ภายในบ้านพักหน้าตาธรรมดาๆ หลังหนึ่งในเมืองซิ่นหยาง หานหมิงเย่ว์นั่งหน้าบึ้งอยู่บนแคร่ไม้มองชายในชุดเทาที่คุกเข่าอยู่กับพื้นข้างหน้า “เจ้าว่าอันใดนะ”
สีหน้าชายในชุดเทาดูไร้ซึ่งความกลัว ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “เรียนคุณชาย คนของพวกเราเขาถึงตัวคุณหนูซูไม่ได้เลยขอรับ”
หานหมิงเย่ว์เพียงสะบัดมือ เครื่องเคลือบที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างก็ตกลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที “เศษสวะ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ชั่วเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน พระชายาจะล้อมจวนผู้ว่าไว้ได้โดยไม่มีรูรั่วเลย จนพวกเจ้าหารอยรั่วไม่เจอ!”
ชายในชุดเทานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ดูเหมือนพระชายาจะมีการวางกำลังป้องกันที่ไม่เหมือนผู้ใดเลยขอรับ สองเดือนก่อน ที่ทุกแคว้นต่างส่งคนไปรวมกันยังเมืองหลวง ก็ยังไม่สามารถบุกเข้าไปในตำหนักติ้งอ๋องได้ ข้าน้อยเห็นว่า…หากอาศัยเพียงกำลังคนของเราในยามนี้ ไม่มีทางพาคุณหนูซูออกมาได้อย่างปลอดภัยขอรับ”
หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงขรึมว่า “ถ้าเช่นนั้นก็จัดคนมาเพิ่มอีก! ต่อให้ต้องเรียกคนทั้งซีเป่ยมา ก็ต้องช่วยซูจุ้ยเตี๋ยออกมาให้ได้”
ชายในชุดเทาขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “คุณชายโปรดไตร่ตรองให้ดี หากในเมืองซิ่นหยางมีคนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เกรงว่าจะทำให้พระชายานึกสงสัยได้นะขอรับ ถึงยามนั้นคงยิ่งไม่เป็นผลดีต่อคุณหนูซู”
หานหมิงเย่ว์หลับตาลง ถอนใจน้อยๆ เอ่ยว่า “เอาเถิด เจ้าจัดการตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน หากต้องการคนประเภทใดก็ไปคัดมาได้เลย แต่ต้องให้แน่ใจว่าจุ้ยเตี๋ยจะปลอดภัย”
ชายในชุดเทาลังเลเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยรับค่ำสั่งขอรับ”
คิ้วคมของหานหมิงเย่ว์ขมวดมุ่นเข้าด้วยกัน เอ่ยถามว่า “ยังมีข่าวอันใดจากจวนผู้ว่าการอีกหรือไม่”
ชายในชุดเทาเอ่ยว่า “นอกจากสาวรับใช้แล้ว พระชายาไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้คุณหนูซูอีกเลยขอรับ ข้าน้อยส่งคนไปตีสนิทกับสาวใช้ผู้นั้นแล้ว แต่สาวใช้ผู้นั้นจงรักภักดีต่อพระชายาเป็นที่สุด จึงไม่สามารถช่วยพวกเราให้เข้าถึงตัวคุณหนูซูได้ เพียงแต่นางหลุดปากพูดบางอย่างออกมาว่า คุณหนูซูได้รับบาดเจ็บที่ส่วนศีรษะจริงๆ ถึงแม้จะเชิญท่านหมอให้มารักษาแล้ว แต่ก็เกรงว่าคงจะเป็นรอยแผลเป็นอยู่ดีขอรับ อีกอย่าง…หลายวันนี้คุณหนูซูร้องขอให้ช่วยอยู่ตลอด แต่เรือนเล็กส่วนนั้นมีองครักษ์ลับห้อมล้อมอยู่อย่างแน่นหนา เกรงว่าคุณหนูซูจะ….”
ดวงตาหานหมิงเย่ว์มีประกายสงสาร โบกมือเอ่ยว่า “พอแล้ว! รีบช่วยจุ้ยเตี๋ยออกมาให้เร็วที่สุด เยี่ยหลี…หากเจ้าทำร้ายนาง ก็อย่ามาโทษว่าข้าว่าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
ภายในกระโจมใหญ่แคว้นซีหลิง เจิ้นหนานอ๋องมองข่าวที่เพิ่งได้รับมาในมือ เขามีสีหน้าบึ้งตึงตลอดหลายวัน เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีเท่าไรนัก
“เหตุใดหานหมิงเย่ว์ถึงยังไม่มาอีก” เจิ้นหนานอ๋องมองข่าวในมือ ดวงตาเป็นประกายมาดมั่นวาววับ ผินหน้าไปเอ่ยถามองครักษ์ผู้ติดตามข้างกาย องครักษ์ที่ยืนรอรับใช้อยู่อึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “เรียนท่านอ๋อง คุณชายหานมาถึงตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อมาถึงแล้ว เหตุใดถึงไม่มาพบข้า” กับหานหมิงเย่ว์ผู้นี้ อันที่จริงเจิ้นหนานอ๋องมิได้ชื่นชมเขาสักเท่าไรนัก คนที่ยอมทรยศหักหลังแผ่นดินเกิด เพื่อนพ้องและพี่น้องเพื่อสตรีนั้น ไม่เพียงยากที่จะนำมาใช้งาน แต่สำหรับเจิ้นหนานอ๋องแล้ว การจะให้ความไว้ใจแก่เขาก็คงมีไม่มากนักเช่นกัน หากมิใช่เพราะเทียนอี้เก๋อที่อยู่ในมือหานหมิงเย่ว์ เป็นขุมกำลังที่จำเป็นต่อเขาอย่างมากแล้ว เจิ้นหนานอ๋องไม่มีทางสนใจเขา
“เรียนท่านอ๋อง คุณชายหาน…คุณชายหานมิได้มาที่ค่าย แต่ได้ยินว่าตรงไปที่เมืองซิ่นหยางเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ปัง! เจิ้นหนานอ๋องตบโต๊ะลุกขึ้น ใบหน้าที่เคร่งขรึมดูโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด บ่าวไพร่ภายในกระโจมตกใจกลัวกันจนลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอันใด
เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหัวเราะเยาะหยัน “ดีจริงนะหานหมิงเย่ว์! ตอนแรกข้าเพียงเห็นว่ามันเป็นคนมีความสามารถที่หยิ่งผยอง นี่ที่แท้ก็โง่เง่า!”
“ท่าน…ท่านอ๋อง?” คนที่ติดตามข้างกายเจิ้นหนานอ๋องย่อมเป็นคนที่เขาไว้ใจ และรู้ถึงฐานะของหานหมิงเย่ว์เป็นอย่างดี ท่านอ๋องนึกดูถูกศีลธรรมความเป็นมนุษย์ของหานหมิงเย่ว์ก็จริง แต่ก็นึกชื่นชมในความสามารถของเขาไม่น้อย คำว่าโง่เง่าสองคำนี้มาได้อย่างไรกัน
เจิ้นหนานอ๋องหัวเราะเยาะ “เขาคิดว่าเมืองซิ่นหยางเข้าไปได้ง่ายเช่นนั้นเลยหรือ แต่ข้ากลับกลัวว่าเขาเข้าไปได้แต่จะออกมาไม่ได้!”
ผู้ติดตามนึกเย็นวาบในใจ ลองเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง…ควรส่งข่าวให้คุณชายหานรู้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องกลับนั่งลงอีกครั้ง หลุบตาลงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หานหมิงเย่ว์ผู้นี้…หึ! ไม่ช้าก็เร็วคงต้องตายเพราะผู้หญิง ช่างเถิด บอกเขาตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่ทันการณ์แล้ว ส่งคนไปรวมรวมคนของเทียนอี้เก๋อในซีเป่ยมาที เกรงว่าคงจะเกิดเรื่องแล้ว”
ผู้ติดตามมีท่าทีลังเล เอ่ยตามความจริงว่า “แต่ไหนแต่ไรมา เทียนอี้เก๋ออยู่ในความควบคุมของคุณชายหานมาโดยตลอด คนอื่นๆ หากไม่เห็นหนังสือที่ประทับตราคุณชายหาน ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลภายในของเทียนอี้เก๋อเลยพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าพวกเรา…”
“สารเลว ส่งคนเข้าเมืองไป ไม่ว่าอย่างไรต้องเอาหานหมิงเย่ว์ตัวเป็นๆ ออกมาให้ได้” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยเสียงเย็น ด้วยใบหน้าดุดัน
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ที่คุณชายหานผลีผลามเข้าเมืองไป เกรงว่าคงด้วยเพราะไป๋…กุ้ยเฟย หากเกิด…”
“ไม่ต้องสนใจ ข้าเพียงต้องการให้หานหมิงเย่ว์มีชีวิตกลับมา! มิเช่นนั้นคนของเทียนอี้เก๋อในมือเขาก็คงไร้ประโยชน์!” ไป๋หลงนั่น สวยก็สวยอยู่หรอก แต่ในสายตาของเจิ้นหนานอ๋องแล้ว คุณค่าของสาวงามน้อยกว่าอำนาจบารมีมากนัก อีกอย่างไป๋หลงก็มิได้มีคุณค่าที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่านี้อีกแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องช่วยหานหมิงเย่ว์ที่มีคุณค่ามากกว่ากลับมาก่อน หากไป๋หลงตาย…หานหมิงเย่ว์และม่อซิวเหยาก็จะกลายเป็นคู่แค้นคู่อาฆาตกันอย่างแน่นอน ซึ่งนี้ก็เป็นไปตามสิ่งที่เขาต้องการพอดี
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมืองซิ่นหยาง
ในเรือนเล็กที่อยู่ลึกเข้าไปในจวนผู้ว่าการ ซูจุ้ยเตี๋ยในชุดสีหม่น กำลังนั่งหน้าบึ้งใจลอยอยู่ข้างหน้าต่าง นางถือตนว่ามีความงามประหนึ่งดอกไม้ มิมีผู้ใดอาจเทียบได้ หลายปีที่ผ่านมานี้ความงามดุจดอกไม้ของนาง ทำให้บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ และฮ่องเต้ที่ทรงอำนาจต้องหลงใหลมาแล้วไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร
จากคุณหนูธรรมดาๆ ในตระกูลขุนนางที่บิดามารดาเสียชีวิต จนมาเป็นคู่หมั้นของคุณชายรองแห่งตำหนักติ้งอ๋อง ต่อมาเป็นคุณหนูตระกูลไป๋ในซีหลิง สุดท้ายก็กลายเป็นกุ้ยเฟยแห่งซีหลิงที่มีอำนาจเด็ดขาดในวังหลัง
นางไม่เคยนึกสงสัยในความงามของตนมาก่อน แต่ในยามนี้ ด้วยเพราะความที่นางมั่นใจในตัวเองเกินไป จึงทำให้ถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนหลังกระจิดริดนี่ นางเคยคิดว่าต่อให้ม่อซิวเหยาโทษนางที่ทิ้งเขาไปในยามที่เขาบาดเจ็บหนัก เพียงแต่ ขอเพียงนางกลับมา ขอเพียงนางเอ่ยขอโทษเขา ม่อซิวเหยาจะต้องให้อภัยและต้องดีใจประหนึ่งบ้าคลั่งอย่างแน่นอน
เพียงแต่…เมื่อคิดถึงวันนั้นในห้องหนังสือ ในชั่วขณะที่นางโขกศีรษะตนเองเข้ากับเสา นางเหลือบไปเห็นสีหน้าเรียบเฉยของม่อซิวเหยา สายตาราบเรียบไม่มีแวววูบไหวเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งตรงหน้าเขามิใช่คนที่กำลังจะเอาศีรษะโขกเสาฆ่าตัวตาย แต่เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งกำลังเอ่ยรายงานตามปกติเท่านั้น
ชั่วขณะนั้น นางถึงได้เข้าใจเรื่องเรื่องหนึ่งว่า ม่อซิวเหยาไม่แยแสนางแล้ว เขาไม่มีทางหลงใหลในความงานของนาง และไม่มีทางนึกสงสารนาง
แต่ก็ด้วยเพราะเขามีท่าทีเช่นนี้ ความรักที่ฝังลึกอยู่ในใจนางมาโดยตลอดกลับยิ่งล้ำลึกขึ้น ในใจนางเอ่อล้นไปด้วยความริษยาที่มีต่อเยี่ยหลี เดิมทีบุรุษผู้นั้นควรเป็นของนาง ตำแหน่งชายาติ้งอ๋องเดิมทีก็ควรเป็นของนาง! แต่ในยามนี้ นางกลับถูกเยี่ยหลีกักไว้ที่นี่จนไม่อาจขยับตัวไปที่ใดได้
“คุณหนู ถึงเวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ยกอาหารอ่อนๆ เข้ามา พร้อมเอ่ยด้วยความระมัดระวัง คุณหนูไป๋ที่แสนงดงามผู้นี้รับใช้ได้ไม่ง่ายเอาเสียเลย สาวใช้ที่มาคอยรับใช้นางในช่วงหลายวันนี้ รู้ซึ้งแก่ใจเป็นอย่างดี
“ไสหัวไป ไปบอกเยี่ยหลีว่า หากยังไม่ปล่อยข้าออกไป ข้าก็จะหิวตายอยู่ที่นี่นี่ล่ะ” ซูจุ้ยเตี๋ยเอ่ยเสียงเข้มขึ้น
สาวใช้เงยหน้าขึ้นมองนางทีหนึ่ง ก่อนรีบก้มหน้างุดลงไปเช่นเดิม เอ่ยเสียงเบาว่า “พระชายาบอกแล้วว่า…ต่อให้คุณหนูไป๋หิวตาย ท่านอ๋องก็จะไม่ถือโทษท่านอยู่ดี ดังนั้น…หากคุณหนูไป๋ไม่อยากกินจริงๆ ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนูไป๋…ท่านอย่าได้ดื้อรั้นกับพระชายาอีกเลย…”
“ไม่มีทาง!” ซูจุ้ยเตี๋ยลุกขึ้นถลึงตามองจ้องสาวใช้ที่ดูระแวดระวังเต็มที่ “ซิวเหยาไม่มีทางทำเช่นนี้กับข้า! ข้าต้องการพบเยี่ยหลี เจ้าไปบอกให้นางมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นสตรีที่งดงามคลุ่มคลั่งขึ้นมาเช่นนี้ สาวใช้ก็ตกใจจนน้ำตาคลอหน่วยทันที “คุณหนูไป๋…พระชายา พระชายากำลังยุ่งมาก ท่าน…ท่านรีบกินเถิดเจ้าค่ะ บ่าววางไว้ให้ที่นี่นะเจ้าคะ” พูดจบ นางก็วางกับข้าวไว้บนโต๊ะ ก่อนรีบวิ่งออกไปประหนึ่งมีปีศาจกินคนอยู่ด้านหลังทันที
ซูจุ้ยเตี๋ยผินหน้าไปมองอาหารบนโต๊ะ อาหารหน้าตาจืดชืดสี่อย่าง ซุปหนึ่งอย่าง กับข้าวอีกหนึ่งถ้วย ไม่มีความประณีตและดูไม่ต้องใช้ฝีมือในการทำอาหารเอาเสียเลย แม้แต่ฝีมือการใช้มีดก็ดูธรรมดาๆ แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวบ้านทั่วไป
หลายปีนี้ซูจุ้ยเตี๋ยอยู่ดีกินดีมาโดยตลอด ไม่ว่ามีของอันใดดีที่สุด ต่างก็เป็นของนางทั้งสิ้น ของเช่นนี้นางจะไปสนใจได้อย่างไร นางยกมือปัดของทุกอย่างลงกับพื้น สาวใช้ที่เมื่อครู่เพิ่งวิ่งออกไป เมื่อได้ยินเสียงดังจากด้านใน ก็รีบวิ่งกลับเข้ามาทันที นางมองข้าวปลาอาหารที่เกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น แล้วได้แต่เอ่ยอย่างทำอันใดไม่ถูกว่า “คุณ…คุณหนูไป๋…”
ซูจุ้ยเตี๋ยเชิดคางขึ้น เอ่ยเสียงเย็นว่า “ของชั้นต่ำเช่นนี้จะให้ข้ากินเข้าไปได้อย่างไร ไปทำมาใหม่!”
สาวใช้เอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “แต่ยามนี้ทุกคนก็กินอาหารเช่นนี้นะเจ้าคะ”
“บังอาจ!” ซูจุ้ยเตี๋ยตะคอกด้วยความโกรธจัด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด ถึงได้กล้าให้ข้ากินของพวกนี้”
“แต่ว่า…ท่านอ๋องและพระชายาเองก็กินแบบนี้นะเจ้าคะ คุณหนูไป๋ อาหารพวกนี้ทำออกมาได้รสชาติดีมากแล้ว ท่าน…น่าเสียดายจริงๆ”
ยามนี้มีทหารซีหลิงล้อมอยู่ ถึงแม้ภายในเมืองจะมีเสบียงอาหารอยู่เพียงพอ แต่พวกของสดก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไปจนเริ่มไม่เพียงพอแล้ว แม้แต่ท่านอ๋องและพระชายาทุกวันก็กินแต่อาหารง่ายๆ แล้วยังต้องทำอาหารต่างหากให้คุณหนูไป๋อีก
ซูจุ้ยเตี๋ยโกรธจนหน้าเขียว ช่วงหลายวันนี้ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับนาง ตนก็เริ่มเข้าใจสาวใช้ผู้นี้ขึ้นมาบ้าง ที่ดูใจเสาะประหนึ่งลูกหนู จะพูดแต่ละประโยคก็น้ำตาแทบร่วง แต่บางขณะกับดื้อรั้นเสียจนเกือบทำให้คนประสาทเสีย แต่ตนก็มิอาจลงโทษหรือระบายโทสะกับนางได้ ด้วยเพราะหากนางทำอันใดเกินไปสักหน่อย องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกก็จะเข้ามาห้ามไว้ทันที
ซูจุ้ยเตี๋ยที่โกรธอยู่ไม่น้อยส่งเสียงหึขึ้นทีหนึ่ง “ไสหัวไป!”
สาวใช้ผู้นั้นเหลือบมองนางทีหนึ่ง ก่อนถอยออกไปตามคำสั่ง คุณหนูไป๋กำลังโกรธ ไว้อีกเดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บกวาดก็แล้วกัน
ภายในห้องเหลือนางอยู่เพียงผู้เดียว ซูจุ้ยเตี๋ยมองเศษอาหารที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาในทันที เมื่อเช้าและตอนกลางวันนางมัวแต่อาละวาดไม่ยอมกินข้าว มายามนี้จึงรู้สึกหิวไม่น้อย เมื่อคิดถึงเรื่องน่าโมโหในช่วงหลายวันนี้ นางก็กัดฟันแน่นสะบัดมือเดินเข้าห้องไปทันที
เยี่ยหลี ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ตกมาอยู่ในมือข้าเชียว มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องตายทั้งเป็น
“จุ้ยเตี๋ย…” เสียงเรียกเบาๆ ดังขึ้นมาจากมุมหนึ่ง ซูจุ้ยเตี๋ยชะงักไป หันกลับไปมอง ไม่รู้หานหมิงเย่ว์ในชุดสีดำมาปรากฏตัวที่มุมหน้าต่างตั้งแต่เมื่อใด
ซูจุ้ยเตี๋ยอึ้งไป เมื่อตั้งสติได้ ก็เอ่ยเรียกเขาด้วยความยินดีทันทีว่า “หมิงเย่ว์…”
หานหมิงเย่ว์ส่ายหน้า เป็นสัญญาณบอกให้นางเบาเสียงลง
ซูจุ้ยเตี๋ยรู้ตัว ก็รีบมองสำรวจด้านนอกหน้าต่างบนล่าง ก่อนปิดหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบานให้สนิท ก่อนหันมาเอ่ยกับหานหมิงเย่ว์อย่างหัวเสียว่า “เหตุใดถึงเพิ่งมาเอาตอนนี้! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าถูกคนรังแกจนน่าสมเพชเพียงใด!”
หานหมิงเย่ว์เหลือบมองที่พื้น ฝืนยิ้มอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร “ขอโทษด้วย ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”