“ในเมื่อพระชายาไม่ยอมเข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ ก็อย่าโทษที่พวกข้าจะต้องเสียมารยาท!” ชายผู้ที่เป็นหัวหน้าสีหน้าบึ้งตึงลงทันที โบกมือพร้อมเอ่ยว่า “จับตัวชายาติ้งอ๋องมาให้ได้!”
หน่วยจิ่นอีเว่ยที่ล้อมอยู่ค่อยๆ ก้าวเข้าไปหานางทันที จั๋วจิ้งยืนขวางอยู่ข้างกายเยี่ยหลี คอยกันคนเหล่านั้นไว้ พวกม่อหวาและเว่ยลิ่นที่อยู่อีกด้าน ก็รู้ถึงสถานการณ์ทางฝั่งนี้ดี จึงต่างกระโดดกลับมารวมกลุ่มกันทันที
หน่วยจิ่นอีเว่ย ไม่เสียแรงที่หานหมิงเย่ว์บอกว่ามีความสามารถเป็นเลิศเทียบเท่ากับองครักษ์ลับ ภายใต้สถานการณ์หนึ่งต่อสิบ องครักษ์ลับไม่มีทางรับมือได้ไหว
เยี่ยหลีมององครักษ์ลับที่ล้มลงไปทันทีสองนาย เยี่ยหลีสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “ม่อหวา พาคนถอยออกไปเดี๋ยวนี้!”
ม่อหวาไม่หยุดมือแม้แต่น้อย แทงดาบในมือทะลุอกทหารจิ่นอีเว่ยพลางเอ่ยว่า “องครักษ์ลับถือเอาความปลอดภัยของพระชายาเป็นสำคัญ ไม่อาจรับคำสั่งได้พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอามีดปาดคอหน่วยจิ่นอีเว่ยก่อนถอยไปยืนที่มุมหนึ่ง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าอกที่เริ่มเจ็บขึ้นมา เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่ายามนี้ยังมีความหมายอันใดหรือ ถอย!”
ม่อหวาไม่สนใจ ดาบในมือยิ่งกวัดแกว่งอย่างดุดันขึ้นไปอีก แสดงออกอย่างชัดเจนว่าตั้งใจจะขัดคำสั่ง
เยี่ยหลีรู้สึกปวดแปลบขึ้นที่หน้าอก ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดนั้นเอง ก็มีเงาเงาหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาทางนาง เยี่ยหลียกมีดขึ้นพุ่งออกไป เงานั้นก็เบี่ยงหลบไปด้านหนึ่ง ก่อนจับแขนเยี่ยหลีไว้ “ข้าเอง”
เยี่ยหลีอึ้งไป “หานหมิงเย่ว์ เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
สภาพภายนอกของหานหมิงเย่ว์ดูกระเซอะกระเซิง มิได้ดูสง่างามเหมือนแต่ก่อน เขาจับตัวเยี่ยหลีไว้เอ่ยว่า “รีบไปเร็ว! เจิ้นหนานอ๋องมาแล้ว”
เมื่อเห็นเป็นหานหมิงเย่ว์ จั๋วจิ้งและเว่ยลิ่นต่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง ร่วมมือกันขวางหน่วยจิ่นอีเว่ยไว้ข้างหน้าพวกเขา “คุณชายหาน ท่านรีบพาพระชายาหนีไปก่อน”
หานหมิงเย่ว์พยักหน้า จับไหล่เยี่ยหลีเตรียมกระโดดข้ามไปยังอีกฝั่งทันที
“หานหมิงเย่ว์ เจ้าช่างบังอาจนัก!” ภายในป่า มีเสียงหนักๆ เจือความโกรธเกรี้ยวของบุรุษดังลอยออกมา แล้วทันใดนั้นก็มีลมหอบหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะหานหมิงเย่ว์
หานหมิงเย่ว์ที่ตัวลอยอยู่บนอากาศพร้อมกับอีกคนหนึ่ง หลบหลีกลมหอมนั้นด้วยความทุลักทุกเล เมื่อถูกกำลังภายในเข้าขวาง ร่างที่เคยลอยอยู่บนอากาศจึงหล่นกลับลงที่พื้นอีกครั้ง บริเวณหัวไหล่ของชุดสีขาวฉีกขาด พร้อมกับสีแดงจางๆ ที่ค่อยๆ ซึมออกมา
เจิ้นหนานอ๋องเดินออกมาจากในป่า โดยมีซูจุ้ยเตี๋ยที่ออกจากหงโจวไปพร้อมกับหานหมิงเย่ว์ เดินอยู่ข้างๆ ยามนั้นบนใบหน้าอันงดงามเต็มไปด้วยความสาแก่ใจและมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ส่งยิ้มพร้อมมองจ้องเยี่ยหลี
เมื่อเจิ้นหนานอ๋องมาถึง การต่อสู้ที่เคยดำเนินอยู่ก่อนหน้านี้ก็หยุดลง พวกม่อหวา ถอยไปล้อมเยี่ยหลีไว้เป็นรูปครึ่งวงกลม คอยคุ้มกันนางอยู่ตรงกลาง
เจิ้นหนานอ๋องมองไปยังสตรีที่ยืนอยู่กลางวงล้อม มองเยี่ยหลีที่สีหน้าค่อนข้างซีดขาว แววตามีประกายหลากหลาย ก่อนหันมองศพที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้น พยักหน้าพร้อมเอ่ยชื่นชมว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋อง หน่วยจิ่นอีเว่ยของข้ายังห่างชั้นอยู่อีกเล็กน้อย”
จั๋วจิ้งเอ่ยอย่างเยาะหยันว่า “ท่านอ๋องถ่อมตนเกินไปแล้ว องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องมีหน้าที่และภารกิจหลายอย่าง จะเทียบกับหน่วยจิ่นอีเว่ยได้อย่างไร” เพียงเอ่ยปาก ก็เป็นการกระแนะกระแหนเจิ้นหนานอ๋องว่าใจเสาะ กลัวตายเสียแล้ว มิเช่นนั้นเหตุใดจึงต้องฝึกคนจำนวนนับพันเพื่อไว้อารักขาตนแต่เพียงผู้เดียวโดยเฉพาะด้วย
เจิ้นหนานอ๋องมิได้โกรธ กลับมองเยี่ยหลีแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าเก่งมาก แทบจะเหนือการคาดเดาของข้าไปทั้งหมดเลยทีเดียว แต่ขอเพียงเจ้ายอมเดินออกมา เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ ข้าจะยอมลืมมันไปเสีย”
“ท่านอ๋อง…” ซูจุ้ยเตี๋ยเอ่ยเสียงกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่เห็นด้วย แต่กลับถูกสายตาเย็นเยียบของท่านอ๋องขู่ไว้จนต้องกลืนความไม่พอใจทั้งหมดกลับลงไป
เยี่ยหลีมองสีหน้าที่จะเอาให้ได้ของเจิ้นหนานอ๋อง แล้วระยายยิ้มน้อยๆ “ท่านอ๋องช่างเดินทางได้รวดเร็วนัก เยี่ยหลีนับถือ เชื่อว่าธุระทั้งในเมืองและนอกเมืองหงโจว ท่านอ๋องคงจัดการเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่…ท่านอ๋องไม่นึกเป็นกังวลเรื่องทหารหลายแสนนายที่ชายแดนซีเป่ยเลยหรือ”
เจิ้นหนานอ๋องสีหน้าขรึมไป ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว “ข้านึกเป็นห่วงทัพเสริมที่เดินทางมานั้นจริงอยู่ เพียงแต่…การพ่ายแพ้ให้กับสตรีถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของข้า ดังนั้น…ข้าจึงคิดว่าเจ้าสำคัญกว่าเรื่องนั้นอยู่สักเล็กน้อย อีกอย่าง…ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ข้าถึงได้รู้สึกว่า การสูญเสียพระชายาไป บางทีอาจทำให้ม่อซิวเหยาทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าเสียดินแดนซีเป่ยเสียอีก อีกอย่าง…หากชายาติ้งอ๋องมากลายเป็นชายาเจิ้นหนานอ๋องของข้า…” ดูเหมือนเจิ้นหนานอ๋องจะยิ่งคิดว่าความคิดของตนช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก จึงอดไม่ได้ เงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังกึกก้อง ใบหน้าที่เคยมีแววหม่นหมองจากการพ่ายแพ้ที่หงโจวดูจะหายไปในทันที
ซูจุ้ยเตี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็หน้าถอดสีลงทันที หันมาถลึงตาจ้องเยี่ยหลีอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ด้วยเพราะถูกเจิ้นหนานอ๋องขู่ไว้ จึงไม่กล้าพูดอันใดมาก
เยี่ยหลีหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “เกรงว่าท่านอ๋องคงจะคิดมากเกินไปแล้ว”
เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยสบายๆ ว่า “ข้าคิดมากเกินไปหรือไม่ อีกเดี๋ยวก็รู้เอง เสี่ยวหลี รอเป็นพระชายาของข้าแต่โดยดีเถิด”
“แหวะ…” ในที่สุดนางก็ฝืนอาการไม่สบายข้างในไว้ไม่ไหว เยี่ยหลีเอียงตัวหันไปอาเจียนลงบนต้นไม้ด้านข้างทันที บรรยากาศริมหน้าผากลายเป็นเงียบกริบ
เจิ้นหนานอ๋องจ้องมองสตรีที่อาเจียนอยู่กับต้นไม้ไม่หยุดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หานหมิงเย่ว์จัดการกับบาดแผลบริเวณหัวไหล่ พร้อมเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ท่านอ๋อง ดูท่าชายาติ้งอ๋องคงไม่สนใจในตำแหน่งชายาเจิ้นหนานอ๋องหรอก เหตุใดท่านอ๋องถึงต้องบังคับขืนใจกันด้วยเล่า”
เว่ยลิ่นหัวเราะพรืด เอ่ยว่า “คนบางคน เป็นคางคกขี้เกียจแต่อยากกินเนื้อหงส์ฟ้า ฝันไกลเกินไปหน่อยละมั้ง”
หน่วยจิ่นอีเว่ยต่างไม่มีผู้ใดกล้าสอดปาก ชายาติ้งอ๋องเมื่อได้ยินว่าจะได้เป็นชายาเจิ้นหนานอ๋องก็อาเจียนเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่ารู้สึกสะอิดสะเอียนกับสิ่งที่เขาเอ่ยขึ้นมาพอดูทีเดียว พวกเขาเองก็มิกล้าเอ่ยปาก หากตีตูดม้าแล้วม้าเกิดดีดเตะเข้า คงยากจะรับไหว
เจิ้นหนานอ๋องใบหน้าบึ้งตึง ส่งเสียงหึเย็นๆ ทีหนึ่ง แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พวกเจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ก็จะถ่วงเวลาไปได้หรือ วางใจเถิด ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าคนหนึ่ง…ให้กลับไปบอกม่อซิวเหยาว่าให้มาร่วมพิธีแต่งตั้งชายาของข้าด้วย ไปจับตัวชายาติ้งอ๋องมา!”
เสียงสู้รบบนหน้าผาดังขึ้นอีกครั้ง เจิ้นหนานอ๋องมิได้คิดที่จะสังเกตการณ์อยู่เฉยๆ แต่กลับพุ่งไปทางเยี่ยหลีโดยไม่ลังเล
จั๋วจิ้งและเว่ยลิ่นยืดตัวขึ้นหมายจะขวางเขาไว้ แต่กลับถูกผลักล้มลงเพียงประมือไปได้สองสามกระบวนท่าเท่านั้น
หานหมิงเย่ว์และม่อหวาโจมตีใส่เจิ้นหนานอ๋องพร้อมกันทั้งสองด้าน เจิ้นหนานอ๋องถึงแม้จะมีแขนเพียงข้างเดียว แต่พลังจากฝ่ามือที่ส่งออกมานั้นประหนึ่งคมดาบ กดดันเข้ามาจนเกือบต้องใช้กำลังทั้งหมดถึงจะสามารถฝืนไว้ได้ ไม่ให้ถอยหลังไป
เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ที่เรียกกันว่ายอดฝีมือวัยหนุ่ม แม้แต่วิทยายุทธของม่อซิวเหยาเมื่อยามอายุสิบกว่าปียังไม่มี คิดจะขวางข้างั้นหรือ หลบไปเสียเถิด!”
เขาพุ่งฝ่ามือเข้าใส่หน้าอกของหานหมิงเย่ว์ หานหมิงเย่ว์ใจหายวาบขึ้นทันที รีบตีลังกาหลบฝ่ามือนั้น เมื่อลงถึงพื้นได้ ก็ถูกทหารจิ่นอีเว่ยสองคนเข้ามาขวางไว้ทันที
เมื่อจัดการหานหมิงเย่ว์ไปได้ เจิ้นหนานอ๋องก็ใช้วิธีเดียวกันในการจัดการม่อหวาให้หลีกทางไป ตั้งแต่เขาเริ่มลงมือจนเข้าถึงตัวเยี่ยหลี ทั้งหมดใช้กระบวนท่าไปเพียงเจ็ดแปดกระบวนท่าเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนเก่งกาจที่แท้จริง ไม่ว่ากระบวนท่าจะสวยงามอย่างไรก็หาได้มีความหมายอันใดไม่
เยี่ยหลีเขวี้ยงกริชในมือออกไป พุ่งเข้าใส่เจิ้นหนานอ๋องทันที ที่นางอาเจียนอย่างรุนแรงเมื่อครู่กับความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาหลายวัน ไม่เพียงทำให้นางหน้าขาวซีดเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า พละกำลังของนางลดลงอย่างรวดเร็ว
เจิ้นหนานอ๋องเบี่ยงตัวหลบ ปะทะกับนางไปสามสี่กระบวนท่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนคว้าข้อมือนางไว้ “วิทยายุทธไม่เลว น่าเสียดายที่กำลังภายในด้อยไปสักหน่อย หากฝึกการต่อสู้ตั้งแต่เล็กๆ ด้วยคุณสมบัติของเจ้าสามารถเป็นหนึ่งในยอดฝีมือแห่งยุคได้เลยทีเดียว น่าเสียดายที่ยามนี้…ช้าก่อน เจ้า!”
มือที่จับข้อมือเยี่ยหลีไว้ชะงักไปเล็กน้อย เจิ้นหนานอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เอ่ยเสียงเข้มว่า “ชายาติ้งอ๋องตัวดี เจ้าช่างรักเดียวใจเดียวกับม่อซิวเหยาจริงๆ สินะ ข้าไม่มีทางให้เด็กปีศาจนี่…”
“นังสารเลว ไปตายเสีย!” ห่างไปไม่ไกล ซูจุ้ยเตี๋ยมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว เอื้อมมือไปเปิดแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นอาวุธลับตรงข้อมือ เล็งตรงไปทางเยี่ยหลีพร้อมยิงออกทันที
เข็มเงินจำนวนหนึ่งพุ่งเข้าใส่เยี่ยหลีประหนึ่งสายฝน หานหมิงเย่ว์ที่ติดพันอยู่กับทหารจิ่นอีเว่ยหน้าถอดสีทันที “จุ้ยเตี๋ย อย่า!”
น่าเสียดายที่ไม่ทันเสียแล้ว เข็มเงินนั้นสะท้อนเป็นประกายพุ่งออกไปแล้ว หานหมิงเย่ว์ไม่มีเวลาคิดมากนัก ใช้ดาบในมือกันหน่วยจิ่นอีเว่ยออกไป ก่อนพุ่งตัวไปทางนางทันที
ขณะเดียวกันนั้น เจิ้นหนานอ๋องก็ได้ยินเสียงของซูจุ้ยเตี๋ยเช่นเดียวกัน จึงผินหน้าไปมอง เยี่ยหลีจึงอาศัยจังหวะนั้นพลิกข้อมือ พร้อมใช้กริชในมือทิ้งบาดแผลไว้บนมือของเจิ้นหนานอ๋อง
เจิ้นหนานอ๋องปล่อยมือเยี่ยหลีทันที เยี่ยหลีเสียหลัก แล้วทันใดนั้น ตัวของนางก็ล้มลงไปทางปากเหวทันที
“เยี่ยหลี!”
“พระชายา…!”
เจิ้นหนานอ๋องตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปทางปากเหว คว้าตัวนางไว้ทันที จากนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่กลับเป็นรอยยิ้มบางๆ บนมุมปากของเยี่ยหลี และประกายคมกริบของกริชในมือ
กริชที่พุ่งเข้าหาอย่างไม่เกรงใจ ทำให้เขาทำได้เพียงชักมือกลับเร็วเสียยิ่งกว่าตอนยื่นมือออกไปเสียอีก
เจิ้นหนานอ๋องมีแขนเพียงข้างเดียว เมื่อปล่อยมือนางในครานี้ นั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถคว้าตัวเยี่ยหลีไว้ได้อีกครั้ง เขามองรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปากของสตรีที่กำลังเสียหลักลงไปอย่างเหม่อลอย และได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยออกมาอย่างไร้สุ้มเสียงว่า เจ้า…อย่าคิดจะทำร้ายบุตรของข้า…
วัตถุสีเงินพุ่งขึ้นมาจากหน้าผา หน้าอกของเจิ้นหนานอ๋องมีเลือดพุ่งกระเด็นออกมา ดูเขาจะได้สติขึ้นมาทันทีจากอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เจิ้นหนานอ๋องก้มลงมองกริชบนหน้าอกของตน
แต่ด้วยเพราะแรงส่งไม่เพียงพอ จึงไม่ทำให้เจิ้นหนานอ๋องไม่บาดเจ็บอันใดมากนัก เขายกมือขึ้นจับกริชบนหน้าอก “เยี่ยหลี…”
“พระชายา!”