เมื่อบรรลุข้อตกลงระหว่างกันแล้ว เยี่ยหลีก็ใจกว้างให้อิสระระดับหนึ่งกับหานหมิงเย่ว์ เช่นเดียวกัน ด้วยเพราะเห็นแก่หน้าหานหมิงเย่ว์ นางจึงมิได้ให้คนติดตามจับจ้องซูจุ้ยเตี๋ยทุกฝีก้าวอีก เพียงจำกัดบริเวณให้อยู่ภายในเรือนเล็กๆ หลังนั้นเท่านั้น หานหมิงเย่ว์เป็นคนฉลาด จึงย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไรถึงจะดีต่อตนเองและซูจุ้ยเตี๋ย
เจิ้นหนานอ๋องให้ความสำคัญกับหานหมิงเย่ว์มากจริงๆ แต่นั่นก็ด้วยเพราะอิทธิพลและความมั่งคั่งในมือของหานหมิงเย่ว์ แต่หานหมิงเย่ว์ในยามนี้ที่ไม่เหลืออันใดอีกแล้ว เกรงว่าคงได้กลายเป็นปืนใหญ่เพื่อระบายโทสะของเจิ้นหนานอ๋องเท่านั้น
ส่วนซูจุ้ยเตี๋ย หานหมิงเย่ว์เองก็รู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นม่อซิวเหยาหรือเยี่ยหลีต่างก็ไม่มีความอดทนกับนางมากถึงเพียงนั้น ดังนั้นหากหานหมิงเย่ว์คิดอยากให้ซูจุ้ยเตี๋ยมีชีวิตอยู่ต่อไป วิธีการที่ดีที่สุดคือตนต้องคอยดูแลนางให้ดี
เมื่อได้รับชัยชนะจากการสู้รบกับเจิ้นหนานอ๋องอีกครั้ง เยี่ยหลีกลับมิได้อารมณ์ดีขึ้นเพราะเรื่องนี้เท่าไรนัก ด้วยเพราะนางรู้ดีว่าด้วยสถานการณ์ในยามนี้ ยังคงไม่เป็นผลดีต่อตำหนักติ้งอ๋อง เมื่อนางเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการทหารเข้าๆ ออกๆ ห้องหนังสือของม่อซิวเหยาอยู่ทุกวันเช่นนั้น ในใจเยี่ยหลีจึงรู้ดีว่า ช่วงเวลาแห่งการจากลาคงใกล้เข้ามาอีกครั้ง
สามวันให้หลัง ก็มีข่าวส่งว่าเมืองเจียงซย่าถูกปิดล้อมไว้เสียแล้ว ม่อซิวเหยานั่งมองสตรีแบบบางที่นั่งอยู่ข้างกายเงียบๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและไม่อยากจากไป ทหารตระกูลม่อจำนวนเจ็ดแสนนายเตรียมพร้อมสำหรับการออกรบแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตการออกรบของเขา ที่นึกลังเลใจขึ้นมา ตัวเขาไม่เคยนึงรังเกียจ โกรธแค้นความเห็นแก่ตัวและวิธีการที่โหดเ**้ยมของม่อจิ่งฉีมาก่อน หากเป็นไปได้ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่ว่าจะไปที่ใดเขาก็สามารถให้อาหลีติดตามเขาไปด้วยได้
เยี่ยหลีมองบุรุษตรงหน้าที่นานๆ จะมีความเอาแต่ใจอย่างเด็กน้อยด้วยความขบขัน ยื่นมือไปหยิกหยอกใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านควรออกเดินทางได้แล้ว ท่านวางใจเถิด ไม่ว่าเมืองซิ่นหยางหรือเจียงซย่า หรือแม้แต่เมืองทั้งซีเป่ย ข้าจะรักษาทุกเมืองไว้ให้ได้แทนท่านเอง”
ม่อซิวเหยายื่นมือไปดึงนางเข้ามากอดแนบอก บุรุษที่แทบไม่เคยเสียน้ำตา ยามนี้ดวงตาเขากลับร้อนและชื้นขึ้น แต่เขาไม่อยากให้ภรรยาเห็นช่วงเวลาที่อ่อนแอของตน ในบางเวลา…ความรักก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด ในบางเวลา คำพูดบางคำ เรื่องบางเรื่อง ก็สามารถแสดงความหมายที่แฝงเอาไว้ได้ดีกว่าคำว่ารักมากนัก
“อาหลี…”
เยี่ยหลียกมุมปากยิ้มเล็กน้อย ยกมือขึ้นกอดตอบอ้อมกอดของเขา “ท่านไม่เชื่อข้า?”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ในโลกนี้ หากแม้แต่อาหลีก็ไม่อาจเชื่อแล้ว ข้าจะยังเชื่อผู้ใดได้อีก”
“ถ้าเช่นนั้น ก็วางใจไปทำเรื่องที่ท่านควรทำเถิด” เยี่ยหลีจับไหล่เขา เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
นางเป็นคนไม่ชอบการทำซึ้งมาแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้ไม่อยากแยกจาก แต่ในใจกลับรู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องไปทำ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นางจะทำหน้าที่รักษาผืนดินอันกว้างใหญ่ของซีเป่ยไว้แทนเขาเอง เขาจะได้ไม่มีห่วงข้างหลัง ภาระความรับผิดชอบที่สวรรค์ให้บุรุษผู้นี้แบกไว้หนักหนามากพออยู่แล้ว ในเมื่อนางได้เลือกเขาแล้ว เช่นนั้นก็ให้นางได้ช่วยแบ่งเบาภาระเขาสักหน่อยเถิด
“อาหลี ไว้รอให้การศึกสิ้นสุดลงก่อน ผู้ใดก็มิอาจแยกอาหลีไปจากข้างกายข้าได้อีก” ม่อซิวเหยากัดฟันเอ่ยขึ้น ก่อนจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากหอมหวานของสตรีในอ้อมแขน จูบอันดูดดื่มและลึกซึ้งดำเนินต่อไปจนทั้งสองฝ่ายเริ่มหอบหายใจถึงได้แยกออก
เยี่ยหลีหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่มีทางอยู่ใต้ปีกท่านไปตลอดหรอก ม่อซิวเหยา หากข้ามั่นใจในผู้ใดแล้ว ก็หวังว่าจะได้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนผู้นั้น”
ม่อซิวเหยากักนางไว้ในอ้อมแขน เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าไม่เคยหลบอยู่ใต้ปีกของข้ามาก่อน เพียงแต่…ข้ารอคอยวันที่จะได้เดินเคียงคู่ไปกับอาหลี”
เมื่อส่งม่อซิวเหยาไปแล้ว เยี่ยหลียืนอยู่บนกำแพงเมืองซิ่นหยาง มองไปยังร่างที่ค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไปทุกที ม่อซิวเหยามิได้เอาทหารของเมืองซิ่นหยางไปด้วย ด้วยเพราะเมืองซิ่นหยางและทุกพื้นที่ของเขตซีเป่ย ต่างก็กำลังเผชิญหน้ากับทหารหลายแสนนายของศัตรูอยู่เช่นกัน ผู้บัญชาการทหารที่ติดตามเขาไปออกศึกคราใหม่นั้นมีเพียงคณะหลี่ว์จิ้นเสียนสามสี่นายเท่านั้น แต่คนที่คอยติดตามเขามาตลอดจนเรียกได้ว่าเป็นคนที่เขาไว้วางใจที่สุดอย่างเฟิ่งซานกลับรั้งอยู่ที่เมืองซิ่นหยาง
หานหมิงเย่ว์ยืนอยู่มุมหนึ่งบนกำแพงเมือง มองสตรีงดงามที่ยืนทอดสายตาไปไกลอยู่บนกำแพงเมือง ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย คล้ายอิจฉา คล้ายยินดี และคล้ายผิดหวัง
“ติ้งอ๋องช่างดูวางใจนัก” เมื่อเดินไปหยุดอยู่ข้างเยี่ยหลีแล้ว หานหมิงเย่ว์ก็เอ่ยทอดถอนใจขึ้นเบาๆ
เยี่ยหลีผินหน้าไปมองนางทีหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าเป็นภรรยาของเขา หากแม้แต่ข้ายังมิอาจทำให้เขาวางใจได้ แล้วผู้ใดเลยจะทำได้”
หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้ว อมยิ้มเอ่ยถามว่า “ครานี้ไม่เหมือนกับคราที่หย่งหลิน เจิ้นหนานอ๋องก็มิใช่หลีอ๋อง พระชายาไม่นึกกลัวสักนิดเลยจริงๆ หรือ”
เยี่ยหลีหมุนตัวมามองเขาด้วงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หากความกลัวสามารถแก้ปัญหาได้ เช่นนั้น…ข้าก็กลัวยิ่งนัก” พูดจบนางก็ไม่สนใจว่าหานหมิงเย่ว์คิดอยากพูดอันใดอีก หันไปพูดกับเฟิ่งซานที่ยืนอยู่ไม่ไกลว่า “ส่งคนไปช่วยแม่ทัพหยวนเผย แล้วก็ กระจายกำลังพลออกไปตามที่ต่างๆ ในซีเป่ย ในเมืองซิ่นหยางไม่จำเป็นต้องมีทหารจำนวนมากเช่นนี้”
คิ้วคมของเฟิ่งจือเหยาขมวดเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “พระชายา หากกระจายกำลังออกไป เกรงว่าคงไม่ดีต่อการป้องกันเมืองซิ่นหยางนะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ผู้ใดบอกว่าจะป้องกันเมืองซิ่นหยางกัน สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ ยื้อให้ทหารหลายแสนนายของเจิ้นหนานอ๋องและทัพกลางของเขาอยู่ที่ซีเป่ย ให้เขาไม่มีเวลาไปขวางท่านอ๋อง ส่วนเมืองซิ่นหยาง…ยามนี้ในเมืองซิ่นหยาง นอกจากกองทัพตระกูลม่อแล้วก็มีเพียงชาวบ้านอีกไมกี่ร้อยคน? หากเกิดเหตุวุ่นวายขึ้น จะมีสักกี่คนที่จะมาสนใจเมืองในซีเป่ยนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป…พื้นที่จงหยวนต่างหากที่จะเป็นเวทีละครที่สำคัญที่สุดของใต้หล้า”
เฟิ่งจือเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง ประสานมือเอ่ยว่า “ข้าน้อยรับบัญชา”
เมื่อเห็นเฟิ่งจือเหยาหมุนตัวเดินไปแล้ว หานหมิงเย่ว์หัวเราะพร้อมถอนใจ “แต่ไหนแต่ไรมาเฟิ่งซานเป็นคนหยิ่งทระนงในตนเอง นอกจากซิวเหยาแล้วเขาไม่เคยฟังคำผู้ใดอีก ไม่คิดว่าเขาจะเลื่อมใสพระชายาด้วยใจจริง”
ไม่เพียงเฟิ่งจือเหยา แม้แต่เขาเองในใจยังนึกตกใจกับความคิดอ่านและความเด็ดขาดของสตรีที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีผู้นี้ และในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า คนที่ไร้หัวใจไร้ความรู้สึกอย่างม่อซิวเหยา เหตุใดถึงได้ให้ความสำคัญกับชายาติ้งอ๋องผู้นี้นัก สตรีเช่นนี้ สามารถทำให้บุรุษที่องอาจ มัวเมาและอ่อนลงได้
เมื่อมองส่งเยี่ยหลีเดินลงจากกำแพงเมืองไปแล้ว หานหมิงเย่ว์ก็หันมองไปทางมุมหนึ่งของกำแพงเมือง แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ยามนี้เจ้าเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเจ้ากับนางแล้วหรือยัง”
ในมุมมืดมุมหนึ่ง ซูจุ้ยเตี๋ยเดินออกมาอย่างเงียบขรึม ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความบึ้งตึงและไม่ยอมแพ้ ไม่เพียงเพราะความไว้ใจที่ม่อซิวเหยามีให้เยี่ยหลี แต่ยิ่งกว่านั้นคือ นางรู้แจ้งแก่ใจว่านางไม่มีความสามารถและความกล้าหาญเช่นเยี่ยหลี เมื่อได้เห็นเยี่ยหลีสั่งการกระจายกำลังทหารด้วยท่าทีสงบนิ่ง และท่าทางในการออกคำสั่งอย่างนั้นของนางแล้ว ทำให้นางนึกอิจฉาถึงขั้นคาดหวังอยากให้ตนเองมีอำนาจเช่นนั้นบ้าง แต่ในใจลึกๆ นั้นก็รู้ดีเช่นกันว่า ตนไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น ก็เหมือนกับที่นางเติบโตมาในตระกูลใหญ่ ตบตีแย่งชิงมาแล้วกับคนทั่วทั้งวังหลัง ไม่มีทางเข้าใจคำสั่งเช่นนั้นของเยี่ยหลี
นางส่งเสียงหึเบาๆ อย่างไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”
หานหมิงเย่ว์มิได้ตอบอันใด นิ่งไปพักหนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ไปเถิด ไว้รอให้สงครามสิ้นสุดลงแล้ว พวกเราจะไปจากที่นี่กัน อย่าได้ทำเรื่องอันใดไร้สาระเลย หากไปทำให้ชายาติ้งอ๋องโกรธเข้า ข้าก็คงช่วยอันใดเจ้าไม่ได้”
ซูจุ้ยเตี๋ยกัดฟันกรอด ถลึงตามองหานหมิงเย่ว์อยู่เป็นนาน แต่สุดท้ายก็มิได้พูดอันใดออกมา
เมื่อม่อซิวเหยาออกเดินทางไปแล้ว ความสงบในเมืองซิ่นหยางที่เคยมีในช่วงสั้นๆ ก็หายไป บนกำแพงเมือง นายทหารของกองทัพตระกูลม่อจับจ้องไปยังทหารของซีหลิงที่มองมายังเมืองซิ่นหยางตาเป็นมันอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ตามคำสั่งของเยี่ยหลี เฟิ่งจือเหยานำทหารกองทัพตระกูลม่อที่มีอยู่กว่าครึ่งลอบเคลื่อนพลออกจากเมืองซิ่นหยาง บางทีเจิ้นหนานอ๋องอาจรู้ หรืออาจจะไม่รู้ หรือบางทีอาจคิดว่าการที่มีทหารประจำการอยู่ในเมืองซิ่นหยางจำนวนน้อยลง คงเป็นผลดีกับเขา
เกือบทุกวัน ที่นอกเมืองซิ่นหยางจะมีการสู้รบกันใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ทัพใหญ่ของซีหลิงที่ก่อนหน้านี้บุกทะลวงได้รวดเร็วประหนึ่งตัดต้นไผ่ กลับไม่สามารถก้าวเข้ามาเหยียบเมืองซิ่นหยางได้อีกเลย
ข่าวที่ส่งมาจากพื้นที่ต่างๆ ของซีเป่ย และกองทัพตระกูลม่อที่จู่ๆ ก็กระจายตัวไปทั่วพื้นที่เขตซีเป่ย ทำให้เจิ้นหนานอ๋องยังคงคิ้วขมวดทั้งที่เพิ่งได้รับข่าวว่า ม่อซิวเหยาถูกทหารเกือบแปดแสนนายล้อมเอาไว้ เขาเข้าใจแล้วว่า สตรีที่มาปรากฏตัวบนกำแพงเมืองซิ่นหยางเป็นครั้งคราวและมองคราบเลือดที่สาดกระเซ็นด้วยสีหน้าเรียบเฉยนั้น แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์อันใดกันแน่ เพียงแต่ยามนี้…เขากลับไม่สามารถถอนตัวออกไปได้แล้ว หากบุกยึดพื้นที่ทั้งหมดของซีเป่ยไม่ได้ เป้าหมายของเขาในการแผ่ขยายไปยังจงหยวนคงได้จมลงในทรายดูดอย่างแน่นอน
ที่ทำให้เขาโกรธจัดยิ่งไปกว่านั้นคือ ถึงแม้จะมีข่าวว่าม่อซิวเหยาตกอยู่กลางวงล้อมของทหารจำนวนมาก ก็ยังมิอาจทำให้สตรีในเมืองผู้นั้นตื่นตระหนกหรือร้อนรนได้แม้แต่น้อย นอกเหนือจากการคิดเยาะหยันว่าม่อซิวเหยาได้แต่งงานกับภรรยาที่ไร้ความรู้สึกแล้ว ก็มิอาจไม่ลอบคาดเดาไปว่าสตรีผู้นี้เป็นสตรีเช่นไรกันแน่
บนทำแพงเมือง เยี่ยหลีจัดการเรื่องการทหารและการบ้านการเมืองตามปกติ นางเดินขึ้นบนกำแพงเมืองมอกไกลออกไปยังค่ายของซีหลิงที่มีธงโบกสะบัดอยู่อย่างหนาแน่น
“พระชายา…” เฟิ่งจือเหยาเดินขึ้นมาบนกำแพง เมื่อเห็นร่างบอบบางงดงามของสตรีตรงหน้าแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มีเพียงพวกเขาที่เป็นคนใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะรู้ว่า สตรีที่อายุยังน้อยนักผู้นี้ ต้องแบกรับความกดดันและความรับผิดชอบอันใดไว้บ้าง ในขณะเดียวกัน ความแข็งแกร่งและเด็ดขาดของสตรีตรงหน้าผู้นี้ ก็ทำให้นายทหารทุกคนในกองทัพตระกูลม่อต่างยอมรับนางด้วยใจจริง และด้วยเพียงเพราะนางคือเยี่ยหลี แต่มิใช่ด้วยเพราะนางคือชายาติ้งอ๋อง
เยี่ยหลีหันมายิ้มน้อยๆ “เฟิ่งซาน มีอันใดหรือ”
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วมองใบหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียวของนาง เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “หลายวันนี้พระชายาดูสุขภาพไม่ค่อยดีเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ให้หมอมาดูหน่อยดีหรือไม่”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น หากเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงรับมือได้ง่ายเพียงนั้น คงมิได้รับการขนานนามว่าเทพแห่งสงครามแห่งซีหลิงหรอก ข้าเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย”
เฟิ่งจือเหยามองนางยิ้มๆ “ข้าน้อยดูไม่ออกเลยว่าพระชายามีความตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ที่พวกเราสามารถทำให้ทัพซีหลิงไม่แบ่งกำลังพลออกไป และรั้งให้เจิ้นหนานอ๋องอยู่ในเขตซีเป่ยได้ อย่างน้อยๆ ก็สามารถแบ่งเบากำลังทหารให้ท่านอ๋องได้ถึงหนึ่งในสาม พระชายามีผลงานไม่น้อยทีเดียว”
“หนึ่งในสาม…” เยี่ยหลีนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “ยามนี้ทางฝั่งท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
เฟิ่งจือเหยาลังเลเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยตอบตามความจริงว่า “ถึงแม้พลทหารของกองทัพตระกูลม่อจะอยู่ภายใต้กายควบคุมของท่านอ๋องแล้ว แต่ในยามนี้ทัพของซีหลิง หนานจ้าวและหลีอ๋องบุกมาพร้อมกัน ทหารในมือท่านอ๋องมีเพียงห้าแสนนายเท่านั้น การจะรับมือศัตรูทั้งสามฝ่ายพร้อมๆ กันนั้นเกินขีดความสามารถไปมาก หนำซ้ำยังต้องคอยระวังลูกไม้สกปรกของท่านนั้นในเมืองหลวงว่าจะตลบหลังอีกด้วย”
“ยามนี้ทหารที่ท่านอ๋องต้องคอยรับมือมีอยู่จำนวนเท่าใด”
“อย่างน้อยก็แปดแสนนาย” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยเสียงขรึม
เยี่ยหลีหัวเราะอย่างเยาะหยัน “มิใช่ต้องคอยระวังลูกไม้สกปรกหรอก แต่เขาเล่นลูกไม้แล้วต่างหาก หนานจ้าวเป็นแคว้นเล็กๆ กำลังทหารทั้งหมดไม่มีทางเกินสามแสนนาย ม่อจิ่งหลีที่อยู่ทางใต้ยังต้องคอยกันม่อจิ่งฉี แบ่งกำลังทหารมาได้อย่างมากก็เพียงสองแสนนาย ส่วนซีหลิง…ทัพของเหลยเถิงเฟิงทั้งหมดก็ไม่มีทางเกินสองแสนนาย”
เฟิ่งจือเหยาหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “ยามนี้ยังไม่มีข่าวเรื่องที่ต้าฉู่จะส่งทหารไปประจำการยังพื้นที่ต่างๆ ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า…ในนั้นต้องมีทหารของม่อจิ่งฉีรวมอยู่อย่างน้อยหนึ่งแสนนาย!”
เยี่ยหลีค่อยๆ หลับตาลง เอ่ยถอนใจเบาๆ ว่า “ม่อจิ่งฉีหมายมั่นปั้นมือที่จะทำลายตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อให้จงได้แล้ว”