆ ก่อนหมุนตัวเดินจากไป หากข้ายังทะเลาะกับเจ้าอีกก็คงเป็นหมูแล้ว

 

 

อวิ๋นถิงมองเขาเดินจากไปประหนึ่งร่างไร้วิญญาณด้วยความสงสัย ก้มลงมองมือตนเองด้วยความมึนงง แค่เพียงมีเรื่องวิวาทกันเท่านั้น ไม่เห็นต้องใจแคบเช่นนี้เลยนี่

 

 

เฟิ่งจือเหยาเดินเข้าไปหา ยกพัดในมือขึ้นเคาะลงบนบ่าเขาแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ต้องไปสนใจหรอก เจ้าเด็กนั่นกำลังหัวเสียว่าจะคัดลอกตำราอย่างไรเท่านั้น หากเฉินเสี้ยวเว่ยพอมีเวลาว่างจะไปช่วยเขาคัดสักสองสามหน้าก็ได้นะ เชื่อว่าเขาจะต้องถือเอาเจ้าเป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันอย่างแน่นอน”

 

 

“คัดหนังสือหรือ” ใบหน้าเฉินอวิ๋นบิดเบี้ยวขึ้นเล็กน้อย นึกถึงวัยเด็กที่ตนถูกบิดาและอาจารย์บังคับให้คัดหนังสือขึ้นมา จึงรีบส่ายหน้าดิก “อย่าเลย ข้าไปดูว่ามีของกินอันใดบ้างดีกว่า ไว้อวิ๋นเสี้ยวเว่ยคัดจนเหนื่อยแล้ว ข้าค่อยส่งไปให้เขากินบำรุง” ส่วนเรื่องคัดหนังสือนั้นเขาก็ผ่านก็แล้วกัน ลายมือเช่นนั้นของเขาคงไม่กล้าเอาไปให้ผู้ใดดูหรอก

 

 

เมื่อยามออกนอกเมืองเดินทางด้วยความเร่งร้อน แต่ขากลับมิได้เร่งร้อนเช่นนั้นแล้ว คณะของเยี่ยหลีค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ คอยมองสำรวจสถานการณ์ของชาวบ้านและประตูด่านต่างๆ ถึงแม้ยามนี้ข้าศึกจะมาประชิด แต่ชาวบ้านในเจียงซย่ากลับยังคงใช้ชีวิตกันอย่างสงบเป็นปกติ ไม่ต่างอันใดกับวันธรรมดาทั่วไป ประหนึ่งไม่มีอันใดต่างไปจากทุกวันกระนั้น ถึงแม้เมื่อวานนี้จะเพิ่งผ่านการรบอันนองเลือดมา จนเกือบต้องเสียเมืองไป แต่เช้ามาวันนี้ ชาวบ้านทั้งหลายยังคงออกจากบ้าน เปิดร้านกันตามปกติ ในแววตาของพวกเขาดูไม่มีความหวาดกลัวและความหวั่นใจจากการศึกเลยแม้แต่น้อย

 

 

เฟิ่งจือเหยาเดินอยู่ข้างกายเยี่ยหลี พัดพัดในมือไปพลาง เอ่ยไขข้อข้องใจของเยี่ยหลีไปพลางว่า “ชาวบ้านเหล่านี้เชื่อมั่นในกองทัพตระกูลม่อด้วยใจจริง พวกเขาคิดว่า ขอเพียงมีกองทัพตระกูลม่ออยู่ ไม่มีทางเสียเมืองไปอย่างแน่นอน บ้านเมืองของเขาจะไม่มีวันถูกข้าศึกรุกราน”

 

 

เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ ไม่รู้จะรู้สึกชื่นชมหรือเป็นกังวลอีก ที่พวกเขาสามารถทำให้ชาวบ้านเชื่อมั่นในพวกเขาได้เช่นนี้ ควรค่าที่กองทัพตระกูลม่อจะภาคภูมิใจ เพียงแต่…ในยามที่ทุกคนต่างเอาความเชื่อมั่นทั้งหมดมารวมเป็นหน้าที่ที่มอบให้แก่กองทัพตระกูลม่อ และคิดแต่จะพึ่งพิงพวกเขาแล้ว จะกลายเป็นความกดดันที่หนักหนาสักเพียงใด ไม่แปลกใจที่ประมุขของตำหนักติ้งอ๋องทุกรุ่นไม่สามารถวางความสำเร็จลงและถอยออกไปจากจุดนี้ได้ ด้วยเพราะตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูบม่อได้กลายเป็นจิตวิญญาณของต้าฉู่และเป็นเสาหลักที่แท้จริงของแว่นแคว้นไปเสียแล้ว หากวันใดที่กองทัพตระกูลม่อมิใช่กองทัพตระกูลม่อ ต้าฉู่จะยังคงเป็นต้าฉู่ได้อยู่หรือ

 

 

“เรียนพระชายา คณะทูตจากซีหลิงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เพียงกลับมาถึงหน้าประตูจวน แม่ทัพหยวนเผยก็มารออยู่ที่หน้าประตูอยู่แล้ว เมื่อเห็นคณะของเยี่ยหลีกลับมาก็รีบเข้าไปรายงานทันที

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “คณะทูตจากซีหลิงหรือ”

 

 

หยวนเผยพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เมื่อครู่คณะทูตของซีหลิงมาขอเข้าเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเมือง ข้าน้อยจึงตัดสินใจปล่อยให้พวกเขาเข้ามาโดยพลการ ยามนี้กำลังรอให้พระชายาเรียกพบอยู่ที่ด้านนอกเรือนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “แม่ทัพหยวนตัดสินใจได้ไม่เลว พวกเราไปพบคณะทูตของซีหลิงกันเถิด ช่วงเวลาเช่นนี้ยังกล้าเข้ามาให้เจียงซย่า เชื่อว่าคงมิใช่คนธรรมดา เชิญพวกเขาไปยังห้องหนังสือ”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีไปเปลี่ยนชุด ก่อนกลับเข้าไปยังห้องหนังสือ ไม่นานแม่ทัพหยวนเผยก็นำคณะทูตจากแคว้นซีหลิงเดินเข้ามาข้างใน ผู้ที่นำหน้ามาเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาท่าทางธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง ด้านหลังมีนายทหารหนึ่งคน และผู้ตามคณะอีกสามคน ทั้งห้าคนอยู่ในชุดผ้าธรรมดาๆ มิได้พกอาวุธใดๆ ติดตัว มองดูมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม และไม่เกรงกลัวว่าตนได้ก้าวเข้ามาอยู่ในเมืองที่มีกองทัพตระกูลม่อควบคุมอยู่เลยแม้แต่น้อย

 

 

ชายวัยกลางคนหันมองเยี่ยหลี ก้าวขึ้นหน้ามาประสานมือเอ่ยว่า “ข้าน้อยม่อเฟย ขุนนางต่างแคว้นในท่านเจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิงคารวะชายาติ้งอ๋องแห่งต้าฉู่”

 

 

“ท่านม่อเชิญลุกขึ้น” เยี่ยหลียกมือขึ้นน้อยๆ อมยิ้มเอ่ยว่า “ท่านม่อมาครานี้ด้วยมีธุระอันใดหรือ”

 

 

ม่อเฟยกวาดตามองทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้ามาด้วยมีธุระเล็กน้อยอยากขอคำชี้แนะจากพระชายาพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…ไม่รู้ว่าจะสามารถคุยกับพระชายาเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “มิใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่ไม่จำเป็น ข้ามีฐานะเป็นหัวหน้าคณะผู้บัญชาการทหารชั่วคราวของกองทัพตระกูลม่อ การจะพูดคุยกับคณะทูตจากต่างแคว้นเป็นการส่วนตัวนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมาะสม อีกอย่าง มิมีเรื่องใดที่ไม่สามารถพูดต่อหน้าคนอื่นได้ หากท่านม่อมีเรื่องอันใด ก็เอ่ยมาตรงๆ เถิด”

 

 

จั๋วจิ้งหัวเราะอย่างเย้ยหยันขึ้นเอ่ยว่า “พูดคุยเป็นการส่วนตัวหรือ ผู้ใดเลยจะรู้ว่าพวกเจ้าคิดจะลอบสังหารพระชายาของพวกเราหรือไม่”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเกียจคร้านว่า “ลอบสังหารพระชายา เกรงว่าคงจะไม่มีความสามารถเช่นนั้น เพียงแต่อย่างไรก็ต้องห้ามใจคนไม่ให้คิดเอาไว้ก่อน”

 

 

สีหน้าม่อเฟยดูย่ำแย่ประหนึ่งอยากระเบิดโทสะออกมา แต่ก็สามารถข่มเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า ”ในเมื่อพระชายาเอ่ยเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะมีรั้นร้องขออีก เชื่อว่าผู้ที่นั่งอยู่ในห้องนี้ทุกคน เป็นคนที่พระชายาให้ความไว้ใจใช่หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ

 

 

ม่อเฟยเอ่ยว่า “ท่านอ๋องของพวกเรามีจดหมายฉบับหนึ่งถึงพระชายา เชิญพระชายาเปิดอ่านดูพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พูดจบเขาก็หยิบจดหมายฉบับหนึ่งจากแขนเสื้อออกมายื่นให้ จั๋วจิ้งก้าวเข้ามารับจดหมายเปิดออกตรวจสอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอันใดจึงหมุนตัวหันไปส่งให้เยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีรบจดหมายมาเปิดออกอ่าน เงยหน้าขึ้นมองม่อเฟยมียืนอยู่กลางห้องด้วยท่าทีสบายๆ ทีหนึ่ง ก่อนก้มลงอ่านต่อไป พักใหญ่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา ค่อยๆ พับจดหมายเก็บกลับเข้าซองดังเดิม มองประเมินม่อเฟยด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

ม่อเฟยอมยิ้มเอ่ยว่า “พระชายา ไม่รู้ว่าพระชายามีความเห็นเช่นไรต่อสิ่งที่ท่านอ๋องข้าเขียนถึงท่านบ้าง”

 

 

“มีความเห็นเช่นไรหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ มองเขาด้วยสายตาราบเรียบ ก่อนเอ่ยเรื่อยๆ ขึ้นว่า “ใครก็ได้ จับตัวคนผู้นี้ออกไปตัดหัวที!”

 

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset