จวนผู้ว่าการเมืองซิ่นหยาง เป็นหน่วยบัญชาการชั่วคราวของกองทัพตระกูลม่อในยามนี้ ผู้บัญชาการหลักของกองทัพตระกูลม่อทุกคนรวมถึงเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาต่างพักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว
หลังจากผ่านการฆ่าล้างเมืองครั้งนั้นไป ชาวบ้านในเมืองซิ่นหยางที่เดิมมีอยู่หลายแสนคนก็หายไปแทบไม่มีเหลือ เรียกได้ว่าทั้งเมืองซิ่นหยางแทบจะเหลือแต่ทหารของกองทัพตระกูลม่อเลยก็ว่าได้ และภายในเมืองก็อยู่ภายในการควมคุมอย่างทหาร
บนถนนอันกว้างขวางไม่มีผู้คนเดินไปเดินมาให้ได้เห็น ไม่มีการร้องขายของอย่างครึกครื้น มีเพียงนายทหารใบหน้าเคร่งขรึมที่เดินไปเดินมาอย่างเป็นระเบียบเท่านั้น ถึงแม้จะมีชาวบ้านผ่านไปมาบ้างนานๆ ที แต่สีหน้าพวกเขาก็มีเพียงความเศร้าโศกและเรียบเฉย
เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเดินอยู่บนถนนซวนอู่ ถนนเส้นที่ใหญ่ที่สุดของเมืองซิ่นหยาง เมื่อเห็นเพียงความว่างเปล่าและโหรงเหรงก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
ม่อซิวเหยาก้มลงมองสีหน้าเซื่องซึมของนาง ยื่นมือไปกระชับมือนางไว้โดยไม่พูดอันใด
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา “ข้าไม่เป็นไรหรอก แค่เพียงเห็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของซีเป่ยต้องมาว่างเปล่าลงเช่นนี้ เลยอดรู้สึกใจหายไม่ได้เท่านั้นเอง”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเบาว่า “ไว้รอให้ศึกครานี้เสร็จสิ้นลงเสียก่อน ผ่านไปอีกสักสามสี่ปีที่นี่จะต้องกลับมาเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ว่าจะเจริญรุ่งเรืองเพียงใด แต่คนเหล่านั้นก็มิใช่คนกลุ่มเดิมที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งนี้”
แววตาม่อซิวเหยามืดครึ้มลง “เมื่อเกิดศึกขึ้น ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีชาวบ้านตาดำๆ ได้รับบาดเจ็บและล้มตาย”
“นั่นสินะ…ผลงานความสำเร็จบนกองกระดูกนับหมื่น…” เยี่ยหลีเอ่ยทอดถอนใจเบาๆ
“ผลงานความสำเร็จบนกองกระดูกนับหมื่น…” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างใช้ความคิด บรรพชนตระกูลม่อทุกรุ่น ทำศึกอย่างห้าวหาญจนสั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้า ชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของกองทัพตระกูลม่อมีสิ่งใดบ้างที่มิได้มาจากเลือดเนื้อของคนจำนวนนับไม่ถ้วน ตำหนักติ้งอ๋องถือตนเองว่าเป็นผู้ปกป้องความสงบสุขของประชาชนต้าฉู่ แต่ในระหว่างการรบที่มีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องล้มตาย จะมีผู้ใดรวมถึงตัวเขาเองที่รู้สึกผิดต่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง
เยี่ยหลีที่เดินนำอยู่ข้างหน้า หันกลับมามองม่อซิวเหยาพร้อมส่งยิ้มให้เขาบางๆ ในแววตาของนางมีแววย้อนรำลึกถึงบางอย่างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏอยู่ นางเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “ท่านรู้หรือไม่ เคยมีคนบอกข้าว่า หน้าที่ของคนเป็นทหารคือการปกปักษ์รักษาแผ่นดิน รักษาความสงบสุขให้กับชีวิตประชาชน และสิ่งที่หมิ่นเกียรติทหารมากที่สุด ก็คือการทำให้ประชาชนที่ตนปกป้องคุ้มครอง ต้องประสบกับภาวะสงครามที่หน้าประตูบ้านของตนเอง”
ม่อซิวเหยานิ่งเงียบ สีหน้ารำลึกถึงบางสิ่งบางอย่างของอาหลีทำให้เขารู้สึกว่านางอยู่ไกลแสนไกล แต่กลับงดงามจนทำให้เขารู้สึกปวดใจอยู่ลึกๆ จิตใจของเขารู้สึกว้าวุ่นขึ้นมาในบัดดล จนคิดอยากคว้าตัวหญิงสาวตรงหน้าไว้ ประหนึ่งว่าหากมิทำเช่นนั้นนางจะหายตัวไปในชั่วพริบตากระนั้น ดังนั้น เขาจึงทำตามที่ใจตนปรารถนา ยื่นมือออกไปคว้าตัวนางมากอดไว้แนบอก ปลายคางคมวางลงบนศีรษะของนาง เอ่ยเสียงขรึมว่า “เรื่องครานี้ ถือเป็นการหมิ่นเกียรติกองทัพตระกูลม่อจริงๆ”
เยี่ยหลีหัวเราะขึ้นเบาๆ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ท่านถือเสียว่าข้าพูดจาไร้สาระก็แล้วกัน เรื่องในครานี้…มิใช่ความผิดของท่านหรอก”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงอ่อนว่า “และยิ่งไม่ใช่ความผิดของเจ้า อาหลี เจ้าทำดีที่สุดแล้ว”
เยี่ยหลีพยักหน้า ในขณะที่นางกำลังจะผละออกจากอ้อนแขนของม่อซิวเหยา ก็ได้ยินน้ำเสียงรื่นหูที่ฟังดูทั้งยินดีและตัดพ้อ ดังลอยมาจากทางด้านหลัง “ซิวเหยา ท่านอยู่ที่นี่เองหรือ”
เมื่อทั้งสองหันไปมอง ก็เห็นสตรีแสนงามนางหนึ่งกำลังยืนมองมาทางม่อซิวเหยาอยู่ไม่ไกล
เยี่ยหลีนึกถอนใจ ซูจุ้ยเตี๋ย ไม่เพียงมิใช่หญิงสาวที่มีใบหน้าที่งดงามจับใจเท่านั้น แต่ยังเป็นสตรีที่รู้จักใช้จุดเด่นของตนให้เป็นประโยชน์อีกด้วย ในเมืองซิ่นหยางร้านค้าทั้งหลายต่างปิดกิจการ นางผู้เป็นแขกก็มิได้รับการต้อนรับจากท่านอ๋องและพระชาอย่างดีสักเท่าไร จึงย่อมไม่มีผู้ใดจัดเตรียมชุดและเครื่องประดับที่สวยงามไว้ให้กับนาง แต่สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี้ แค่เพียงอยู่ในชุดสีขาวธรรมดาๆ ก็กลับดูเหมือนเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ ผมเงางามดำขลับรวบไว้อย่างง่ายๆ ใช้เพียงผ้าสีเงินเส้นหนึ่งผูกไว้หลวมๆ เท่านั้น ปีนี้ซูจุ้ยเตี๋ยอายุยี่สิบห้าปีแล้ว แต่เมื่อนางมายืนอย่างงามสง่าอยู่บนถนนใหญ่เช่นนี้ กลับดูอายุมากกว่าเยี่ยหลีที่อายุสิบห้าสิบหกปีอยู่ไม่เกินสองปีเท่านั้น
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วน้อยๆ มองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ซูจุ้ยเตี๋ยกำมือที่อยู่ในแขนเสื้อแน่น มุมปากกระตุกเล็กน้อย มองม่อซิวเหยาด้วยความเสียใจ “ท่านไม่อยากเห็นหน้าข้าหรือ”
สีหน้าม่อซิวเหยายังคงเรียบเฉย จ้องนางด้วยสายตาคมกริบพร้อมเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าถามเจ้า ว่ามาทำอันใดที่นี่”
ซูจุ้ยเตี๋ยอึ้งไป หัวเราะอย่างขมขื่น มองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ “ข้ารู้แล้ว ที่แท้ท่านก็ยังโกรธข้าอยู่ ยังโทษข้าที่ตอนนั้นข้าทิ้งท่านให้อยู่คนเดียวใช่หรือไม่ แต่ว่า…ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก เหตุใดท่านถึงไม่ยอมให้อภัยข้า ท่านคอยกันข้า ทำเหมือนกับข้าเป็นศัตรู หรือว่าแม้แต่ข้าจะออกมาเดินสูดอากาศบ้างก็ไม่ได้เชียวหรือ หากท่านโกรธเกลียดข้าถึงเพียงนั้นจริง เหตุใดถึงไม่ฆ่าข้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ไม่สนใจซูจุ้ยเตี๋ย เอ่ยกับถนนที่ว่างเปล่าว่า “มีใครอยู่บ้าง!”
ร่างสองร่างปรากฏขึ้นจากมุมถนนอย่างรวดเร็ว รอรับคำสั่งด้วยท่าทีนอบน้อม
ม่อซิวเหยาชี้นิ้วไปทางซูจุ้ยเตี๋ยที่ยืนปิดหน้าร้องไห้อยู่ เอ่ยเสียงเย็นว่า “เอาตัวนางกลับไป หากให้ข้าเห็นนางออกมาอีก พวกเจ้าก็ไปขอรับโทษเสียก็แล้วกัน”
“ข้าน้อยรับบัญชา!” ทั้งสองเอ่ยประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน
ซูจุ้ยเตี๋ยมองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง เอ่ยด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อว่า “ท่านจะกักบริเวณข้าหรือ ซิวเหยา ท่านช่างใจร้ายนัก…ท่านปู่ข้าไม่มีทางยอมให้ท่านทำเช่นนี้กับข้าเป็นแน่!”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านอยากให้ผู้อาวุโสซูรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ”
ซูจุ้ยเตี๋ยถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ด้วยนิสัยของท่านปู่ หากรู้ว่าหลายปีนี้นางทำอันใดไปบ้าง จะต้องฆ่านางแน่นอน! ซูจุ้ยเตี๋ยเหลือบมองม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีที่ยังคงจับมือกันไม่ปล่อย ถึงแม้นางจะไม่ยินยอม แต่ก็มิอาจไม่เดินตามองครักษ์ลับกลับไปได้ หากถูกคนบังคับจับตัวกลับไปคงยิ่งขายหน้ากว่านี้เป็นแน่
เยี่ยหลียิ้มรับสายตาโกรธเกลียดที่ซูจุ้ยเตี๋ยส่งมาให้นางก่อนเดินออกไป นางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ต่อให้เป็นหญิงงามหยาดเยิ้มเพียงใด มองบ่อยๆ เข้าก็ชินตาไปเอง นางคิดมาตลอดว่าหญิงงามที่แท้จริง ควรงดงามอย่างพอดีๆ หากงามเกินไป…บางครั้งก็อาจกลายเป็นข้อบกพร่องไปได้
เยี่ยหลีเดินเป็นเพื่อนม่อซิวเหยาไปรอบเมือง เพื่อสำรวจการวางกำลังทหารตามจุดต่างๆ และปลอบขวัญกำลังใจของชาวบ้านที่โชคดียังมีชีวิตรอด จากนั้นถึงได้กลับไปยังจวนผู้ตรวจการ เพียงเดินเข้ามาในจวน เฟิ่งจือเหยาก็เข้ามาเชิญตัวม่อซิวเหยาไปทันที ส่วนเยี่ยหลีก็กลับไปสะสางงานต่างๆ ที่ตนต้องจัดการยังห้องหนังสือต่อ
บนโต๊ะหนังสือมีข่าวสารและฎีกาต่างๆ ที่จั๋วจิ้งและหลินหานจัดการรวบรวมมาให้วางอยู่ เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา หลินหานและจั๋วจิ้งที่กำลังหัวหมุนอยู่ก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพนางทันที
เยี่ยหลีโบกมือเป็นสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องทำความเคารพ ทั้งสองถึงได้นั่งลงตั้งใจอ่านม้วนกระดาษในมือต่อไป
หลังจากได้รับการอบรมมาสองเดือน จั๋วจิ้งและหลินหานก็พอจะเป็นผู้ช่วยที่ตรงตามความต้องการของเยี่ยหลีขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะจั๋วจิ้ง ด้วยเพราะเขาติดตามอยู่ข้างกายเยี่ยหลีมานานกว่าหลินหาน ดังนั้นจึงรู้ใจเยี่ยหลีมากกว่า หลายคราที่นางไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก นางเพียงแค่ทำท่าหรือเพียงแค่ยกมือ จั๋วจิ้งก็รู้ทันทีนางต้องการสิ่งใด ซึ่งสามารถแบ่งเบางานอันยุ่งวุ่นวายในแต่ละวันของเยี่ยหลีไปได้มาก นางเพียงต้องคอยระวังในเรื่องสำคัญๆ ที่นางต้องเป็นคนตัดสินใจด้วยตนเองเท่านั้น
“มีข่าวจากองครักษ์ลับสองบ้างหรือไม่” เยี่ยหลีนั่งลง เอ่ยถามพลางหยิบฎีกาอันบนสุดที่นางต้องจัดการขึ้นมา
หลินหานลุกยืนขึ้น ยื่นฎีกาฉบับหนึ่งส่งให้นาง “เพิ่งได้รับมาเมื่อเช้านี้พ่ะย่ะค่ะ องครักษ์ลับสองให้ม้าเร็วนำมาส่งให้พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีรับมาพลิกอ่าน ในฎีกามีตัวหนังสืออยู่เต็มไปหมด ล้วนเป็นข้อมูลเกี่ยวกับซูจุ้ยเตี๋ย รวมถึงฐานะและตำแหน่งของซูจุ๋ยเตี๋ยในซีหลิงในขณะนี้ และข้อมูลทั้งหมดของตระกูลไป๋ที่เป็นตระกูลพื้นเพของนางในซีหลิง เรื่องของซูจุ้ยเตี๋ยยามอยู่ในวัง และความสัมพันธ์ในวังระหว่างนางกับฮ่องเต้และฮองเฮาแห่งซีหลิง
เมื่ออ่านไปจนจบ เยี่ยหลีส่งเสียงจึ๊จ๊ะในใจด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าซูจุ้ยเตี๋ยผู้นี้ มิได้เป็นเพียงสนมที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ซีหลิงเท่านั้น แต่ยังว่ากันว่านางมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเจิ้นหนานอ๋องอีกด้วย ซูจุ้ยเตี๋ยกับฮองเฮาสกุลไป๋ของซีหลิงมีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายต่อกันอย่างมาก เคยเกือบถูกฮองเฮาสกุลไป๋ฆ่าตายไปหลายครั้ง แต่ก็ได้เจิ้นหนานอ๋องช่วยให้ผ่านพ้นจากอันตรายมาได้ทุกครั้งไป จากนั้นเจิ้นหนานอ๋องก็จัดการกดอำนาจของฮองเฮาสกุลไป๋ลงด้วยตนเอง ในวังหลวงซีหลิงยามนี้ ฮองเฮาสกุลไป๋ประหนึ่งเป็นเพียงหุ่นกระบอก เรื่องต่างๆ ภายในวังมีซูจุ้ยเตี๋ยเพียงคนเดียวที่สั่งการได้
เยี่ยหลีนึกข้องใจ หากเป็นเช่นนี้ ซูจุ้ยเตี๋ยที่มีอำนาจอย่างเต็มที่ในวังหลัง เหตุใดถึงได้เดินทางรอนแรมกลับมายังต้าฉู่ นางไม่กลัวว่าม่อซิวเหยาจะนึกแค้นใจเรื่องในอดีตจนตัดหัวนางทิ้งหรือ หรือว่านางมั่นใจในความงามขอบตนเองมากเกินไป ถึงได้คิดว่าม่อซิวเหยาจะต้องพ่ายแพ้ให้กับชายกระโปรงของนาง
เมื่ออ่านเรื่องราวที่ดูเสมือนเป็นตำนานของซูจุ้ยเตี๋ยจบ เยี่ยหลีก็เบ้ปากอย่างเบื่อหนาย “อีกเดี๋ยวหากมีเวลาช่วยส่งนี่ไปให้ท่านอ๋องที”
หลินหานพยักหน้า รับฎีกามาวางลง เตรียมสะสางงานตรงหน้าให้เรียบร้อย แล้วนำไปส่งให้ท่านอ๋อง
“จุ้ยเตี๋ยขอพบคุณหนูสามตระกูลเยี่ย” ด้านนอกประตู มีเสียงอ่อนหวานของซูจุ้ยเตี๋ยดังขึ้น
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว หยุดคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ไป๋กุ้ยเฟย เชิญเข้ามาเถิด”
ด้านนอกประตู ใบหน้าเรียวของซูจุ้ยเตี๋ยมีแววโกรธเคือง ตวัดสายตามององครักษ์ทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตู เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “ครานี้ข้าคงเข้าไปได้แล้วสินะ?”
น่าเสียดาย ใบหน้าอันงดงามที่แฝงแววโกรธเคืองของหญิงงาม ในสายตาขององครักษ์ที่ภักดีทั้งสองแล้ว ก็ดูประหนึ่งเป็นเพียงท่อนไม้เท่านั้น พวกเขาเอ่ยด้วยความเคารพว่า “พระชายาเชิญไป๋กุ้ยเฟยด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
การเรียกนางว่าไป๋กุ้ยเฟยยิ่งทำให้ในใจนางทั้งนึกโกรธทั้งอับอาย กองทัพตระกูลม่อทุกคนต่างรู้ดีว่านางคือคู่หมั้นของม่อซิวเหยา แต่คนรอบตัวม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีกลับเรียกนางว่าไป๋กุ้ยเฟย การเรียกขานนางเช่นนี้ มักทำให้นางนึกสงสัยว่าพวกเขาตั้งใจที่จะเอ่ยแดกดันนางหรือไม่กันแน่
อันที่จริงนี่เป็นเพราะซูจุ้ยเตี๋ยคิดมากไปเอง ทหารส่วนใหญ่ในกองทัพตระกูลม่อต่างรู้ดีว่าท่านอ๋องเคยมีคู่หมั้นเป็นยอดหญิงงามแห่งใต้หล้า นามซูจุ้ยเตี๋ย แต่ที่พวกเขารู้มากกว่านั้นคือ ซูจุ้ยเตี๋ยได้เสียชีวิตไปแล้ว ถึงแม้นางจะเรียกตนเองว่าซูจุ้ยเตี๋ย แต่หากท่านอ๋องไม่ยอมรับ สำหรับคนเหล่านี้แล้ว นั้นก็มิใช่เรื่องจริง อีกทั้ง ท่านอ๋องและพระชายาต่างเรียกนางว่าไป๋กุ้ยเฟย บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายย่อมต้องเรียกขานตาม
ซูจุ้ยเตี๋ยส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือก็เห็นเยี่ยหลีนั่งอ่านฎีกาในมืออยู่หลังโต๊ะเขียนหนังสือ อีกด้านหนึ่งของห้องหนังสือไม่ไกลกัน มีโต๊ะหนังสือวางคู่กันอยู่สองตัว มีบัญชี ฎีกาและม้วนกระดาษต่างๆ วางกองพะเนินอยู่เช่นเดียวกัน
หลินหานและจั๋วจิ้งนั่งสะสางงานในมืออยู่ที่โต๊ะ โดยไม่แม้แต่จะเบนสายตามาหันมองหญิงงามอันดับหนึ่งเลยแม้แต่น้อย มิใช่เพราะพวกเขาไม่ชอบหญิงงาม เพียงแต่หลายวันนี้ หญิงงามผู้นี้มักบังเอิญพบกับท่านอ๋องอยู่เสมอ ที่บังเอิญยิ่งกว่าคือ โดยมากมักเป็นช่วงที่ท่านอ๋องอยู่กับพระชายา ส่วนพวกเขาก็อยู่ข้างกายพระชายาเกือบตลอดเวลา ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้พบหญิงงามอยู่หลายครา
คนในใต้หล้าที่ชื่นชอบหญิงงามก็ด้วยเพราะนางดูสูงส่งจนเกินเอื้อม แต่หากหญิงงามผู้นั้นมักทำตัวเกาะแกะไล่อย่างไรก็ไม่ไปต่อหน้าพวกเขามากๆ เข้า ต่อให้สวยงามอย่างไร ความงามของนางก็คงลดน้อยลงเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นท่าทียุ่งอยู่กับงานของเยี่ยหลี ความไม่ยอมแพ้ในใจของซูจุ้ยเตี๋ยก็ยิ่งมีมากขึ้น สมัยก่อนตอนที่นางยังอยู่ข้างกายม่อซิวเหยานั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้ช่วยจัดการธุระเลย แม้แต่ห้องหนังสือม่อซิวเหยาก็ไม่ให้นางเข้า แต่ในยามนี้ เยี่ยหลีกลับนั่งผึ่งผายอยู่บนเก้าอี้ของม่อซิวเหยา คอยจัดการงานต่างๆ ของตำหนักติ้งอ๋อง สิ่งที่ตนไม่เคยได้รับ กลับต้องมาตกอยู่ในมือคนที่สู้อันใดนางไม่ได้สักอย่าง ความแตกต่างเช่นนี้ จะให้ซูจุ้ยเตี๋ยยอมรับได้อย่างไร