ด้านนอกเรือนที่เป็นที่พำนักชั่วคราวของม่อซิวเหยา เฟิ่งจือเหยายืนพิงกำแพงมองสวีหงอวี่ที่เดินออกมาจากด้านใน ใบหน้าอันหล่อเหลามีแววสำรวจและสังเกตสังการณ์อยู่มากขึ้นหลายส่วน สภาพของท่านอ๋องในยามนี้ทำให้เขารู้สึกไม่วางใจเลยจริงๆ แต่ขณะเดียวกัน การมาของสวีหงอวี่ก็มิได้ทำให้เขาและผู้บัญชาการทหารของกองทัพตระกูลม่อรู้สึกยินดีขึ้นแม้แต่น้อย
ว่ากันตามจริงแล้ว ทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้ว่า ตระกูลสวีเป็นตระกูลที่มากด้วยความรู้ความสามารถ แต่หลายปีมานี้ ตระกูลสวีก็เป็นเช่นเดียวกับกองทัพตระกูลม่อที่จงรักภักดีต่อต้าฉู่ หากสวีหงอวี่มาเพื่อเกลี้ยกล่อมท่านอ๋องเพื่อฮ่องเต้แล้ว ด้วยสภาพของท่านอ๋องในยามนี้กับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลสวีและพระชายา ก็ไม่แน่ว่าท่านอ๋องจะไม่ทำอันใดตามที่สวีหงอวี่โน้มน้าว
ส่วนเหล่าผู้บัญชาการกองทัพตระกูลม่อ…ต่างไม่คาดหวังที่จะเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หลายปีมานี้ อันที่จริง ตั้งแต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการม่อหลิวฟางยังมีชีวิตอยู่ ราชสำนักก็เริ่มกดดันกองทัพตระกูลม่อ หลายปีมานี้ สิ่งตอบแทนที่กองทัพตระกูลม่อและท่านอ๋องต้องพบเจอ ล้วนทำให้เหล่าผู้บัญชาการทหารที่ภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องต่างรู้สึกโกรธเกรี้ยว ครานี้ที่พระชายาต้องประสบเหตุเช่นนี้ พวกเขาทุกคนต่างเสียใจ แต่คำสั่งแต่ละคำสั่งของท่านอ๋องที่สั่งการลงมาด้วยเรื่องนี้ ล้วนทำให้บรรดาทหารของกองทัพตระกูลม่อมีความหวังขึ้นมาลางๆ
สวีหงอวี่ยืนนิ่งอยู่ด้านนอกประตูเรือน ผินหน้ามองเฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ตรงมุมกำแพง แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “คุณชายเฟิ่งซานกำลังรอข้าน้อยอยู่หรือ”
เมื่อเห็นสวีหงอวี่ไม่รู้สึกประหลาดใจแม้สักนิด ดวงตาเฟิ่งจือเหยาก็เป็นประกายเล็กน้อย เลิกคิ้วพร้อมเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านหงอวี่เดินทางมาลำบากแล้ว เช่นนั้นไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนดีหรือไม่ ไว้ข้าค่อยไปขอคำแนะนำจากท่านอีกทีหนึ่ง”
สวีหงอวี่หัวเราะเสียงก้อง พร้อมส่ายหน้า “ข้าอยากดื่มชาในชุ่มคอสักหน่อย ไม่รู้ว่าคุณชายเฟิ่งซานจะให้เกียรตินั้นหรือไม่”
เฟิ่งซานยิ้มน้อยๆ หลุบตาลงเอ่ยว่า “เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านหงอวี่แล้ว”
ทั้งสองย้ายไปนั่งยังเรือนแขกที่จัดเตรียมไว้ให้สวีหงอวี่ สวีหงอวี่ต้มชาชั้นดีไว้กาหนึ่ง เมื่อเทชาให้เฟิ่งจือเหยาและตนเองคนละถ้วยแล้ว ถึงได้เอ่ยพร้อมยิ้มเรื่อยๆ ว่า “ข้าเข้าใจดีว่าในใจคุณชายเฟิ่งซานนึกกังวลสิ่งใด”
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วคมขึ้น มองสวีหงอวี่แล้วมิได้พูดอันใด
สวีหงอวี่อมยิ้มส่ายหน้า เมื่อเห็นเฟิ่งจือเหยามีปราการขวางกั้นเช่นนี้ ก็ประหนึ่งตนกำลังมองเด็กน้อยที่ดื้อรั้นคนหนึ่ง เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ตระกูลสวี…เรื่องที่ร้อยปีก่อนสามารถทำได้นั้น คุณชายเฟิ่งซานคิดว่าร้อยปีต่อมาจะไม่มีคนกล้าทำหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจเฟิ่งจือเหยาก็อึ้งไป สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจที่ปกปิดไว้ไม่ทัน มองบุรุษวัยกลางคนผู้เป็นบัณฑิตแห่งขงจื้อด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง แล้วจู่ๆ เขาก็พบว่า บนใบหน้าของบัณฑิตขงจื้อที่คร่ำเคร่งอ่านหนังสืออย่างหนักและดูสุภาพเรียบร้อยนั้น มีประกายคมกล้าแฝงอยู่
เมื่อเห็นเช่นนี้เขาถึงคิดขึ้นมาได้ว่า เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ตระกูลสวีเป็นผู้….ประมุขตระกูลสวีเป็นผู้สังหารฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ก่อน และเป็นผู้เปิดประตูเมืองให้องค์ปฐมฮ่องเต้กรีฑาทัพเข้าเมืองมา ถึงแม้ประมุขตระกูลสวีในเวลานั้น จะใช้ดาบปาดคอตนเองเสียชีวิตตามฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนไป แต่นั่นกลับทำให้คนในใต้หล้าได้รู้ว่า ในเส้นเลือดของตระกูลสวีมิได้มีเพียงความอ่อนแอหรือแข็งกร้าวอย่างเลือดแห่งบัณฑิตขงจื้ออันบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ภายในยังมีความเด็ดขาดและเ**้ยมโหดอย่างที่แม้แต่นายทหารก็ยังไม่มีผสมอยู่ด้วย
เช่นเดียวกัน ที่ประมุขตระกูลสวีสังหารฮ่องเต้และเปิดประตูเมืองนั้น มิใช่ด้วยเพราะจงรักภักดีต่อต้าฉู่ แต่เพื่อชาวบ้านในใต้หล้าที่ต้องทนทุกข์กับความวุ่นวายจากสงคราม และเพื่อให้ตระกูลสวีที่ใกล้จะล้มตายกันหมดทั้งตระกูล ได้มีโอกาสมีชีวิตต่อไป
จากนั้นผลที่ตามมาก็คือ บุตรชายคนเล็กสุดที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตระกูลสวี ได้ขึ้นเป็นเสนาบดีตั้งแต่อายุเพียงสิบเก้าปี ทั้งยังได้มีชื่อบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นเสนาบดีแห่งยุคอีกด้วย ส่วนตระกูลสวี…ก็ได้ใช้เลือดของประมุขตระกูลรวมถึงสมาชิกของตระกูลกว่าเจ็ดสิบคน ในการแลกมาซึ่งเกียรติยศของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของสวีเยี่ยนหลี รวมถึงยุครุ่งเรืองของตระกูลสวีในร้อยสองร้อยปีต่อมาอีกด้วย
หากไม่มีคนตั้งใจเอ่ยถึง ในสายตาของคนเกือบทุกคนต่างเห็นว่าตระกูลสวี เป็นตัวแทนของตระกูลบัณฑิต มีความรู้ความสามารถรอบด้านทั้งยังมีความแข็งแกร่งอย่างบัณฑิตผู้มีการศึกษา ยามนี้ เพิ่งจือเหยาถึงได้รับรู้อย่างกระจ่างชัดว่า นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว ตระกูลสวียังเป็นตัวแทนของเลือดสดๆ และการสังหารอีกด้วย ทั้งเด็ดขาดและฉลาดวางแผนการณ์อย่างมิอาจหาคนเทียบได้
ตระกูลที่รุ่งเรืองโดยไม่ถดถอยมาได้ตลอดสองราชวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านของราชวงศ์ สิ่งที่ประมุขตระกูลจำเป็นต้องมีคือความหลักแหลมและความเด็ดขาด รวมถึงจิตใจที่กล้าแข็ง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมิใช่สิ่งที่บัณฑิตธรรมดาทั่วไปที่เพียงมีใจนึกสงสารคนทั้งใต้หล้าจะสามารถทำได้
คนตระกูลสวีไม่ชื่นชอบกลิ่นคาวเลือด แต่นั่นย่อมมิได้หมายความว่าพวกเขาเกรงกลัวกลิ่นคาวเลือด
สวีหงอวี่นั่งจิบชาด้วยท่าทีสบายๆ เยื้อนยิ้มมองบุรุษที่สีหน้าเปลี่ยนไปมาตรงหน้าโดยมิได้พูดอันใด ไม่มีตระกูลที่อยู่มายาวนานเป็นหลายร้อยปีตระกูลใดที่มีความสงสารที่แท้จริง ถึงแม้ดูภายนอกแล้วพวกเขาจะเป็นเช่นนั้น และพวกเขาพยายามทำเช่นนั้นมาตลอด แต่นั่นย่อมไม่ใช่ความจริง คนตระกูลสวีเพียงมองทุกอย่างออกได้อย่างกระจ่างชัดเกินไปเท่านั้น ถึงได้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าไม่อาจเข้าใจพวกเขาได้ ก็เช่นเดียวกับที่พวกเขาสามารถทำเพื่อแผ่นดินของราชวงศ์ก่อน ยอมสละชีวิตในสนามรบในฐานะของบัณฑิต และเช่นเดียวกับที่พวกเขาสามารถถอยมาอยู่ยังอวิ๋นโจวได้ เพราะราชวงศ์ต้องการที่จะกดพวกเขาลง และไม่ยุ่งกับเรื่องต่างๆ ในราชสำนักอีก และเช่นเดียวกับที่พวกเขาสามารถบั่นศีรษะประมุขด้วยมือของตนเอง ปิดฉากราชวงศ์ที่มีแต่จะทำให้ถดถอยลงเรื่อยๆ ให้สิ้นซาก และเช่นเดียวกับที่พวกเขาสามารถสละชีวิตคนเกือบทั้งตระกูลเพื่อให้ตระกูลสามารถตั้งอยู่ต่อไปได้
“ท่านสวี…” เฟิ่งจือเหยายกชาขึ้นจิบอย่างทำตัวไม่ถูก แต่ไหนแต่ไรมาเขาถือเอาว่าตนเองฉลาดมากพอมาโดยตลอด แต่เมื่อได้มานั่งอยู่ตรงหน้าบัณฑิตแห่งขงจื้อผู้มีบารมีแผ่ออกมาเช่นนี้แล้ว เขากลับไม่รู้ว่าตนควรพูดสิ่งใดดี หรือจะว่าไป เขาอาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดสวีหงอวี่ถึงต้องพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าเขา สวีหงอวี่มองเขาพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ข้าหวังเพียงว่า คำพูดของข้าจะสามารถทำให้จิตใจของทหารกองทัพตระกูลม่อทุกคนสงบลงได้เท่านั้น ตระกูลสวี…กับตำหนักติ้งอ๋องมิใช่ศัตรูกัน”
เฟิ่งจือเหยาเงยหน้าขึ้นทันที รู้สึกไม่แน่ใจว่าสิ่งที่สวีหงอวี่พูด ใช่ความหมายตามที่ตนเข้าใจหรือไม่
ได้ยินเพียงสวีหงอวี่เอ่ยต่อว่า “เพียงแต่…คุณชายเฟิ่งซาน…เตรียมตัวพร้อมจริงๆ แล้วหรือยัง?”
เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง? เฟิ่งจือเหยาถึงกับงงงัน เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง? ความวุ่นวายแพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า ความเป็นใหญ่ในใต้หล้า…ในใจเฟิ่งจือเหยากระตุกเล็กน้อย ตามด้วยหัวใจที่เต้นรัวอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะสิ่งที่สวีหงอวี่พูด ประหนึ่งกระชากผ้าม่านชั้นแล้วชั้นเล่าที่อยู่ภายในจิตใจจนทำให้เห็นทุกอย่างเลือนรางออกไปจนหมด
ความเป็นใหญ่ในใต้หล้า…ในใจลึกๆ ของทหารกองทัพตระกูลม่อจำนวนนับไม่ถ้วน เกิดความหวังว่า ท่านอ๋องจะนำพวกเขาบุกโจมตีไปทั่วทุกทิศทาง มีเพียงคนที่รู้จักกองทัพตระกูลม่อดีเท่านั้นที่รู้ว่า แรกเริ่มเดิมที กองทัพตระกูลม่อเคยเป็นวีรบุรุษผู้เป็นความหวังที่สุดว่าจะสามารถรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ แต่ด้วยเพราะความหวาดกลัวของฮ่องเต้พระองค์แล้วพระองค์เล่า มี่คอยควบคุมทุกอย่างเสมอมา ทำให้ความตั้งใจที่จะให้ต้าฉู่ได้ปกครองใต้หล้าเพียงหนึ่งเดียวนั้น ไม่เคยทำให้เป็นจริงได้เลย
ไม่เพียงเท่านั้น ปณิธานนั้นภายในจิตใจของกองทัพตระกูลม่อก็ค่อยๆ มอดดับลงเช่นกัน แต่ในยามนี้…พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเป็นใหญ่ในใต้หล้าแล้วจริงๆ หรือ ท่านอ๋องที่เพิ่งเสียพระชายาไป ทำให้ใต้หล้าต้องลุกเป็นไฟได้ด้วยเพียงการดีดนิ้ว แต่ความตั้งใจของพระองค์นั้น ดูจะต้องการทำให้ใต้หล้าต้องวุ่นวาย เพื่อตอบโต้คนที่รังเกียจเคียดแค้นท่านอ๋อง รวมถึงคนที่นั่งรอชมละครเหล่านั้นด้วย
ส่วนท่านอ๋องดูจะไม่มีกระจิตกระใจมาคำนึงถึงอนาคตของกองทัพตระกูลม่อเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะสามารถนำชัยมาได้โดยอาศัยความห้าวหาญของกองทัพตระกูลม่อ แต่สถานการณ์เช่นนี้ ก็ยากที่จะรักษาไว้ให้อยู่นานได้ อีกอย่าง…สุขภาพของท่านอ๋องก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คอยก่อกวนจิตใจของคนในกองทัพตระกูลม่อ
ความดื้นรั้นไม่ยินยอมและความเป็นอริต่อสวีหงอวี่ที่มีอยู่ในใจ หายไปเป็นปลิดทิ้งในพริบตา เฟิ่งจือเหยาอดที่จะปาดเหงื่อในใจไม่ได้ เขามองสวีหงอวี่ด้วยความเคารพ แล้วเอ่ยว่า “ขอท่านได้โปรดชี้แนะด้วย ในเมื่อท่านสวีเดินทางมาไกลถึงหรู่หยาง เชื่อว่าคงมิอาจทนดูท่านอ๋องเป็นเช่นนี้…”
เฟิ่งจือเหยายังไม่ทันพูดจบ ก็ดูเหมือนสวีหงอวี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อทันที จึงยิ้มพร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องเพียงคิดไม่ตกชั่วขณะเท่านั้น คุณชายเฟิ่งซานรอดูต่อไปก็พอ”
เฟิ่งจือเหยายิ้มขื่น “ท่านอ๋องเป็นเช่นนี้มานานหลายเดือนแล้ว ผิดที่เฟิ่งซานเองที่มัวแต่งงงวย คิดไม่ถึง…ขอบคุณท่านสวีที่ชี้แนะ”
สวีหงอวี่หัวเราะน้อยๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง และเริ่มมีดาวดวงแรกขึ้นจากที่มุมขอบฟ้า สายตาทอดมองไปไกล “กองทัพตระกูลม่อ มีความเห็นแก่ตัวของกองทัพตระกูลม่อ ตระกูลสวีเอง ก็มีความเห็นแก่ตัวของตระกูลสวีเช่นกัน ท่านนั้นที่เมืองหลวง…” สวีหงอวี่ส่ายหน้า มิได้เอ่ยอันใดอีก