คณะของเยี่ยหลีเดินทางขึ้นเขา ระหว่างทางเยี่ยหลีรู้ว่ามีองครักษ์ลับบางคนแยกตัวออกไปจากกลุ่มตามสัญญาณของม่อหวา นางรู้ว่าพวกเขาต้องไปหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของทหารที่อาจจะตามมา
เยี่ยหลีเหลือบมององครักษ์ลับที่แยกตัวไปเงียยๆ นางมิได้พูดอันใดให้มากความ เพียงเดินตามองครักษ์ลับด้านหน้าที่คอยเปิดทางขึ้นภูเขาไปเงียบๆ
ทหารที่ติดตามมาดูเหมือนจะตามมาได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนและเสียงปะทะกันของอาวุธสั้นดังลอยมาจากที่ไกลๆ แต่ก็ค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าน่าจะถูกคนเบี่ยงเบนไปอีกทางหนึ่ง
ม่อหวาหันมองตามเสียงที่ดังไกลออกไปเรื่อยๆ ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พระชายา ทหารที่ตามขึ้นมาบนเขาดูเหมือนจะไม่ได้ใช่ทหารของราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้าเงียบๆ เมื่อครู่ คนกลุ่มนั้นยังอยู่ที่ตีนเขา จะขึ้นเขามาได้รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ ไม่มีทางเป็นทหารธรรมดาทั่วไปแน่นอน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น “คนของเหลยเจิ้นถิง”
จั๋วจิ้งเอ่ยว่า “ตำหนักเจิ้นหนานอ๋องมีหน่วยองครักษ์ส่วนตัวอย่างลับๆ เรียกกันว่า จิ่นอีเว่ย มีจำนวนทั้งหมดประมาณหนึ่งพันกว่านาย ตามปกติจะใช้อารักขาตำหนักเจิ้นหนานอ๋อง และทุกคราที่เจิ้นหนานอ๋องออกมาทำศึกก็จะติดตามมาด้วย และด้วยเพราะมีพวกเขาอยู่ ทำให้เจิ้นหนานอ๋องสามารถรอดตายจากสนามรบมาได้หลายครา รวมถึงครานั้นที่เจิ้นหนานอ๋องพ่ายแพ้ให้กับท่านอ๋องด้วยเช่นกัน ก็ได้หน่วยจิ่นอีเว่ยกลุ่มนี้ ทุ่มเทกำลังทหารที่มีเกือบทั้งหมดชิงตัวเขากลับไป หน่วยจิ่นอีเว่ยช่วยชีวิตเจิ้นหนานอ๋องไว้ได้ ถึงแม้จะต่อสู้จนเสียหายไปเกือบหมด แต่หลังจากนั้น เจิ้นหนานอ๋องก็ได้สร้างหน่วยนี้ขึ้นใหม่อีกครั้ง”
เยี่ยหลีเดินขึ้นเขาไปพลาง เอ่ยถามไปพลางว่า “องครักษ์ลับดูเหมือนจะไม่ได้รับข่าวนี้”
จั๋วจิ้งเอ่ยว่า “ตั้งแต่ครานั้นที่หน่วยจิ่นอีเว่ยช่วยชีวิตเจิ้นหนานอ๋องจนเกือบถูกกำจัดจนสิ้นซากนั้น ก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกเลย ดูทุกคนจะเข้าใจไปว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอยู่แล้ว คุณชายหมิงเย่ว์เป็นคนบอกข้าน้อยก่อนไปพ่ะย่ะค่ะ”
ระหว่างเดินอยู่ในป่า เยี่ยหลีเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “หน่วยจิ่นอีเว่ยกับกิเลน เมื่อเทียบกันแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”
แทบจะไม่ต้องคิด จั๋วจิ้งเอ่ยตอบว่า “สู้ไม่ได้ จิ่นอีเว่ยฝึกเพียงศิลปะการต่อสู้ สิ่งที่พวกเขาต้องรับผิดชอบมีเพียงความปลอดภัยของเจิ้นหนานอ๋อง และปฏิบัติตามคำสั่งของเจิ้นหนานอ๋องบ้างเท่านั้น คุณชายหมิงเย่ว์บอกว่า วิทยายุทธของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าองครักษ์ลับพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนต่างรู้สึกหนักใจ สถานการณ์ในยามนี้ ยังไม่ต้องพูดเรื่องไม่ด้อยกว่าองครักษ์ลับเลย ต่อให้เป็นทหารที่เก่งกาจธรรมดาๆ แล้วมากันร้อยสองร้อยคน พวกเขาก็ไม่แน่ว่าจะรับมือไหว
หลังจากเดินทางอย่างยากลำบาก ในที่สุดคณะของนางก็เดินทางมาถึงริมหน้าผากลางภูเขา ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนกลางของภูเขา แต่ภูเขาในซีเป่ยล้วนไม่ใช่ภูเขาที่เตี้ยนัก อีกทั้งยามนี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว หุบเขาในยามค่ำคืนเมื่อมองลงไปแล้ว มีเพียงกลุ่มก้อนเมฆสีขาวลอยบางๆ อยู่ด้านล่าง มองลงไปไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น
เมื่อเห็นหุบเขาตรงหน้าแล้ว เยี่ยหลีก็หันไปเอ่ยถามว่า “อีกฝั่งอยู่ห่างไปไกลเพียงใด”
ม่อหวานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ดูประมาณสิบห้าสิบหกจั้งพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ยถามว่า “วิชาตัวเบาของทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง ข้ามไปได้หรือไม่”
ม่อหวาพยักหน้า คนที่อยู่ ณ ที่นั้น นอกจากองครักษ์ลับสองนายที่มีวิชาตัวเบาด้อยกว่าผู้อื่นเล็กน้อยแล้ว คนที่เหลือสามารถข้ามไปได้
เยี่ยหลีเอ่ยกับองครักษ์สองนายนั้นว่า “พวกเจ้าสองคนไปด้วยกันหรือแยกกันลงจากเขาไป ระวังหน่อย อย่าให้ทหารที่ตามมาเห็นเข้าล่ะ หากด้านล่างถูกปิดล้อมไว้หนาแน่นเกินไป ก็รอให้ผ่านไปอีกสักหน่อย”
องครักษ์ทั้งสองชะงักไปเล็กน้อย มองเยี่ยหลีอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร
เยี่ยหลีเอ่ยถอนใจเบาๆ ว่า “รีบไปเถิด เพียงแค่สองคนเท่านั้น เดี๋ยวพวกข้าก็ข้ามไปแล้ว พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์”
ม่อหวาที่ยืนอยู่ด้านหลังพยักหน้าเงียบๆ แล้วองครักษ์ทั้งสองจึงทำความเคารพเยี่ยหลี ก่อนหมุนตัวหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ เตรียมข้ามไปกันเถิด ม่อหวา ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเห็นสภาพพื้นที่มาก่อน เจ้าข้ามไปก่อน” เยี่ยหลีหันไปเอ่ยกับม่อหวา
ม่อหวาก็ไม่รั้งรอ แตะปลายเท้าลงกับพื้นแล้วกระโดดลอยข้ามไปทันที เมื่อลงถึงพื้นแล้ว คนที่ยังอยู่ฝั่งนี้ก็เห็นเป็นเงาลางๆ ของม่อหวาอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก
เยี่ยหลีโบกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์ลับกระโดดข้ามไปทีละคน จนเมื่อเหลือเพียงจั๋วจิ้งและเว่ยลิ่น กลับไม่มีผู้ใดยอมขยับตัว เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “นี่พวกเจ้าคิดจะทำอันใด”
จั๋วจิ้งเอ่ยเสียงขรึมว่า “วิชาตัวเบาของพระชายา ข้าน้อยและเว่ยลิ่นต่างเคยเห็นมาก่อน ท่านข้ามไปไม่ได้”
เยี่ยหลีอึ้งไป ในที่สุดก็หัวเราะขื่นๆ ออกมา หากรู้เสียก่อนว่าจะมีวันนี้ ต่อให้ต้องเหนื่อยตาย นางก็จะฝึกวิชาตัวเบาให้ดีให้ได้ เดิมทีวิชาตัวเบาของนางก็เพียงถือว่าพอไปวัดไปวาได้ ยิ่งในยามนี้มีความรู้สึกไม่สบายตัวนักจากบริเวณหน้าท้อง หากคิดจะข้ามไปให้ได้ด้วยตนเองนั้น ก็เป็นเพียงความฝันเท่านั้น
เยี่ยหลีปรายตามองจั๋วจิ้ง ก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าพาข้าข้ามไปได้หรือไม่”
จั๋วจิ้งก้มหน้าลง กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
หน้าผาที่ห่างจากกันถึงสิบห้าสิบหกจั้งนี้ หากคิดจะข้ามไปก็จำเป็นต้องมีวิชาตัวเบาชั้นเลิศ และหากคิดจะพาอีกคนหนึ่งไปด้วย นั่นมิได้จำเป็นต้องมีเพียงวิชาตัวเบา แต่ยังต้องมีกำลังภายในที่เยี่ยมยอดคอยช่วยเหลืออีกแรงอีกด้วย
เว่ยลิ่นยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ข้าน้อยก็ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นพวกเราจะอยู่ที่นี่กับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เริ่มมีเสียงตะโกนดังมาจากอีกด้านหนึ่ง เยี่ยหลีกวาดตามองทั้งสองคนอย่างไม่เห็นขันด้วย “เหลวไหล! จะรอความตายเป็นเพื่อนข้าหรือ”
อีกด้านหนึ่ง มีเงาๆ หนึ่งกระโดดข้ามกลับมา เมื่อลงถึงพื้นก็ขมวดคิ้วมองทั้งสามคน “เหตุใดถึงยังไม่ข้ามไปอีก” ก่อนสายตาจะหยุดลงที่เยี่ยหลี แล้วม่อหวาก็นึกขึ้นได้ว่า พระชายาเพิ่งเริ่มฝึกวิชาตัวเบาได้เพียงปีกว่าเท่านั้น ด้วยความห่างเท่านี้ไม่สามารถข้ามไปด้วยวิชาตัวเบาได้
“ข้าน้อยไตร่ตรองไม่รอบคอบ พระชายาโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยจะพาพระชายาข้ามไปเองพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยถามว่า “เจ้ามั่นใจกี่ส่วนหรือ”
ม่อหวานิ่งเงียบไม่ตอบ พักใหญ่ถึงได้เอ่ยเสียงขรึมว่า “สองส่วนพ่ะย่ะค่ะ” หากเป็นยามสว่าง บางทีเขาอาจมั่นใจขึ้นอีกสองส่วน แต่ยามนี้ฟ้ามืดเสียแล้ว ซ้ำหมอกยังลงจัด อย่างมากเขาจึงมีความมั่นใจเพียงสองส่วนเท่านั้น
เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า เรามีโอกาสถึงแปดส่วนที่จะตกลงเหวไปโดยไม่มีแม้แต่ศพหรือซากกระดูก? พวกเจ้าข้ามไปก่อนเถิด ข้ามีวิธีของข้า”
พวกจั๋วจิ้งจะยอมได้อย่างไร
เว่ยลิ่นเอ่ยว่า “เช่นนั้นพระชายาได้โปรดข้ามไปก่อน ถึงอย่างไรพวกข้าน้อยก็ใช้เวลาไม่มากนักพ่ะย่ะค่ะ”
จั๋วจิ้งขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ทหารที่ตามมาใกล้เข้ามาทุกที หากพวกมันล้วนมีวิทยายุทธล้ำเลิศแล้วพวกมันพบร่องรอยของพวกเรา ต่อให้ข้ามไปได้ พวกเราก็หนีไปไม่รอด”
ทั้งสามต่างเป็นคนหัวแข็งเช่นเดียวกัน เยี่ยหลีจึงทำได้เพียงเอ่ยว่า “ม่อหวากับเว่ยลิ่นข้ามไปก่อน ส่วนจั๋วจิ้งอยู่ที่นี่” แล้วจึงหยิบเชือกออกจากสัมภาระ ส่งให้เว่ยลิ่น
เว่ยลิ่นรับมาเงียบๆ กระโดดข้ามไปยังอีกฝั่งที่มีหมอกหนาปกคลุมอยู่
จั๋วจิ้งมองเยี่ยหลีที่มัดเชือกไว้กับต้นไม้ริมหน้าผาอย่างแน่นหนา แล้วเอ่ยถามว่า “พระชายา…”
เยี่ยหลีทำได้เพียงยิ้ม “อันที่จริงนี่…ข้าก็มั่นใจเพียงห้าส่วนเท่านั้น” หน้าผาทั้งสองฝั่งดูจะไม่ค่อยเห็นแก่หน้ากันเท่าที่ควร ฝั่งที่พวกเขาอยู่นั้นเตี้ยกว่า ส่วนอีกฝั่งก็สูงกว่าเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เยี่ยหลีไม่มีทางใช้วิธีการทุ่นแรงกระโดดข้ามไปได้เลย แต่จะต้องค่อยๆ ดึงเชือกข้ามไป ด้วยเพราะบุตรในครรภ์ ทำให้นางไม่สามารถใช้ท่วงท่าที่เสียงอันตรายมากเกินไปนักได้
เมื่อมัดเชือกไว้อย่างแน่นหนาดีแล้ว ในขณะที่เยี่ยหลีกำลังจะเริ่มข้ามไป ก็มีลูกธนูดอกหนึ่งยิงออกมาจากในป่าพุ่งผ่านตัวนางไป แล้วก็มีชายในชุดดำกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวตามออกมาจากในป่าอย่างรวดเร็ว ล้อมทั้งสองไว้ที่ริมหน้าผา
“ชายาติ้งอ๋อง? พวกข้าไม่คิดที่จะทำร้ายพระชายา เชิญไปกับพวกเข้าเถิด” ชายในชุดดำคนที่เป็นหัวหน้าจ้องมองเยี่ยหลี ในแววตาที่มุ่งร้าย เต็มไปด้วยความเ**้ยมโหดและหื่นกระหาย
เยี่ยหลีปล่อยเชือกออก เอ่ยเรียบๆ ว่า “เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิง หน่วยจิ่นอีเว่ย?”
ชายผู้นั้นเก็บแววตาของตนกลับไปทันที เอ่ยอย่างเยาะหยันว่า “พระชายารู้เรื่องไม่น้อยทีเดียว ในเมื่อพระชายารู้ถึงฐานะของพวกข้าแล้ว ก็ขอได้โปรดอย่าได้ทำการขัดขืนอันใดจะดีกว่า หากเกิดทำร้ายพระชายาเข้า พวกข้าน้อยก็คงไม่รู้จะอธิบายกับท่านอ๋องเช่นไรดี”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว เอ่ยถามเสียงเบาว่า “หากข้าไม่ทำตามที่เจ้าว่า แล้วจะเป็นอย่างไร”
ชายผู้นั้นหัวเราะอย่างโหดเ**้ยม “เรื่องที่เกิดขึ้นที่หงโจว ท่านอ๋องไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงยามนั้นหากเกิดอันใดไม่ดีขึ้นกับพระชายา เชื่อว่าท่านอ๋องก็คงไม่ถือโทษ ท่านอ๋องของพวกเราเป็นวีรบุรุษแห่งยุค และชื่นชมพระชายาด้วยใจจริง เหตุใดพระชายาถึงต้องมีใจให้กับคนที่เป็นเพียงเศษสวะอย่างม่อซิวเหยาด้วยเล่า ท่านอ๋องของพวกข้าได้สั่งไว้อีกว่า ขอเพียงพระชายายอมกลับไปกับพวกเรา จะให้ตำแหน่งชายาเจิ้นหนานอ๋องแก่ท่าน ส่วนคนสารเลวอย่างม่อซิวเหยานั่น…!”
สวบ! สวบ! มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นสองครา ประกายเหล็กสีเงินก็พุ่งออกไปทันที พร้อมทิ้งรอยเลือดไว้บนใบหน้าและลำคอของชายผู้นั้น
เยี่ยหลีจ้อมองชายที่อยู่อีกด้านด้วยสายตาเย็นเยียบ เอ่ยเสียงเย็นว่า “หากเจ้าจะหาที่ตาย ข้าก็จะให้เจ้าได้สมใจ!”
ชายผู้นั้นยกมือขึ้นลูบบาดแผลบนลำคอ พ่นลมหายใจอย่างโล่งอกออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นเยียบของเยี่ยหลี ก็นึกเย็นวาบในใจและไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก