กลางดึก
ภายในกระโจมค่ายใหญ่ของกองทัพตระกูลม่อ เปลวเทียนยังคงเผาไหม้อยู่เงียบๆ ม่อซิวเหยานั่งอ่านฎีกาอยู่หลังโต๊ะหนังสือ คิ้วเข้มของเขาขมวดน้อยๆ อยู่เป็นครั้งคราว ความตั้งใจในการกำจัดกองทัพตระกูลม่อของม่อจิ่งฉีนั้นจะประเมินต่ำไปไม่ได้เลย หลายวันนี้กองทัพตระกูลม่อขนาดห้าแสนนาย ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีมากกว่าแปดแสนนายเสียอีก ยิ่งรวมเข้ากับศัตรูที่ไม่เปิดเผยตัวแล้ว รวมกันน่าจะมีประมานหนึ่งล้านนายได้
ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะมีพรสวรรค์ด้านการทำศึกอย่างแท้จริง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังอดรู้สึกกดดันไม่ได้ เพราะไม่เพียงต้องแบ่งกำลังไว้คอยรับมือศัตรูจากหนานจ้าว ซีหลิงและหลีอ๋องเท่านั้น แต่ยังต้องคอยระวังว่าม่อจิ่งฉีจะเล่นลูกไม้สกปรกลับหลังอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ม่อซิวเหยากลับยิ่งซูบผอมลงไปกว่าตอนป่วยก่อนหน้านี้เสียอีก
“ท่านอ๋อง” อาจิ่นที่ไม่ได้พบหน้ามาเสียนานปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ยังคงเคร่งขรึมและพูดน้อยเช่นเคย
ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามว่า “รายงานการศึกจากซีเป่ยมีส่งมาแล้วหรือยัง”
อาจิ่นพยักหน้า ยื่นรายงานการศึกที่เพิ่งได้รับมาส่งให้ม่อซิวเหยา
ไม่ว่าจะดึกดื่นเพียงใด ท่านอ๋องก็ต้องอยู่อ่านรายงานการศึกของซีเป่ยให้จบเสียก่อนถึงจะยอมไปพัก เขารู้ถึงข้อนี้ดี อาจิ่นรีบนำข่าวมาส่งให้ท่านอ๋องทันทีที่ได้รับจนกลายเป็นความเคยชิน
ม่อซิวเหยายื่นมือออกไปรับ ก้มหน้าลงอ่านแล้วอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ ข่าวการศึกที่ว่ากองทัพตระกูลม่อร่นถอยไปทางหงโจวเรื่อยๆ นั้น ทำให้คิ้วของเขาแทบผูกกันเป็นปม นี่มิใช่กลยุทธ์การศึกที่กองทัพตระกูลม่อนิยมใช้ อีกทั้งความเก่งกาจของทัพซีหลิงในยามนี้ก็ยังห่างไกลจากการที่จะทำให้กองทัพตระกูลม่อร่นถอยถอนทัพได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
เมื่อเห็นจำนวนทหารที่บาดเจ็บล้มตายในรายงาน ม่อซิวเหยาก็ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว “เป็นความตั้งใจของอาหลีหรือ อาหลีเจ้ากำลังคิดสิ่งใดกัน” เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนม่อซิวเหยาจะเงยหน้าขึ้น “เอารายงานของหลายวันก่อนหน้านี้ทั้งหมดมาที แล้วก็แผนที่ด้วย!”
อาจิ่นมองท่านอ๋องของตนที่ถลึงตัวลุกขึ้นพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากด้วยความตกใจ รีบรับคำก่อนหมุนตัวออกไปนำสิ่งที่ม่อซิวเหยาต้องการมาให้ทันที
อาจิ่นทำงานได้รวดเร็วยิ่งนัก ไม่นานแผนที่และรายงานการศึกที่ม่อซิวเหยาต้องการก็มาวางลงตรงหน้าเขา
ม่อซิวเหยาหยิบรายงานการศึกขึ้นอ่านทุกประโยคที่เขียนอยู่บนนั้นโดยละเอียด สลับกับมองแผนที่เป็นระยะๆ จนในที่สุดก็นิ่งไปอย่างใช้ความคิด
“ท่านอ๋อง?” อาจิ่นเอ่ยเรียกด้วยความเป็นกังวล สีหน้าของท่านอ๋องถือว่าไม่สู้ดีนัก
ม่อซิวเหยาหลุบตาลง สีหน้าดูกล้ำกลืนและไม่รู้จะทำเช่นไรดี “อาหลี…” ม่อซิวเหยามองดูแผนที่ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขามองออกแล้วว่าเยี่ยหลีต้องการทำสิ่งใด เขาเข้าใจในความพยายามของนางแล้ว เพียงแต่ด้วยเพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดเป็นที่สุด ภรรยาที่เขารักสุดหัวใจ อาหลีของเขา เดิมทีนางควรเป็นชายาติ้งอ๋องผู้แสนสง่างามที่ทุกคนต่างต้องอิจฉา แต่ยามนี้ กลับต้องไปอยู่ยังที่ที่ห่างไกลอย่างซีเป่ย คอยบัญชาการกองทัพและก้าวเดินอยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด ทั้งหมดนี้…เป็นเพราะเขาไร้ความสามารถ…
“ตัดขาดการติดต่อระหว่างทัพใหญ่ของซีหลิงกับทหารซีหลิงที่ประจำการอยู่ชายแดน กำจัดทหารซีหลิงทั้งสองแสนนาย…อาหลี อาหลี…”
ม่อซิวเหยารู้สึกประหนึ่งมีคนมาฉีกหัวใจของเขา จนเจ็บปวดแทบหายใจไม่ออก เขาพยายามข่มความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในใจอย่างยากลำบาก แล้วม่อซิวเหยาก็ใจกระตุกขึ้นมอีกครั้ง บางทีแผนการของอาหลีอาจจะถูกต้องแล้ว แต่เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงก็มิใช่คนธรรมดา หากเขาเกิดมองแผนการของเยี่ยหลีออก…
ม่อซิวเหยาถลึงตัวลุกขึ้น เอ่ยเสียงขรึมว่า “ไปเตรียมม้า ข้าจะออกไปข้างนอกหน่อย เรื่องในกองทัพมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งหลายเป็นการชั่วคราว!”
อาจิ่นอึ้งไป มองม่อซิวเหยาด้วยความไม่เข้าใจ ยามนี้เป็นยามสามเข้าไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องถึงนึกอย่างออกไปข้างนอกขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ เขาเหลือบมองม้วนกระดาษและแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะ บางทีอาจเกิดเรื่องขึ้นกับพระชายา?
อาจิ่นยังไม่รับคำสั่ง แต่เอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ท่านอ๋อง อีกไม่นานก็จะถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำที่พระจันทร์เต็มดวงแล้ว หากท่านเกิดเป็นระหว่างทาง… อีกอย่าง ยามนี้การศึกกำลังอยู่ในช่วงคับขัน จู่ๆ ท่านมาออกไปเช่นนี้เกรงว่าคงจะไม่ดีนัก…”
ม่อซิวเหยาหลุบตาลง นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันขึ้นสิบสามค่ำเดือนสิบแล้ว และไม่ว่าอย่างไรตนไม่มีทางเดินทางถึงหงโจวภายในเวลาสองวันแน่นอน เรื่องใหญ่ๆ ในค่ายก็ยังต้องมีเขาคอยจัดการ… เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนม่อซิวเหยาจะตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “พรุ่งนี้แต่เช้า เรียกผู้บัญชาการทหารที่มียศสูงกว่าแม่ทัพทุกคนให้มาพบข้า อีกอย่าง ส่งข่าวไปถึงม่อหวา ให้รีบนำคนเดินทางไปคุ้มครองความปลอดภัยของพระชายาที่ซีเป่ย เมื่อถึงยามจำเป็น…พาตัวพระชายาออกมาจากสนามรบให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยสิ่งได้ก็ตาม ออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!” อาจิ่นรับคำก่อนเดินออกไป
ม่อซิวเหยากลับนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง พึมพำเสียงเบาว่า “อาหลี…เจ้าจะต้องปลอดภัย…”
สถานการณ์รบในซีเป่ย ประหนึ่งด้วยเพราะถูกเก็บกดเอาไว้นาน ในที่สุดจึงปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากเข้าเขตหงโจว เจิ้นหนานอ๋องรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่า กองทัพตระกูลม่อสู้รบอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วในการเคลื่อนพลขึ้นหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ ช้าลง
เจิ้นหนานอ๋องมองเมืองหงโจวที่อยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อย่างไม่เห็นท้องฟ้าที่สดใสอีกแล้ว เขารู้แล้วว่าเขาติดกับเยี่ยหลี ถูกล่อให้เข้ามาอยู่ใจกลางซีเป่ย แต่เช่นนั้นแล้วอย่างไร ถึงแม้ทัพของซีหลิงจะเสียหายย่อยยับ แต่กองทัพตระกูลม่อก็ไม่มีทางดีไปกว่าพวกเขา เขาไม่มีทางเชื่อว่า ด้วยกำลังทหารที่เท่ากันแล้ว เขาจะรบชนะสตรีนางหนึ่งไม่ได้ อีกทั้งเวลาก็ไม่อนุญาตให้เขารอจนทัพเสริมจากซีหลิงเดินทางมาถึง เขาจะต้องเอาเมืองหงโจวมาเป็นของตนให้ได้เร็วที่สุด และควบคุมพื้นที่ทั้งซีเป่ยไว้ให้ได้ เพื่อเปิดทางให้ทัพเสริมที่กำลังตามมา และเช่นเดียวกันก็เพื่อเข้าไปเตรียมการยังที่พักขุนนางของต้าฉู่
“ท่านอ๋อง กองทัพตระกูลม่อโดยมากร่นถอยกลับเข้าเมืองหงโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ น่าจะเตรียมตัวรักษาเมืองหงโจวไว้ให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “ข้ายังคิดว่าเยี่ยหลีจะมีลูกไม้ขั้นสูงอันใดเสียอีก รักษาเมืองหงโจว…นางจะสามารถรักษาไว้ได้สักสิบวันหรือครึ่งเดือน? ไว้รอให้ทัพเสริมจากตะวันตกมาถึงเสียก่อนเถิด เมืองเล็กๆ อย่างหงโจว นางจะรักษาไว้ได้สักกี่วันเชียว”
ผู้บัญชาการทหารใต้บังคับบัญชาเอ่ยเตือนว่า “ท่านอ๋องโปรดอย่าได้วางใจ ก่อนหน้านี้ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย เยี่ยหลีใช้ทหารเพียงสองหมื่นนายรักษาเมืองหย่งหลินไว้ให้ไม่แตกได้ มิอาจประเมินนางต่ำไปได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องหุบยิ้มลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าย่อมไม่ประเมินนางต่ำไปแน่ บุกโจมตีเมืองหงโจวโดยเร็วที่สุด!”
เขาไม่มีทางประเมินนางต่ำไป ดังนั้นเขาจะใช้กำลังพลทั้งหมดในการบุกโจมตีเมืองหงโจวให้แตก การประมาทและดูถูกศัตรูนั้น มิใช่คนที่อายุอย่างเขาจะทำผิดได้ง่ายๆ
นึกไปถึงสตรีงดงามที่ดูจะบอบบางผู้นั้น เขานึกใคร่รู้เสียจริงว่า เมื่อยามที่เขาตีเมืองหงโจวแตกและไปยืนต่อหน้านางแล้ว นางจะยังคงรักษากิริยาให้สงบนิ่งเช่นนั้นได้อยู่หรือไม่
ขึ้นสิบสามค่ำเดือนสิบ ในที่สุดทัพของซีหลิงก็ยกเข้าประชิดเมือง เมืองหงโจวต้องเผชิญกับการโจมตีที่ดุเดือดอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ก็เช่นเดียวกัน ทัพใหญ่ซีหลิงเองก็ต้องเผชิญกับการต้านทางที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเผชิญมาก่อนเช่นกัน
บนกำแพงเมือง หน่วยเฮยอวิ๋นฉีกระหน่ำยิงธนูประหนึ่งห่าฝนเข้าใส่ผู้บุกรุกที่ด้านล่างกำแพงเมือง แต่คนด้านนอกกำแพงเมืองก็พุ่งเข้าใส่คนแล้วคนเล่าอย่างไม่กลัวตาย
เจิ้นหนานอ๋องนั่งบังคับม้าอยู่ด้านหลังทัพใหญ่ เห็นลางๆ ว่าบนจุดสูงสุดของกำแพงเมืองหงโจว มีสตรีในชุดสีอ่อนนั่งอย่างสบายๆ มองการฆ่าฟันทางด้านล่างด้วยความสงบนิ่ง
เบื้องหลังสตรีในชุดสีอ่อน มีชายฉกรรจ์สามสี่คนยืนกุมมืออยู่ด้านหลัง และกำลังมองการฆ่าฟันทางด้านล่างอยู่เช่นกัน แม้จะอยู่ไกล แต่เจิ้นหนานอ๋องก็ยังมองออกว่า ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหนึ่งในนั้นที่อยู่ในชุดสีแดงก็คือเฟิ่งจือเหยา คนสนิทที่ติ้งอ๋องไว้ใจเป็นที่สุด
เมื่อเห็นศัตรูของตนนั่งสบายๆ อยู่บนกำแพงเมืองเช่นนั้น แววตาของเจิ้นหนานอ๋องก็มีประกายแห่งรังสีสังหารเปล่งออกมาทันที “ชายาติ้งอ๋องตัวดี!”
บนแท่นสูง เยี่ยหลีเองก็กำลังทอดสายตามองไปยังเบื้องหลังของกองทัพซีหลิงอยู่เช่นกัน นางหันไปเอ่ยกลั้วหัวเราะกับเฟิ่งจือเหยาว่า “เฟิ่งซาน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราทำศึกปะทะกับเจิ้นหนานอ๋องตรงๆ ใช่หรือไม่”
เฟิ่งจือเหยากรอกตาบนอย่างไม่นึกสนุกด้วย “จะไม่ใช่ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เอาแต่แล่นแผนการรบไปถอยไป หากยังทำศึกเช่นนั้นต่อไป ผู้อื่นคงได้นึกสงสัยว่า กองทัพตระกูลม่อของพวกเราทำเป็นแต่ถอยเสียแล้ว”
เมื่อได้ยินเฟิ่งจือเหยาบ่นกระปอดกระแปดเช่นนั้น เยี่ยหลีก็ระบายยิ้มออกมา “ถ้าเช่นนั้น ก็ควรจะฉลองกันให้ดีสักหน่อย…” พูดจบ เยี่ยหลีก็หันไปหยิบผีผา มาจากมือฉินเฟิง ใช้นิ้วดีดเบาๆ ก็เกิดเป็นท่วงทำนองอันกังวานใสดังออกมาทันที เยี่ยหลียิ้มบางๆ สิบนิ้วร่ายรำเริงระบำอยู่บนผีผา เสียงจากผีผาเริ่มจากเบาไปดัง และค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วสมรภูมิรบ
ระหว่างการรบราฆ่าฟัน ทหารทั้งหลายต่างไม่มีแก่ใจมาเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหู ในสมรภูมิรบ หากเสียสมาธิแม้เพียงเล็กน้อย นั่นอาจหมายถึงต้องสละด้วยชีวิตของตนเลยทีเดียว เพียงแต่เสียงดนตรีที่ฟังเหมือนทุ้มต่ำ แต่ดังกังวานกลับดังถึงหูนายทหารทุกคนอย่างชัดเจน
นายทหารของกองทัพตระกูลม่อทุกคนเมื่อได้ยินท่วงทำนองนั้นแล้ว ประหนึ่งได้นึกย้อนกลับไปถึงความรุ่งโรจน์ของกองทัพตระกูลม่อเมื่อในอดีต เสมือนได้เห็นติ้งอ๋องรุ่นก่อนๆ ในประวัติศาสตร์กำลังนำพวกเขาออกไปสู้รบอย่างองอาจและห้าวหาญ
“ขับไล่ผู้รุกรานออกไป ปลุกวิญญาณกองทัพตระกูลม่อของพวกเราขึ้นมา!” ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนตะโกนประโยคนี้ขึ้นมา นายทหารทั้งหลายในสนามรบก็มีรังสีสังหารแผ่ออกมาทันที “ตาย!”
เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “นี่คือ…เพลงก้าวข้ามท่านอ๋อง ทำลายศัตรู…”
เยี่ยหลีไม่ตอบ นิ้วมือทั้งสิบนิ้วยังคงโบยบินไปตามสายพิณกลายเป็นเสียงเพลงที่อันทรงพลังและเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
เยี่ยหลีได้รับการอบรมจากสวีซื่อและคนตระกูลสวีทุกคนมาตั้งแต่เล็กๆ นางจะไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องดนตรีได้อย่างไรแค่เพียงนางไม่ชื่นชอบเท่าไรนักเท่านั้น
เพลงออกศึกนี้เดิมทีเป็นเพลงที่เล่นในเครื่องดนตรีกู่ฉิน เป็นท่วงทำนองโบราณที่ทรงพลังและสง่างาม แต่เยี่ยหลีรู้สึกว่าเพลงนี้เหมาะที่จะใช้ผีผาในการบรรเลงเสียมากกว่า ก็เหมือนกับเพลง “ซุ่มโจมตีจากสิบทิศ” ในชาติก่อน ที่มิใช่ว่าเครื่องดนตรีประเภทอื่นจะเล่นเพลงนี้ไม่ได้ แต่เสียงที่ออกมานั้นยากที่จะเทียบเคียงกับผีผาได้ วิธีการดีดและเสียงจากผีผานั้น มีความดุดันและยิ่งใหญ่กว่ามากนัก
เฟิ่งจือเหยาก็ดูจะมิได้หวังจะได้คำตอบจากเยี่ยหลี เขาเพียงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เพลงก้าวข้ามอ๋อง ห้ำหั่นศัตรู หายสาบสูญไปกว่าสองร้อยปีแล้ว คงมีเพียงตระกูลสวีเท่านั้นที่มีเพลงนี้เก็บไว้อยู่”
ทหารทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งเข้าห้ำหั่นกัน ว่ากันว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากัน ผู้ชนะก็คือผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ยามที่ทหารกองทัพตระกูลม่อฮึกเหิมขึ้นด้วยรังสีสังหารนั้น เมื่อเทียบกันแล้ว ความห้าวหาญของทหารซีหลิงดูจะด้อยกว่าเล็กน้อย
ด้านหลังทัพซีหลิงที่มีธงโบกสะบัดอยู่นั้น เจิ้นหนานอ๋องมองสตรีในชุดสีอ่อนอย่างเหม่อลอย แววตายากที่จะหยั่งลึก
ผู้บัญชาการทหารที่ติดตามอยู่ข้างกายเอ่ยเรียกเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง…กองทัพตระกูลม่อกำลังฮึกเหิมยิ่งนัก พวกเรา…ถอนกำลังแนวหน้ากลับมาก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
มิอาจไม่กล่าวว่า ชายาติ้งอ๋องผู้นั้นถือเป็นคนมีความสามารถมากคนหนึ่ง แค่เพียงเสียงผีผาธรรมดาๆ ก็สามารถทำให้กองทัพตระกูลม่อฮึกเหิมขึ้นได้อีกขั้นแล้ว
เจิ้นหนานอ๋องเงยหน้าขึ้นหัวเราะอยู่นาน แซ่ม้าในมือชี้ขึ้นไปทางกำแพงเมือง เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “สตรีเช่นนี้สิ ถึงจะน่าสนใจ เมื่อเทียบกับนางแล้ว พวกหญิงงามทั้งหลายต่างก็เป็นแค่เศษสวะ! ฮ่าๆ…คนที่กล้าถอย ฆ่าทิ้งให้หมด สตรีผู้นี้…ต้องเป็นของข้า!”
ผู้บัญชาการทหารข้างกายเอ่ยรับคำอย่างตะกุกตะกักและไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก
เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าม่อซิวเหยามีพรสวรรค์ด้านการจัดรูปขบวนทหาร แต่ไม่รู้ว่ายามนี้เมื่อม่อซิวเหยาไม่อยู่ในกองทัพ กองทัพตระกูลม่อจะยังมีคนที่สามารถทำลายศัตรูได้อีกหรือไม่”
เจิ้นหนานอ๋องเองก็ฟังออกว่าท่วงทำนองเมื่อครู่เป็นเพลงก้าวข้ามอ๋อง ทำลายศัตรู เดิมทีเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ซีหลิงและตงฉู่เคยเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงแม้วัฒนธรรมหลายอย่างจะไม่เหมือนกันสักทีเดียว แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก
เจิ้นหนานอ๋องเพียงโบกมือ เสียงกลองศึกก็ดังขึ้นทันที นายทหารต่างโบกสะบัดธงแดงที่อยู่ในมือ แล้วความฮึกเหิมของทหารซีหลิงก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของเยี่ยหลีและคณะที่นั่งอยู่บนที่สูง
เฟิ่งจือเหยามองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเบื้องล่าง แล้วเอ่ยว่า “การจัดทัพแบบลิ่วฮวา…ไม่สิ…มีบางอย่างแปลกไป…”
เขาเห็นเพียงนายทหารซีหลิงจัดขบวนทัพเป็นด้านในกลมด้านนอกสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ และในทัพขนาดใหญ่นั้นก็มีกองทัพเล็กๆ อยู่อีกจำนวนนับไม่ถ้วน
จำนวนทหารของกองทัพตระกูลม่อที่ออกมารับศีก เดิมทีก็มีจำนวนน้อยกว่าซีหลิงอยู่แล้ว ยามนี้จึงยิ่งดูน้อยประหนึ่งหยดน้ำในมหาสมุทร
เฟิ่งจือเหยาส่งเสียงหึเบาๆ เขาโบกมือ แล้วธงด้านบนก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว กองทัพตระกูลม่อเปลี่ยนรูปขบวนกลายเป็นมังกรสีดำขนาดใหญ่ที่แผ่กระจายไปทั่วสมรภูมิรบ หัวขบวนเป็นหน่วยที่เก่งกาจที่สุดของกองทัพตระกูลม่ออย่างหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ไม่ว่าจะเคลื่อนตัวไปที่ใด ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาแตะต้องหัวมังกรอันแหลมคมนี้ ยามที่มังกรดำสะบัดหาง ก็เกิดความวุ่นวายในรูปขบวนของศัตรู จนยากที่จะรักษารูปขบวนเอาไว้ได้
ด้านหลังทัพใหญ่ของซีหลิง เปลี่ยนเป็นธงสีดำขึ้นโบกสะบัด ขบวนทัพลิ่วฮวาในสมรภูมิรบก็เปลี่ยนเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่ของนกเผิงเหนี่ยว เข้าขย้ำมังกรดำทันที และในชั่วพริบตาก็ตัดมังกรขนาดใหญ่ก็ขาดออกเป็นสองท่อนทันที
“บ้าเอ้ย!” เฟิ่งจือเหยาถึงกับสบถออกมา ธงเหนือกำแพงเปลี่ยนไปอีกครั้ง มังกรขนาดใหญ่ของกองทัพตระกูลม่อที่ขาดออก ก็เปลี่ยนกลายเป็นธนูอันคมกริบสีดำที่พุ่งเข้าใส่นกเผิงเหนี่ยวทันที
เยี่ยหลีลุกขึ้นยืนมองการสู้รบที่อยู่ด้านล่าง รูปขบวนการรบในยุคนี้ได้หายสาบสูญไปนานแล้ว และก็มิใช่สิ่งที่จำเป็นเท่าไรนัก ดังนั้นเยี่ยหลีจึงไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้เอาเสียเลย ถึงแม้จะเคยเห็นผ่านตาในหนังสือการศึกมาพอสมควร แต่เมื่อถึงเวลาต้องนำมาใช้จริง ในหัวนางกลับมีเพียงความว่างเปล่า
ยามนี้เมื่อได้มาเห็นเฟิ่งจือเหยาบัญชาการรูปขบวนของทัพใหญ่ ในใจจึงพอเข้าใจหลักการขึ้นมาบ้าง นางจึงก้มหน้านิ่งคิดวิธีการทำลายทัพศัตรูขึ้นมาในหัว