ต้นเดือนสี่ หลีอ๋องและหนานจ้าวที่เปิดศึกกับต้าฉู่อยู่ที่ทางใต้ถอนทัพออกตามกันไป การรบที่เคยดุเดือดดูมีทีท่าว่าจะสงบขึ้น เมื่อหลีอ๋องและหนานจ้าวหยุดทำศึก ทางใต้ของต้าฉู่ก็เหลือเพียงทัพของซีหลิง จำนวนหลายแสนนายที่นำโดยเหลยเถิงเฟิงเท่านั้น
ต่อให้ซีหลิงมีกองทัพที่แข็งแกร่งเพียงไร แต่อย่างไรก็อยู่ห่างจากแคว้นมาตุภูมิของตนเอง ต้าฉู่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ทั้งยังมีทรัพยากรอย่างอุดมสมบูรณ์ ตรงกลางยังมีทหารของทัพตระกูลม่อจำนวนหลายแสนนายคอยจับจ้องอยู่ ทัพของเหลยเถิงเฟิงจึงค่อยๆ ลดความเร็วในการเคลื่อนพลลง
กับเป่ยหรงทางตอนเหนือ ถึงแม้จะมีการต่อสู้กันหลายครา แต่ทั้งสองฝ่ายผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ไม่มีผู้ใดเป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงต่างหยุดชะงักกันอยู่เพียงเท่านั้น
กับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฟิ่งจือเหยาหรือคนอื่นๆ ในเมืองหรู่หยางต่างรู้สึกหนักใจทั้งสิ้น เมื่อใดก็ตามที่ต้าฉู่หยุดทำศึกกับแคว้นโดยรอบ ก็อาจถึงขั้นทำข้อตกลงและร่วมมือกับทุกฝ่ายมาปราบพวกเขา แต่กับเรื่องนี้ ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มรับโดยมิได้เอ่ยอันใด
“ท่านอ๋อง ม่อจิ่งฉีทำข้อตกลงกับม่อจิ่งหลีแน่นอนแล้ว หากอีกสองแคว้นอย่างซีหลิงและเป่ยหรงยอมแพ้ ก็เป็นไปได้มากที่ม่อจิ่งฉีจะหันกับมาเล่นงานพวกเรา” ภายในห้องหนังสือ เฟิ่งจือเหยาเอ่ยด้วยความหนักใจ
ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฟิ่งซาน กองทัพตระกูลม่อเป็นหอกข้างแคร่ของผู้มีอำนาจของแต่ละแว่นแคว้นมาโดยตลอด ต่อให้เป็นในยามนี้…ก็ไม่ต่างกัน ดังนั้น ถึงแม้พวกเขาจะร่วมมือกันมาจัดการข้า ข้าก็จะไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย”
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋องมีแผนรับมือแล้ว?”
ม่อซิวเหยาสัมผัสหนังสือในมือเบาๆ หลุบตาลงเอ่ยว่า “แผนรับมือ…เฟิ่งซาน สิ่งที่กองทัพตระกูลม่อต้องการในยามนี้มิใช่แผนรับมือ แต่เป็นการชนะศึก”
เฟิ่งจือเหยามองท่านอ๋องผู้มากด้วยบารมีตรงหน้า พลางเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ชนะศึก?”
มุมปากเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ถูกต้อง…ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของกองทัพตระกูลม่อที่รบโดยไม่แพ้นั้น ถูกฝุ่นจับไปเสียแล้ว สิ่งที่ข้าต้องการคือให้ม่อจิ่งฉีเริ่มลงมือก่อน ให้เขาเป็นคู่ซ้อมไปก่อนก็แล้วกัน เพื่อเป็นการบอกแก่คนในใต้หล้าว่า กองทัพตระกูลม่อ…ยังคงเป็นกองทัพตระกูลม่อ…”
เฟิ่งจือเหยายังคงข้องใจ นวดหว่างคิ้วพลางเอ่ยถามว่า “หากทั้งสี่แคว้นเข้ามาหาเรื่องพวกเราพร้อมๆ กัน ท่านอ๋อง…ถึงแม้กองทัพตระกูลม่อจะกล้าหาญชาญชัยเพียงใด ก็คงมิอาจรับมือข้าศึกที่พร้อมใจกันมาอย่างไม่ขาดสายได้หรอกนะพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาหรี่ตาลงมองประเมินเฟิ่งจือเหยา พักใหญ่ถึงได้หัวเราะเสียงต่ำๆ ออกมา เขามองสีหน้างงงวยของเฟิ่งจือเหยา แล้วม่อซิวเหยาก็เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เฟิ่งซาน น่าเสียดายจริงๆ ที่เจ้าถือตนเองว่าเป็นคนฉลาดเหนือผู้ใด แต่ในเรื่องการเมืองกลับเป็นเพียงเจ้างั่งคนหนึ่ง เจ้าคิดว่า…จะมีวันที่ทั้งสี่แคว้นพร้อมใจกันลงมือหรือ”
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วใคร่ครวญอย่างหนัก
ม่อซิวเหยากรีดปลายนิ้วเล่น พลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “ในโลกนี้…ไม่มีศัตรูที่ถาวรฉันใด ก็ไม่มีมิตรแท้ที่ถาวรฉันนั้น สิ่งที่เที่ยงแท้ถาวรมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือประโยชน์ส่วนตน หากไม่มีกองทัพตระกูลม่อ จะเป็นผลดีแก่ผู้ใดมากที่สุด ยามนี้กองทัพตระกูลม่อมีจำนวนอยู่ห้าแสนกว่านาย หากคิดอยากกำจัดข้าให้สิ้นซากจริงๆ พวกมันใช้ทหารห้าแสนนายพอหรือไม่ ผู้ใดจะลงแรงมากหน่อย ผู้ใดจะลงแรงน้อยหน่อย แล้วไหนจะตัวพวกมันเองอีก…หนานจ้าวมีเรื่องขัดแย้งกันภายในแคว้น ซีหลิงเป็นแคว้นเล็ก ก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย เป่ยหรงแร้นแค้นติดต่อกันมาหลายปี แล้วยังต้าฉู่…ม่อจิ่งฉีกับม่อจิ่งหลี เจ้าคิดว่าพวกมันจะร่วมมือร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจริงๆ หรือ”
เมื่อม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจือเหยาก็รู้สึกเหมือนโลกสว่างขึ้นทันที ยิ้มอย่างอายๆ พร้อมเอ่ยว่า “ข้าคิดมากเกินไปเอง เชื่อว่าในใจท่านอ๋องคงมีแผนในใจอยู่แล้ว เช่นนั้น…กองทัพตระกูลม่อทั้งหมอเพียงเตรียมตัวตั้งรับอย่างแน่นหนาน รอให้ข้าศึกมาบุกเท่านั้นก็พอ เพียงแต่…ข้าน้อยเห็นว่า ทางที่ดีเราไม่ควรมีเรื่องกับคนของม่อจิ่งฉีตั้งแต่ต้น”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วมองเขา
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยว่า “ม่อจิ่งฉีบุ่มบ่ามทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋อง หากเปิดศึกกับม่อจิ่งฉีตั้งแต่ต้น เกรงว่าท่านอ๋องคงได้ถูกกล่าวโทษว่าเป็นคนคิดคดทรยศเข้าให้จริงๆ”
ม่อจิ่งฉีส่งเสียงหึเบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ เพียงเอ่ยถามว่า “นายทหารชั้นผู้น้อยและผู้ใหญ่ในกองทัพตระกูลม่อมีปฏิกิริยาเช่นไร”
“หลายปีนี้ ทหารชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยของกองทัพตระกูลม่อถูกม่อจิ่งฉีใช้อำนาจกดเอาไว้ พวกเขาต่างรับรู้เรื่องราวในครานี้โดยละเอียด แน่นอนว่าย่อมปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอ๋องแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งจือเหยารู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจท่านอ๋องเลยจริงๆ ว่า เหตุใดท่านอ๋องถึงไม่คิดที่จะตอบโต้น้ำสกปรกที่ม่อจิ่งฉีสาดมาใส่ตนบ้าง ความสำคัญของใจประชาชนนั้น แม้แต่เขายังรู้ดี แต่ม่อจิ่งฉีทำประหนึ่งไม่สนใจเรื่องนี้กระนั้น
ม่อซิวเหยาประหนึ่งอ่านใจเฟิ่งจือเหยาได้ เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ว่าจะพยายามแก้ข่าวอย่างไร การที่กองทัพตระกูลม่อค่อยๆ ตีตัวออกห่างจากต้าฉู่ก็เป็นเรื่องจริง ต่อให้เปลืองน้ำลายมากกว่านี้ ในสายตาของคนจำนวนมาก ก็คงเห็นเป็นเพียงการปิดบังความผิดเท่านั้น ม่อจิ่งฉีอยากเล่น ข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเขาเอง ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับไทเฮาเลี้ยงดูเขาอย่างทะนุถนอมเกินไป คนที่ได้ใจประชาชน จะเป็นคนที่ได้ครอบครองใต้หล้า…เขาคิดจริงๆ หรือว่าใจของประชาชนจะได้มาโดยง่ายเช่นนั้น ทางด้านม่อจิ่งฉีนั่น ไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะเล่นลูกไม้อันใด ส่งจดหมายถึงหานหมิงซี ให้เขากลับมาพบข้า เหลิ่งเฮ่าอวี่อีกคน ให้เขารีบกลับมา ข้ามีเรื่องจะสั่งการพวกเขา”
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้ารับคำ เมื่อเอ่ยถึงเหลิ่งเฮ่าอวี่ เฟิ่งจือเหยามีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง ทางด้านท่านแม่ทัพมู่หรง ท่านเห็นว่าควร…”
มู่หรงเซิ่นถือเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งของต้าฉู่ อีกทั้งยังเคยติดตามม่อหลิวฟางมาก่อน ยามนี้บุตรสาวคนเดียวของมู่หรงเซิ่น ก็เป็นฮูหยินของหนึ่งในคนที่ม่อซิวเหยาไว้ใจเป็นที่สุดอย่างเหลิ่งเฮ่าอวี่ การดึงมู่หรงเซิ่นให้เข้ามาเป็นพวกจึงดูเป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมาย
ม่อซิวเหยานิ่งคิดเล็กน้อย โบกมือเอ่ยว่า “ยังไม่ต้องก่อน แม่ทัพมู่หรงเป็นคนแรกๆ ที่ม่อจิ่งฉีจะนึกสงสัยอย่างแน่นอน ยามนี้รอบตัวเขาคงมีคนคอยสอดแนมรายล้อมอยู่เต็มไปหมดแล้ว ให้คนคอยระวังไว้สักหน่อยก็พอ ขอเพียงม่อจิ่งฉีไม่ลงมือทำอันใดแม่ทัพมู่หรง ก็ยังไม่ต้องไปทำอันใดเขา ทางใต้…ยังต้องมีแม่ทัพที่ไว้ใจได้คอยประจำการอยู่ ถึงแม้ข้าจะเป็นปฏิปักษ์กับม่อจิ่งฉี แต่ก็ไม่คิดอยากให้คนใต้ชั้นเลวพวกนั้นก้าวเข้ามาในด่านได้แม้แต่ก้าวเดียว!”
เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจือเหยาก็พอรู้แล้วว่า กับมู่หรงเซิ่นนั้น ม่อซิวเหยาวางแผนเอาไว้แล้ว เพียงแต่ยามนี้ยังจำเป็นให้มู่หรงเซิ่นรั้งอยู่ที่ทางใต้ก่อน เขาผินหน้าไปคิดเล็กน้อย เฟิ่งจือเหยาก็เริ่มเข้าใจความคิดของม่อซิวเหยา หากถามว่าในบรรดาแคว้นต่างๆ โดยรอบ แคว้นที่น่ารังเกียจที่สุดคือแคว้นใด เฟิ่งจือเหยาจะต้องเลือกแคว้นหนานจ้าวอย่างแน่นอน
หนานจ้าวเป็นชนเผ่าที่ถือธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเคร่งครัดไม่เหมือนกับแคว้นอื่น และไม่เหมือนกับซีหลิงและเป่ยหรงที่มีความห้าวหาญ หากว่าเรื่องการแบ่งแยกคนต่างเผ่าแล้ว หนานจ้าวก็เป็นแคว้นที่แบ่งแยกมากที่สุด ทั้งยังมีบรรดาแมลงและมดมีพิษที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปหมดจนทำให้คนตาลาย เฟิ่งจือเหยาไม่อยากคิดจินตนาการเลยว่า หากทำให้พื้นที่จงหยวนที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยแมลงและงูพิษแล้ว พวกเขาจะต้องทำเช่นไร
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า ให้เฟิ่งจือเหยาถอยออกไปได้
เฟิ่งจือเหยาประสานมือทูลลา เหลือบมองม่อซิวเหยาที่นั่งจมอยู่กับความคิดของตนเองอยู่หลังโต๊ะหนังสือแล้วคิดอยากพูดบางอย่าง แต่ในที่สุดก็กลืนสิ่งเหล่านั้นกลับลงไป แล้วถอยออกจากห้องหนังสือไปเงียบๆ