ตระกูลสวีไม่เคยทำตัวเป็นคนที่จงรักภักดีอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งมิใช่เพียงเพื่อประชาชนในต้าหล้าและเรื่องของหลีเอ๋อร์ ต่อให้เพื่อการสืบต่อตระกูลสวีไปอีกร้อยปี ตระกูลสวีก็ไม่มีทางสนับสนุนม่อจิ่งฉี
ม่อซิวเหยานั่งเหม่อลอยอยู่ภายในห้องคนเดียวถึงสองวัน ไม่พบหน้าผู้ใดทั้งสิ้น วันที่สามถึงได้เชิญสวีหงอวี่เข้าไปพูดคุยกันอย่างลับๆ นอกจากเจ้าตัวสองคนแล้ว มิมีผู้ใดรู้ว่าทั้งสองคนพูดคุยอันใดกัน สามวันหลังจากนั้น สวีหงอวี่ก็ลอบออกเดินทางกลับอวิ๋นโจว
สองวันหลังจากสวีหงอวี่เดินทางกลับไป ม่อซิวเหยาถึงได้เดินออกมาจากห้องนั้นอีกครั้ง เมื่อเห็นบุรุษที่ก้าวช้าๆ ออกมาจากห้อง ในใจเฟิ่งจือเหยาก็ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ
สีหน้าม่อซิวเหยายังคงดูซีดเซียวไร้สีเลือด และยิ่งดูซีดเซียวกว่าเดิมเสียอีก ประกายตาของเขายังคงเรียบเย็นและไร้ความรู้สึก แต่ความอันตรายที่ทำให้ผู้คนตื่นกลัวกลับหายไป เฟิ่งจือเหยารู้ว่า ในที่สุดท่านอ๋องก็สงบลงแล้วจริงๆ
ม่อซิวเหยาที่สงบลงได้แล้ว รวบรวมงานที่หลายเดือนมานี้กระจายให้ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมกลับมาอีกครั้ง พร้อมทั้งสั่งการงานราชการและการเคลื่อนกำลังพลทุกอย่างอย่างเป็นระบบ
ใต้หล้าที่ไฟแห่งสงครามกำลังลุกโชน พื้นที่เขตซีเป่ยที่เคยไร้ซึ่งพลังชีวิต ก็ค่อยกลับมามีพลังและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ข้าน้อยฉินเฟิงคารวะท่านอ๋อง!” ฉินเฟิงหยุดยืนตรงหน้าม่อซิวเหยา บนใบหน้าที่ยังหนุ่มแน่นมีรอยบาดแผลจางๆ เพิ่มขึ้นมา ลักษณะท่าทางโดยรวมของเขาก็ดูต่างกับช่วงหลายเดือนก่อนราวหน้ามือเป็นหลังมือ หากว่าก่อนหน้านี้ฉินเฟิงเป็นดาบอันล้ำค่าที่แอบซ่อนอยู่ในฝัก เขาในยามนี้ก็เป็นดาบคมที่พร้อมจะชักออกมาจู่โจมได้ตลอดเวลา
ช่วงหลายเดือนนี้ บริเวณชายแดนทุกพื้นที่ล้วนมีร่องรอยของฉินเฟิงและหน่วยกิเลนของเขา แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาทำตามคำสั่งพระชายา เข้าไปสกัดกั้นกองทัพสามแสนนายและเผาทำลายเสบียงอาหารของซีหลิง จนเมื่อข่าวตกหน้าผาของพระชายาแพร่ออกไป ฉินเฟิงและหน่วยกิเลนก็เริ่มทำศึกด้วยตนเอง และเริ่มเข้าบุกทำลายทัพซีหลิงที่ชายแดนของทั้งสองแคว้นเพื่อแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง
ชั่วเวลาสั้นๆ เพียงสามเดือน ซีหลิงเสียผู้บัญชาการทหารหลักไปสามนาย ค่ายทหารไฟไหม้ไปสองครั้ง แม้แต่วังหลวงของซีหลิงที่อยู่ห่างไปเป็นพันลี้กับตำหนักเจิ้นหนานอ๋องก็ไม่รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้
ถึงแม้จะมิได้เกิดความเสียหายหนัก แต่ก็วุ่นวายเสียจนทำให้วังหลวงและตำหนักเจิ้นหนานอ๋องต้องหน้าดำคร่ำเครียดและวุ่นวายไปไม่น้อย ในขณะเดียวกัน การศึกสารพัดรูปแบบที่มีความดุดันในระดับสูง ก็ทำให้หน่วยกิเลนทั้งหมด กลายเป็นทหารยอดฝีมือที่ผ่านการรบมาเป็นร้อยครั้ง ยามนี้บริเวณชายแดนของซีหลิง ชื่อเสียงของหน่วยกิเลนฟังดูน่าเกรงกลัวกว่ากองทัพตระกูลม่อหรือแม้แต่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเสียอีก
ม่อซิวเหยามองประเมินฉินเฟิงพักหนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ผลงานของพวกเจ้าในช่วงนี้ข้ารู้หมดแล้ว เสียหายไปบ้างหรือไม่”
ฉินเฟิงนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเป็นห่วง มีพี่น้องทหารสามนายที่ล้มตาย และมีอีกห้านายที่บาดเจ็บสาหัสพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยถามว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเรียกเจ้ากลับมา”
“ข้าน้อยไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำเสียงของฉินเฟิงก็ฟังดูแข็งกระด้างขึ้นทันที พวกเขากำลังวางแผนที่จะเดินหน้าเข้าเมืองซีหลิงไปเพื่อแก้แค้นในพระชายา แต่ท่านอ๋องกลับส่งคนมาสั่งการให้ออกเดินทางกลับเมืองหรู่หยางโดยทันที ซึ่งนี่ไม่เพียงทำให้พวกเขารู้สึกต่อต้านอยู่ลึกๆ แต่ในใจของพี่น้องทุกคนต่างก็ไม่ยินดี พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนที่พระชายาฝึกปรือมาด้วยพระองค์เอง พระชายาต้องมาเสียชีวิตเพราะเจิ้นหนานอ๋อง หากพวกเขาไม่แก้แค้นจะมีหน้าไปพบพระชายาได้อย่างไร
ม่อซิวเหยาหยิบม้วนกระดาษที่วางอยู่ข้างมือออกมาวางไว้ข้างโต๊ะ “เหลยเจิ้นถิงมิได้จะสังหารได้ง่ายดายเช่นนั้น อีกอย่าง ต่อให้สังหารเขาได้ เจ้าคิดว่าจะต้องสละชีวิตคนไปสักเท่าไร”
ฉินเฟิงเอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ต่อให้หน่วยกิเลนทั้งหน่วยต้องตายในการรบ ก็จะต้องล้างแค้นให้พระชายาให้ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ม่อซิวเหยาชี้ไปยังม้วนกระดาษ “เอากลับไปอ่านดู หากคิดตกแล้วค่อยกลับมาพบข้า”
ฉินเฟิงยื่นมือมารับไป เมื่อก้มลงเห็นตัวอักษรที่เขียนไว้ด้วยลายมือที่คุ้นตา ต่อให้เป็นบุรุษที่ใจแข็งเพียงใดก็ยังอดขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เรียนท่านอ๋อง สิ่งนี้พระชายาเคยให้ข้าน้อยอ่านแล้วพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีพระชายาคิดที่จะรอให้การศึกในซีเป่ยสงบลงก่อนค่อยเริ่มดำเนินการ…”
ม่อซิวเหยามองเขา “เช่นนั้น เจ้าสามารถทำได้หรือไม่”
ฉินเฟิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้าหนักๆ เอ่ยว่า “ทำได้พ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านอ๋องและพระชายาผิดหวัง”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ดีมาก สิ่งเหล่านี้ข้ายกให้เป็นหน้าที่เจ้า ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งปี ข้าอยากให้ชื่อเสียงของหน่วยกิเลน ขจรกระจายไปทั่วใต้หล้า!”
“ข้าน้อยรับบัญชา!”
ม่อซิวเหยาโบกมือ “ไปเถิด หากต้องการสิ่งใดก็ไปหาเฟิ่งซานกับจั๋วจิ้งได้เลย”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทูลลา”
“ใช่สิ…” ฉินเฟิงหมุนตัวเดินออกไปยังไม่ทันพ้นประตูดี ก็มีเสียงม่อซิวเหยาดังลอยมาจากทางด้านหลัง “เจ้าไปหาม่อหวา ที่เขามีคนอยู่ผู้หนึ่ง ต่อไปขอมอบให้เป็นหน้าที่เจ้า ม่อหวารู้ว่าต้องทำเช่นไร”
ฉินเฟิงพยักหน้าเงียบๆ หลังจากกลับมาเขาได้พบจั๋วจิ้งและหลินหานแล้ว ย่อมรู้ว่าคนที่ม่อซิวเหยาเอ่ยถึงคือผู้ใด นัยน์ตาเป็นประกายเย็นวาบ แต่ในใจกลับไม่รู้ว่าจะยินดีที่สตรีนางนั้นยังมีชีวิตอยู่ดี หรือจะดูถูกม่อหวาที่แม้แต่สตรีนางหนึ่งก็ยังสังหารให้ตายไม่ได้ดี
“คุณชายหาน” เพียงออกมาจากประตู ก็พบหานหมิงเย่ว์ที่สาวเท้าเร็วๆ เข้ามาหา ฉินเฟิงขมวดคิ้วพร้อมพยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทาย ด้วยเพราะเกี่ยวกับเยี่ยหลี ทำให้คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเยี่ยหลีดูจะไม่ชอบหานหมิงเย่ว์กันเกือบทุกคน ถึงแม้ยามที่เยี่ยหลียังอยู่ ความสัมพันธ์ของนางกับหานหมิวเย่ว์ดูจะถือว่าเป็นไปอย่างราบรื่นก็ตาม
หานหมิงเย่ว์มองฉินเฟิงที่ดูเปลี่ยนไปมาก ดวงตามีแววกังวล เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องอยู่หรือไม่”
ฉินเฟิงพยักหน้า “ข้าน้อยยังมีธุระต้องไปจัดการ ขอตัวก่อนขอรับ”
หานหมิงเย่ว์มองแผ่นหลังที่จากไปโดยไม่หยุดแม้แต่น้อย แล้วก็อึ้งไป อดยิ้มขื่นขึ้นมาไม่ได้ หลายเดือนนี้ที่เขาอยู่ในเมืองหรู่หยาง ไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับนัก ถึงแม้ม่อซิวเหยามิได้ไล่เขาไป แต่คนที่อยู่ด้านล่างกลับแสดงท่าทีไม่ต้อนรับออกมาอย่างชัดเจน หากมิได้เห็นแก่หน้าหานหมิงซีแล้ว พวกจั๋วจิ้งก็คงจับเขาโยนออกไปให้พ้นๆ แล้วเช่นกัน
หานหมิงเย่ว์เอง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วันหนึ่งเขาถึงขั้นต้องพึ่งพาอาศัยหน้าตาของน้องชาย เพื่อให้ตนมีที่ยืนอยู่ได้ เพียงแต่…เขากลับไม่อาจไปจากที่นี่ได้ เขาไม่รู้ว่าม่อซิวเหยาคิดเช่นไร ทั้งทั้งที่โกรธซูจุ้ยเตี๋ยจัด แต่กลับยังคงไม่ลงมือสังหารนาง จนแม้แต่หานหมิงเย่ว์ยังมองออกว่า ถึงแม้เขาจะให้คนทรมานซูจุ้ยเตี๋ย แต่ม่อซิวเหยากลับมิได้สั่งให้คนลงมือสังหารนาง ทั้งยังอนุญาตให้เขาไปเยี่ยมเยียนนางได้ทุกสองสามวันอีกด้วย ด้วยเพราะเหตุนี้ ทำให้ถึงอย่างไรเขาก็ตัดใจจากไปไม่ได้เสียที บางครั้งเขาถึงขั้นคิดว่า หากม่อซิวเหยาสังหารนางไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดจะดีกว่าหรือไม่
“ซิวเหยา…” เมื่อก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ก็เห็นม่อซิวเหยานั่งหลังตรงอยู่หลังโต๊ะหนังสือและกำลังเหม่อมองบางสิ่งบางอย่างอยู่
เมื่อเรียกสติกลับมาได้ ม่อซิวเหยาก็หันมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีธุระอันใด”
“เจ้าคิดจะจัดการจุ้ยเตี๋ยอย่างไร” หานหมิงเยว์อดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ เขาได้ยินสิ่งที่ม่อซิวเหยาเอ่ยแล้ว วันนี้ซูจุ้ยเตี๋ยถูกยกให้เป็นหน้าที่ของฉินเฟิง เขาไม่รู้ว่าฉินเฟิงทำอันใดได้บ้าง แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่า สถานการณ์ของซูจุ้ยเตี๋ยจะต้องย่ำแย่กว่านี้แน่นอน
ม่อซิวเหยาระบายยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมเอ่ยถามว่า “ซูจุ้ยเตี๋ยคิดว่าข้ายังมีใจให้นางอย่างนั้นหรือ”
หานหมิงเย่ว์นิ่งเงียบไม่ตอบ หลายเดือนมานี้ซูจุ้ยเตี๋ยมิได้รับความลำบากอันใดมากมายจริงๆ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับท่าทีโหดเ**้ยมของม่อซิวเหยาบนหน้าผาแล้ว ถือว่ายังห่างกันมากนัก ม่อซิวเหยาถึงขั้นส่งคนมารักษามือของนางให้หายดี ดังนั้นซูจุ้ยเตี๋ยจึงเริ่มคิดว่า ม่อซิวเหยาตัดนางไม่ขาดจริงๆ ที่ในยามนี้เข้ายังจับนางขังไว้และทรมานนาง ก็เพราะยังไม่หายโกรธและเพียงทำให้ผู้อื่นดูเท่านั้น
แต่หานหมิงเย่ว์รู้ดีว่า ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ซูจุ้ยเตี๋ยคิดมากไปเองเท่านั้น ตั้งแต่วินาทีที่ซูจุ้ยเตี๋ยหมุนตัวเดินจากไปเมื่อหลายปีก่อน นั่นก็ทำให้นางเสียสูญเสียความสามารถที่จะทำให้ม่อซิวเหยาหวั่นไหวไปแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ นางไม่เคยมีความสามารถนั้นมาก่อน แต่ในยามนี้ เมื่อเอ่ยถึงซูจุ้ยเตี๋ย แววความเคียดแค้นในดวงตาม่อซิวเหยายิ่งทำให้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกตกใจกลัว
“เจ้าวางใจเถิด นางจะไม่ตายหรอก อย่างน้อย…นางจะไม่ตายก่อนเดือนสิบปีนี้อย่างแน่นอน”
หานหมิงเย่ว์ตกใจขึ้นทันที “เจ้า…เจ้าคิดจะให้นาง…”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นอย่างที่เจ้าคิด หากก่อนเดือนสิบปีนี้ยังไม่มีข่าวของอาหลี ข้าคิดจะใช้เลือดของนางมาเป็นเครื่องสังเวยหน้าผานั้นที่อาหลีตกลงไป ส่วนปีต่อไป…ก็ถึงตาของเหลยเจิ้นถิง…เจ้าว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง ปีละหนึ่งคน ทุกคนที่ทำร้ายอาหลีกับลูกของข้า จนกว่าอาหลีจะกลับมา…” หรือจนกว่าใต้หล้าจะโดนย้อมจนกลายเป็นสีแดงฉานทั้งหมด
“แต่ว่า…” หานหมิงเย่ว์เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยความยากลำบาก ชายาติ้งอ๋องตายไปแล้วนี่