ภายในห้องทรงพระอักษร
ม่อจิ่งฉีนั่งอยู่บนราชอาสน์ สีหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่นิ่ง พักใหญ่ถึงได้เอ่ยออกมาว่า “เรียกมู่หยางโหวให้เข้าวังมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
ขันทีที่รับใช้อยู่ภายในห้องทรงพระอักษรรู้ดีว่ายามนี้ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ไม่ดีนัก จึงมิกล้าพูดอันใดมาก รีบรับคำแล้วหมุนตัวออกไปทันที
มู่หยางโหวมาถึงอย่างรวดเร็ว อันที่จริงตั้งแต่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวติดตามชายาติ้งอ๋องไปทำศึก เขาก็จิตใจไม่สงบอีกเลย ถึงแม้จะมีข่าวว่าพ่อลูกหนานโหวที่เป็นอริกับตนมาตลอดถูกสั่งเก็บไปแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจทำให้เขาวางใจได้
จวนมู่หยางโหวจงรักภักดีกับฮ่องเต้ แต่ก็ด้วยเพราะเหตุนี้ มู่หยางโหวที่ติดตามชายาติ้งอ๋องออกไปทำศึกจึงมีความเสี่ยงมากนัก ถึงแม้ระหว่างนี้ จะได้รับจดหมายสองฉบับจากมู่หยางว่าตนปลอดภัยดี แต่นั่นจะมีประโยชน์อันใด ซีเป่ยและเมืองหลวงอยู่ห่างกันเป็นหมื่นลี้ หากเกิดอันใดขึ้นจริง กว่าฝ่าบาทจะส่งคนลงไปถึง เกรงว่าแม้แต่ศพบุตรชายของตนก็คงเน่าเปื่อยไปเสียหมดแล้ว
ที่สำคัญกว่านั้นคือ มู่หยางโหวรู้จักฮ่องเต้ที่ยังทรงหนุ่มแน่นผู้นี้เป็นอย่างดี เขาเป็นคนขี้ระแวงยิ่งนัก เรียกได้ว่าหาตัวจับยากเลยทีเดียว หลายวันนี้มู่หยางก็มิได้ส่งข่าวอันใดที่ไม่เป็นผลดีต่อชายาติ้งอ๋องมาอีกเลย ซึ่งไม่เป็นไปตามพระประสงค์เดิมของฮ่องเต้อย่างแน่นอน ถึงยามนั้นก็เป็นไปได้ที่ฮ่องเต้จะนึกระแวงสงสัยว่ามู่หยางสมคบคิดกับชายาติ้งอ๋อง ถึงยามนั้น…เกรงว่าจวนมู่หยางก็คงไม่ต่างอันใดกับจวนหนานโหว
ดังนั้นเมื่อได้รับสารจากขันทีรับใช้ มู่หยางโหวจึงเก็บของเพียงเล็กน้อย ก่อนเร่งรุดเดินทางเข้าเฝ้าโดยไม่กล้าหยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท” เมื่อก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ก็ทันเห็นแววตาแข็งกร้าวที่เก็บไว้ไม่ทันของฮ่องเต้ มู่หยางโหวถึงกับใจสั่น รีบคุกเข่าลงเอ่ยทำความเคารพทันที
ดูพระองค์จะพอใจในความเคารพนบนอบของมู่หยางโหวเป็นอย่างมาก ใบหน้าที่เดิมเคร่งเครียดก็ดูอ่อนลงเล็กน้อย “ขุนนางที่รัก ลุกขึ้นเถิด”
ม่อจิ่งฉีรังเกียจขุนนางที่มีสิทธิพิเศษและผลประโยช์ที่มากเป็นพิเศษเป็นที่สุด อย่างเช่นตำหนักติ้งอ๋อง เขานึกก่นด่าบรรพบุรุษอยู่เป็นหลายครา ที่อนุญาตให้ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องไม่ต้องคุกเข่าเมื่อมาเข้าเฝ้า พวกเขาต่างก็เป็นขุนนางของตนทั้งนั้น เหตุใดคนในตำหนักติ้งอ๋องถึงจะไม่ต้องคุกเข่า?
และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ ฮ่องเต้ทุกพระองค์ทรงอนุญาตให้ขุนนางเก่าแก่ที่อายุมากกว่าเจ็ดสิบปีไม่ต้องคุกเข่าเมื่ออยู่ในท้องพระโรง แต่ขุนนางทหารเก่าแก่ที่มีคุณงามความดีโดดเด่น รวมถึงฮว่ากั๋วกงกลับไม่เคยได้รับความเมตตากรุณาเช่นนี้ ม่อจิ่งฉีชื่นชอบความรู้สึกของการที่ทุกคนต้องคุกเข่าลงต่อหน้าตนเป็นที่สุด
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ไม่รู้ว่าที่ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกกระหม่อมมาเข้าเฝ้า ด้วยเพราะมีสิ่งใดจะบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ” มู่หยางโหวลุกยืนขึ้น พร้อมเอ่ยถามด้วยความเคารพ
ม่อจิ่งฉียังมิได้เอ่ยอันใด แต่กลับใช้สายตาจับจ้องมู่หยางโหวอยู่เป็นนานอย่างใช้ความคิด
ถึงแม้มู่หยางโหวจะรู้สึกร้อนใจและเป็นกังวล แต่ไม่กล้าแสดงท่าทีออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย มีเพียงสีหน้าที่ดูให้ความเคารพยิ่งขึ้นเท่านั้น
พักใหญ่ถึงได้ยินม่อจิ่งฉีเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ขุนนางมู่ได้รับจดหมายจากบุตรชายของท่านบ้างหรือไม่”
มู่หยาโหวรีบเอ่ยว่า “ทูลฝ่าบาท เคยได้รับพ่ะย่ะค่ะ ฉบับล่าสุดได้รับมาเมื่อครึ่งเดือนก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ? ในจดหมายเขียนว่าอย่างไรบ้างหรือ” ม่อจิ่งฉีเอ่ยถามเรียบๆ
“บุตรชายของข้าน้อยบอกเพียงว่าเขาปลอดภัยดี และบอกเพียงว่าติ้งอ๋องเร่งเดินทางมาพบชายาติ้งอ๋องที่เมืองซิ่นหยางแล้ว คิดว่าคง…สามารถยึดพื้นที่ทางซีเป่ยคืนได้ในเร็ววันพ่ะย่ะค่ะ” มู่หยางโหวเอ่ย
อันที่จริงในจดหมายฉบับนั้นเขียนสิ่งใดไว้บ้าง มีหรือที่ม่อจิ่งฉีจะไม่รู้ ยามนี้เมื่อเห็นมู่หยางโหวเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ม่อจิ่งฉีจึงหัวเราะขึ้นมา “ขุนนางมู่ไม่ต้องตระหนกไป มู่หยางเองก็…ไปนานเช่นนี้แต่กลับเขียนจดหมายมาถึงเพียงสองฉบับ ไม่กลัวว่าบิดาที่อยู่ทางบ้านจะเป็นกังวลเอาเสียเลย ขุนนางมู่รู้หรือไม่ว่ายามนี้มู่หยางอยู่ที่ใด”
มู่หยางโหวเอ่ยด้วยความระมัดระวังว่า “กระหม่อม…ไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่บุตรชายเดินทางตามทัพใหญ่ไปออกศึก ยามนี้ก็น่าจะอยู่ในทัพหน้าของติ้งอ๋องกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีส่งเสียงหึเบาๆ “ถูกต้อง ยามนี้ติ้งอ๋องนำทัพกองทัพตระกูลม่อจำนวนห้าแสนนายออกไปรับศึกกับทัพจากหนานจ้าว ซีหลิงและหลีอ๋องที่ภายในด่าน บุตรชายของท่านเป็นเสี้ยวเว่ยอยู่ในทัพหน้า”
มู่หยางโหวใจสั่น หันมองพระพักตร์ของฮ่องเต้ แกล้งเอ่ยถามด้วยความตกใจว่า “ฝ่าบาท…ยามนี้…ซีเป่ยด้านนอกด่าน…”
ม่อจิ่งฉีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ซีเป่ย? ซีเป่ยนั้น ชายาติ้งอ๋องเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการทหารจำนวนสองแสนนายในการทำศึกกับเจิ้นหนานอ๋อง ยามนี้…ถอยมาอยู่ที่หงโจวแล้ว ขุนนางมู่ลองดูนี่สิ…” ม่อจิ่งฉีชี้นิ้วไปยังฎีกาจำนวนหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมเอ่ยขึ้น
มู่หยางโหวเอ่ยขอบพระทัยแล้วรับฎีกาที่ขันทีนำมาส่งให้ ที่แท้ก็เป็นฎีกาขอให้ออกคำสั่งจากกองทัพที่ประจำการอยู่ใกล้พื้นที่ซีเป่ย ยามนี้ถึงแม้ภายในด่านจะมีการรบอันดุเดือดเกิดขึ้น แต่ราชโองการที่ส่งไปยังทหารที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ต่างๆ กลับเป็นการให้ประจำการอยู่เฉยๆ ห้ามเคลื่อนทัพ ส่วนผู้บัญชาการทหารเหล่านั้น กลับทำได้เพียงมองติ้งอ๋องกับทัพพันธมิตรทั้งสามฝ่ายเคลื่อนผ่านตนไปมาโดยไม่สามารถทำอันใดได้
ถึงแม้จะไม่กล้าพูดอันใดอย่างเปิดเผย แต่หากเป็นคนที่มีจิตใจห้าวหาญและเที่ยงธรรมอยู่บ้าง ก็จะต้องนึกไม่พอใจกับราชโองการลับฉบับนี้ ดังนั้นเรื่องที่แม่ทัพเหล่านี้มีหนังสือขอให้พวกตนออกจากด่านไปช่วยชายาติ้งอ๋องทำศึก จึงไม่ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะไม่พอพระทัยกับเรื่องนี้มาก
มู่หยางโหวชั่งใจเอ่ยว่า “ฝ่าบาท แม่ทัพทุกท่านต่างก็มีใจรักแว่นแคว้น ซีเป่ย ถึงอย่างไรก็เป็นส่วนหนึ่งของต้าฉู่ และเป็นแผ่นดินของฝ่าบาท นี่ก็เป็นความจงรักภักดีที่พวกเขามีต่อฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีไม่เคยนึกสงสัยในความจงรักภักดีของผู้บัญชาการทหารเหล่านี้ เขามองมู่หยางโหวแล้วเอ่ยว่า “ขุนนางมู่เห่นว่ายามนี้ผู้ใดที่เหมาะจะเป็นผู้นำทัพไปออกศึกหรือ”
“เรื่องนี้…” มู่หยางโหวดูจะคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะตอบรับแผนการส่งกำลังเสริมไปช่วยชายาติ้งอ๋องง่ายๆ เช่นนี้ จึงไม่ทันได้ตั้งตัว รีบเอ่ยว่า “แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับพระปรีชาสามารถของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีมองจ้องเขาพร้อมเอ่ยว่า “ข้าต้องการคนที่ไว้ใจได้ไปช่วยจัดการธุระให้สักหน่อย”
ไม่รู้เพราะเหตุใด มู่หยางโหวจึงเริ่มรู้สึกไม่ดีบางอย่าง เขาสบตาม่อจิ่งฉีที่มองมา และพยายามฝืนยิ้มให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด “ในราชสำนักล้วนเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทถึงกลัวจะไม่มีขุนนางให้ใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อย…ยินดีนำทหารออกไปทำศึกพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีระบายยิ้มออกมาอย่างพอใจ มองมู่หยางโหวพร้อมเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้แต่เช้า ไม่สิ คืนนี้ ขุนนางที่รักรีบขึ้นม้าเร็วไปยังซีเป่ย แล้วให้กองทัพที่ตั้งอยู่ใกล้ซีเป่ยที่สุดสองกองทัพเคลื่อนพลติดตามเจ้าไป”
มู่หยางโหวฝืนยิ้ม “ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง เป็นตายอย่างไรก็จะต้องขับไล่ศัตรูออกไปให้ได้ เพื่อความสงบสุขของซีเป่ยพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาม่อจิ่งฉีเย็นเยียบลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ขุนนางมู่มีความแน่วแน่เช่นนี้ ทำให้ข้าเบาใจยิ่งนัก เพียงแต่…ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากให้ขุนนางที่รักไปจัดการ”
มู่หยางโหวรู้สึกใจของตนเต้นแรงขึ้น สัญชาตญาณบอกเขาว่า อย่าไปฟังสิ่งที่ฮ่องเต้จะมีรับสั่งต่อจากนี้ แต่เอาเข้าจริงเขาก็ทำได้เพียงยืนอยู่ในตำหนักด้วยท่าทีที่นอบน้อมยิ่งขึ้น “เชิญฝ่าบาทมีรับสั่งได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงภายในตำหนักค่อยๆ เบาลง หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ก็มีขันทีเด็กผู้หนึ่งเดินออกมาจากตำหนักข้างที่ดูไม่สะดุดตา เขาหันมองรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่ม่ผู้ใด ก็รีบหมุนตัวออกเดินไปทางตำหนักของฮองเฮาทันที
“พระชายา ได้โปรดไปจากหงโจวเดี๋ยวนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ” ม่อหวายังคงสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ มองสตรีตรงหน้าที่ยังคงนั่งอ่านฎีกาอยู่อย่างเคร่งขรึม แต่หากเพียงลองสังเกตดูให้ดี ก็จะพบว่าในสายตาคู่นั้นมีประกายแห่งความเลื่อมใสและเป็นห่วงวูบไหวอยู่ในดวงตา
เดิมทีม่อหวานึกไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับการที่เยี่ยหลีตั้งใจจะเปลี่ยนหน้าที่ขององครักษ์ลับ ถึงแม้ด้วยความสามารถของเขาจะเข้าใจสิ่งที่นางต้องการ แต่เขาก็ยังไม่คล้อยตามอยู่ดี แต่เมื่อมาถึงหงโจวแล้วเขาถึงได้รู้ว่า สตรีที่งดงามและแบบบางผู้นี้ยังคงบัญชาการกองทัพอยู่ที่ซีเป่ย ทั้งๆ ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ในที่สุดในใจม่อหวาก็นึกเลื่อมใสนางขึ้นมา ชายาติ้งอ๋องผู้นี้ไม่เหมือนกับสตรีผู้ใดในใต้หล้านี้จริงๆ และด้วยเพราะเหตุนี้ เขาจะต้องรักษาความปลอดภัยของชายาติ้งอ๋องไว้ให้จงได้ ไม่ว่าจะด้วยเพราะท่านอ๋องหรือซื่อจื่อน้อยในอนาคตก็ตาม และก็เพียงเพราะเขาไม่อยากเห็นสตรีที่แสนประหลาดผู้นี้ต้องประสบกับเหตุที่ไม่คาดคิด
เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้ สามวันหลังจากนี้ ข้าจะไปจากที่นี่” ตามแผนที่นางวางไว้ เมืองหงโจวสามารถต้านข้าศึกไว้ได้อีกสามวัน สามวันหลังจากนี้ ก็คือวันที่ทหารซีหลิงบุกเข้าเมืองหงโจว และเช่นเดียวกัน…ก็เป็นวันที่นางจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก แววตาของนางมีประกายของรังสีสังหาร นางวางพู่กันในมือลงด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ม่อหวานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ในองครักษ์ลับมีทหารที่เชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉม สามารถแปลงโฉมเป็นพระชายาให้อยู่ในเมืองหงโจวได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเพียงส่ายหน้า “เจ้าคิดว่านั่นสามารถตบตาเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงได้หรือ ม่อหวา เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าจะไปจากหงโจวก่อนเกิดเหตุนั้นแน่นอน”
นางก้มหน้าลงลูบเบาๆ ลงบนหน้าท้องที่ยังคงแบนราบ ในใจนางเกิดความรู้สึกหดหู่ขึ้น ไม่ว่าอย่างไร…เพื่อบุตรที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกในท้องนาง นางจะไม่มีทางพาตนเองไปอยู่ในจุดที่อันตรายอย่างแน่นอน…ถึงแม้ใจจริงนางหวังอยากให้ตนสามารถรั้งอยู่ที่เมืองหงโจวกับบรรดานายทหารที่รักษาเมืองหงโจวอยู่เสียมากกว่าก็ตาม
เยี่ยหลีหมุ้นตัวเดินไปทางชั้นหนังสือที่อยู่ด้านหลัง ดูนางจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก ม่อหวาก็รู้ดีว่าตนคงเกลี้ยกล่อมนางไม่ได้ จึงทำได้เพียงถอยออกไปเท่านั้น
บนเส้นทางที่มุ่งหน้ามาสู่หงโจวภายในด่าน บนลานนอกชายป่ามีม้าสามสี่ตัวกำลังพักผ่อนกินหญ้าอยู่ ห่างไปไม่ไกลข้างกองไฟ ใบหน้าอันหล่อเหลาของม่อซิวเหยาดูเคร่งเครียดและขมวดคิ้วอยู่เป็นระยะๆ
“ท่านอ๋อง จดหมายลับจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ!” อาจิ่นเดินเข้ามาหา รีบส่งจดหมายที่ปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งสีแดงให้เขา
ม่อซิวเหยาตาเป็นประกาย รับจดหมายมาเปิดออกอ่าน เนื้อความภายในจดหมายกลับทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
อาจิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เขาติดตามท่านอ๋องมากว่าสิบปี เท่าที่อาจิ่นจำได้ สีหน้าของท่านอ๋องไม่เคยดูย่ำแย่เช่นนี้มาก่อน “ท่านอ๋อง…เมืองหลวง…เมืองหลวงเกิดเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ครู่ใหญ่ ถึงได้ยินม่อซิวเหยากัดฟันเอ่ยว่า “ม่อจิ่งฉี!”
อาจิ่นอึ้งไป เขามิใช่คนฉลาดเฉลียวอันใด หากอ้อมค้อมนัก เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขารับรู้ได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้และท่านอ๋องของตนนั้น มิได้ดีอย่างที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจ หรือว่าฮ่องเต้ทำอันใดที่ไปยั่วโมโหท่านอ๋องเข้าให้อีก?
ม่อซิวเหยาค่อยๆ ขยำจดหมายในมือ เขาออกแรกเพียงเล็กน้อย กระดาษที่เป็นลูกกลมๆ ในมือก็กลายเป็นผุยผงร่วงลงกับพื้น กลายเป็นเศษดินขาวๆ แผ่นบางๆ ทันที
“ม่อจิ่งฉี…ทางที่ดีเจ้าควรขอพรให้อาหลีไม่เป็นอันใด! อาจิ่น เจ้านำป้ายคำสั่งข้าเดินทางขึ้นไปทางเหนือ สั่งการให้การกองทัพตระกูลม่อที่ประจำการอยู่ทางเหนือทั้งหมด เดินทางไปเสริมทัพที่หงโจวเดี๋ยวนี้!”
อาจิ่นอึ้งไป เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “ท่านอ๋อง…ยามนี้ทางตอนเหนือมีทหารอยู่เพียงห้าหมื่นนาย เพื่อขวางทหารจากเป่ยหรง…”
มุมปากม่อซิวเหยายกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเย็นเยียบ “ม่อจิ่งฉีเองยังไม่สนใจ หรือจะต้องให้ข้าสนใจแทนเขาหรือ ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไปเสริมทัพที่หงโจวบัดเดี๋ยวนี้!”
ในที่สุดอาจิ่นก็รู้ว่าท่านอ๋องหมายความเช่นนั้นจริงๆ จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการว่า “อาจิ่นรับบัญชา อาจิ่นทูลลา” อาจิ่นรับป้ายคำสั่งที่ม่อซิวเหยาโยนมาให้ ก่อนหมุนตัวขึ้นม้าแล้วควบออกไปทันที
ม่อซิวเหยามองร่างอาจิ่นที่ควบม้าจนฝุ่นตลบจากไป เขากำหมัดแน่น สิ่งที่เขาค่อยๆ พ่นออกมาจากปาก ทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวยะเยือก “ม่อจิ่งฉี…เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าความอดทนของข้าไม่มีขีดจำกัด หากเกิดอันใดขึ้นกับอาหลีและหงโจว…ข้าจะทำให้เจ้ายอมตายเสียดีกว่ามีชีวิตอยู่!”