“ใคร…ใครกัน?”เมื่อเห็นเพื่อนของตน จู่ๆ ก็ตัวอ่อนล้มลงอยู่ตรงหน้าต่างอย่างไร้สุ้มเสียง ชายวัยกลางคนก็จับจ้องไปทางหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง น้ำเสียงที่เอ่ยสั่นไหวโดยไม่รู้ตัว
เขาหันไปเหลือบมองท่านหมอหลินที่ยืนอยู่ ก่อนค่อยๆ ก้าวเข้าไปจับตัวเขาให้มาขวางอยู่ด้านหน้าตน แล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นหน้าไป “ใครอยู่ข้างนอก ออกมา!”
บริเวณหน้าอกของชายวัยกลางคนเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา เดิมทีครานี้เขาเพียงมาเอาของให้ผู้เป็นนายเท่านั้น คิดว่ามิใช่เรื่องยากอันใด พวกเขาจึงมิได้พาคนมามากนัก คาดไม่ถึงว่าในหมู่บ้านปิดบนภูเขาเล็กๆ แห่งนี้จะมียอดฝีมือหลบซ่อนตัวอยู่
“ออกมา! หากยังไม่ออกมา ข้าจะฆ่าเจ้านี่ซะ!” เขาลากท่านหมอหลินไป ชายวัยกลางคนจ้องนิ่งไปทางหน้าต่าง เขาไม่ก้าวเข้าไป แต่กลับค่อยๆ เคลื่อนตัวถอยหลังไปทางหน้าประตู
ฟุ่บ…
เงาสีเทาเงาหนึ่งเคลื่อนตัวผ่านหน้าต่างไป ชายวัยกลางคนเบิกตาโพลง เงาสีเทานั้นเคลื่อนตัวผ่านไปเร็วเกินไป เขาไม่ทันมองให้ชัดด้วยซ้ำว่าคือสิ่งใด
ชายวัยกลางคนกระชับกริชในมือ พลางกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ พาท่านหมอหลินถอยไปทางประตูด้านหลัง เกิดเสียงดังแคร็กพร้อมกับบานหน้าต่างที่ไหวติง ชายผู้นั้นตกใจกลัว รีบเล็งกริชไปทางหน้าต่าง แต่กลับเห็นเพียงเงาดำๆ พุ่งตรงเข้ามาหา ชายผู้นั้นอ้าปากค้าง ก้มหน้าลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ก็เห็นเพียงที่ลำคอของตนมีปิ่นปักผมไม้หยาบๆ แทงค้างไว้อยู่ เขากะพริบตา แล้วก็พบว่าตนหมดเรี่ยวหมดแรง ทำได้เพียงปล่อยมือจากท่านหมอหลินและหงายหลังลงไปเท่านั้น
ท่านหมอหลินก้มหน้าลงมองชายวัยกลางคนที่ล้มลงอยู่กับพื้นทั้งๆ ที่ตายังเบิกค้างอยู่ ผู้ใดเป็นเจ้าของปิ่นปักผมไม้ที่เสียบอยู่ที่คอนั้น เขาย่อมรู้ดี แต่ที่หน้าต่างกลับไม่มีเงาของเยี่ยหลีให้เห็น
ไม่นาน ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้น แล้วเยี่ยหลีก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้องหนังสือ
เมื่อเห็นท่านหมอหลินอยู่ในอาการประหนึ่งเหม่อลอย จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านอาจารย์…ไม่เป็นอันใดกระมัง”
ท่านหมอหลินมองเยี่ยหลีพร้อมส่ายหน้า
เยี่ยหลียิ้มแห้งๆ “ทำให้ท่านอาจารย์ตกใจแล้ว? ข้า…”
ท่านหมอหลินนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างหมดแรง พักใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “คราแรก ข้าก็คิดว่าเด็กสาวอย่างเจ้าไม่ธรรมดา ยามนี้ถึงได้รู้ว่า ข้ามองพลาดไปมากทีเดียว ข้าจะไม่ถามแล้วว่าเจ้ามีความเป็นมาอย่างไร ต่อไปเจ้าก็ไปตามทางของเจ้าเถิด ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองศพบนพื้นและที่หน้าต่าง ในห้องที่มีศพสองศพนอนกองอยู่นี้ ช่างไม่เหมาะกับการพูดคุยเอาเสียเลย แต่ในยามนี้นางก็ไม่มีกำลังที่จะไปจัดการศพทั้งสองนี้แล้วเช่นกัน จึงหาที่นั่งนั่งลง แล้วลูบปลอบบุตรในครรภ์ที่เริ่มอยู่ไม่นิ่ง
เยี่ยหลีขมวดคิ้วฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ สภาพข้าเช่นนี้…ท่านจะให้ข้าไปที่ใด” อย่าว่าแต่มีโอกาสจะเจองูพิษหรือสัตว์ร้ายเลย แค่ความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องเดินทางข้ามภูเขานางก็ไม่ไหวแล้ว
ท่านหมอหลินถอนใจยาว ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้ากำลังไล่เจ้าไปหรือ ข้าเองก็ต้องไปเช่นกัน หากยังไม่ไป…เกรงว่าคงทำให้คนในหมู่บ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องลำบากไปด้วย”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้สีหน้าชายชราดูเศร้าสร้อยลงเล็กน้อย ชายชราอายุกว่าหกสิบปี ต้องจากสถานที่ที่พักอาศัยมาหลายสิบปีไปเพียงคนเดียว มิใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์เลยจริงๆ
“คือ…หลินย่วนหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงเบาขึ้น หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
ท่านหมอหลินอึ้งไป นิ่งไปครู่แล้วถึงได้ถอนใจยาวออกมา
ท่านหมอหลินไม่อยากเอ่ยถึง เยี่ยหลีก็ไม่คิดที่จะฝืน ถึงแม้ไม่รู้ว่าคนที่ชื่อหลินย่วนต้องการของสิ่งใดจากท่านหมอหลิน แต่นางก็ไม่อยากให้ท่านหมอหลินคิดว่านางอยากได้ในสมบัติของเขา
นางคิดไปคิดมา แล้วจึงเอ่ยว่า “หากท่านอาจารย์ไม่อยากให้ของสิ่งนั้นแก่พวกเขา เหตุใดถึงไม่ทำลายทิ้งเสียเล่าเจ้าคะ จะได้ตัดความหวังพวกเขาทิ้งเสีย หากว่า…เขาเป็นคนที่ท่านอาจารย์เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต แล้วท่านอาจารย์ไม่อยากให้เขา แล้วจะอยากไปให้ผู้ใดอีกได้”
ท่านหมอหลินฝืนยกยิ้ม พลางส่ายหน้า ลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไป
เยี่ยหลีไม่ได้ขยับไปที่ใด นางมองศพทั้งสองด้วยความหงุดหงิดใจ หากเป็นก่อนหน้านี้ การจัดการศพเพียงสองศพนั้นไม่ครนามือนางอย่างแน่นอน แต่ในยามนี้นางกลับทำไม่ไหวแล้ว ท่านหมอหลินอายุอานามก็เท่านี้แล้ว จะให้เขาช่วยจัดการก็คงจะไม่ได้
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ท่านหมอหลินก็เดินถือขวดกระเบื้องเคลือบหน้าตาธรรมดาๆ กลับเข้ามา เดินไปหยุดตรงหน้าชายวัยกลางคนที่นอนกองอยู่กับพื้น เปิดฝาขวดออกแล้วเหยาะเอาผงข้างในออกมาเล็กน้อย จากนั้นเยี่ยหลีก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นว่า ผงนั้นเมื่อต้องเข้ากับศพก็เกิดเป็นควันกลิ่นแสบจมูกขึ้นมาทันที จากนั้นก็เริ่มกัดกร่อนศพบนพื้น
เพียงไม่นาน ร่างชายอกสามศอกก็เหลือเพียงเศษดินและน้ำเท่านั้น แม้แต่เศษซากเสื้อผ้าก็ไม่เหลือ จากนั้นก็มองท่านหมอหลินเดินไปยังศพอีกศพหนึ่ง เช่นกันเขาเหยาะผงนั้นลงมาเล็กน้อย แล้วศพนั้นก็ค่อยๆ โดนกัดกร่อนจนละลายหายไป
เยี่ยหลียกมือขึ้นลูบจมูกโดยไม่รู้ตัว อยู่ด้วยกันมานานเช่นนี้ แต่นางเพิ่งได้รู้ว่า ที่แท้ท่านอาจารย์ที่ไม่รู้ชื่อท่านนี้ มีความโหดเ**้ยมเด็ดขาดถึงเพียงนี้
เมื่อเห็นท่านหมอหลินจัดการศพทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย เยี่ยหลีก็นึกมั่นใจว่า เมื่อครู่ท่านหมอคงไม่ตกใจกับสิ่งที่นางกระทำเป็นแน่ เมื่อได้เห็นท่าทางชำนิชำนาญและเรียบเฉยของเขา ก็เห็นได้ชัดว่ามิใช่มือใหม่
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจารย์และศิษย์ที่เดิมก็มิค่อยคุ้นเคยกันเท่าไรนัก ต่างหันมองกันและกันอยู่พักใหญ่ ถึงได้นึกคิดได้ว่าควรย้ายไปนั่งยังห้องด้านนอก ถึงแม้ในห้องจะไม่มีสิ่งที่ขวางหูขวางตาอยู่แล้ว แต่ว่ากันตามจริง กลิ่นที่หลงเหลืออยู่นั้น ไม่ใช่กลิ่นที่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก
เมื่อออกมานั่งยังห้องด้านนอก ท่านหมอหลินเทชาสองถ้วยให้ตนและเยี่ยหลีด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อได้ดื่มชาเข้าไปเล็กน้อย ก็ดูจะพอจะผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ท่านหมอหลินถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่อาจทำให้คนบริสุทธิ์ในหมู่บ้านนี้เดือดร้อนไปด้วยได้ คงอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว…”
เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยปากขึ้นว่า “เท่าที่ฟังท่านอาจารย์เอ่ย ท่านนั้น…คงมิใช่คนที่จิตใจมีเมตตาหรือใจอ่อนอันใด ท่านอาจารย์มั่นใจได้อย่างไรว่า เมื่อท่านจากไปแล้ว เขาจะไม่ทำอันตรายอันใดชาวบ้านที่นี่? หากเป็นเช่นนี้…ท่านอาจารย์จะเกลี้ยกล่อมข้าให้ไปจากที่นี่ได้อย่างไร ถึงแม้ข้าจะอยู่กับท่านอาจารย์มาได้ไม่นานเท่าไร แต่ก็รับรู้ได้ว่าท่านอาจารย์เป็นคนดี”
ท่านหมอหลินนิ่งเงียบ เขาไม่สามารถรับประกันได้จริงๆ ว่า หากตนจากไปแล้วและเมื่อคนผู้นั้นกลับมาหาสิ่งของที่ต้องการไม่พบ จะไม่หัวเสียจนกลายเป็นความโกรธแค้น และจะไม่ลงมือกับผู้บริสุทธิ์ มิเช่นนั้นแล้ว เขาแค่เพียงต้องฝากเยี่ยหลีให้พักอาศัยอยู่ในบ้านสักหลังหนึ่งในหมู่บ้านแห่งนี้ และไม่จำเป็นต้องให้นางแบกท้องโย้ออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าอย่างไร เส้นทางด้านนอกนั่นก็ถือว่าอันตรายเกินไปสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์หลายเดือนจริงๆ
พักใหญ่ ท่านหมอหลินถึงได้เอ่ยถามว่า “เจ้ามีความคิดเช่นไร”
เยี่ยหลีส่ายหน้า มองท่านหมอหลินด้วยสีหน้าเสียใจ “ข้าในยามนี้แม้แต่จะปกป้องตนเองยังไม่ได้ นอกเสียจากข้าจะสามารถออกจากที่นี่ไปยังหงโจวให้ได้รวดเร็วที่สุดเท่านั้น…”
“หงโจว…” ท่านหมอหลินมองนาง “เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้ามีหนทาง”
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ ยกนิ้วขึ้นชี้หน้งสือที่มีอยู่เต็มห้อง “ชาวบ้านในหมู่บ้านบอกข้าว่า ตลอดสามสิบปีมานี้ท่านไม่เคยออกไปจากที่นี่เลย เพียงแต่…พวกเขาก็ได้บอกเช่นกันว่า ในยามนั้นท่านมีเพียงสัมภาระติดตัวมาเล็กน้อยและอุ้มเด็กมาคนหนึ่งเท่านั้น หนังสือพวกนั้นมิใช่หนังสือที่สามารถส่งมาที่นี่ได้ง่ายๆ ดังนั้น หลายปีนี้อย่างน้อยท่านต้องเคยออกไปจากที่นี่หลายครั้งโดยที่พวกเขาไม่รู้ อีกทั้งก็ไม่จำเป็นต้องไปนานหลายๆ เดือนอีกด้วย”
ท่านหมอหลินมองนางพร้อมถอนใจ “เจ้าฉลาดมากจริงๆ เจ้าคงมองออกตั้งแต่แรกแล้วกระมัง?”
เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ มิได้เอ่ยอันใด
ท่านหมอหลินมองนาง ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่มีประโยชน์ เส้นทางสายนั้น ข้าก็ไม่ได้ไปมายี่สิบกว่าปีแล้ว เจ้าในยามนี้ไปไม่ได้หรอก ข้าเองก็ไปไม่ได้แล้วเช่นกัน ข้าแก่แล้ว”
ในใจเยี่ยหลีพอรู้อยู่บ้าง จึงมิได้ผิดหวังสักเท่าไร นางผินหน้าไปคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามว่า “ข้าเดาว่าเป็นทางน้ำ ข้าตกลงไปจากหุบเขาใกล้ๆ หงโจว ยามที่ตกกระแทกน้ำนั้น ถูกดูดเข้าไปในน้ำวนอันมืดมิด จากนั้นก็ถูกทางน้ำลับใต้ดินพัดมาโผล่ที่นี่?”
ท่านหมอหลินพยักหน้าอย่างชื่นชม “เจ้าถือว่าโชคดีมาก ที่ไม่จมน้ำตายไปเสียก่อน และไม่ถูกกระแสน้ำพัดไปชนโขดหินตาย แม้แต่บุตรในครรภ์ก็ไม่เป็นอันใด”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้มเล็กน้อย “ข้ากลับคิดว่ามิใช่เพราะข้าโชคดี แต่เพราะคนที่ขุตทางน้ำใต้ดินสายนั้นทำไว้ละเอียดเกินไป ดังนั้นข้าถึงไม่ถูกซัดไปโดนหินที่กีดขวางหรือโดนพัดไปชนจนตายในทางน้ำลับสายนั้น เช่นนั้นท่านอาจารย์…คนประเภทใดหรือที่จะยอมสละเวลาและพลังกายจำนวนมากในการขุดทางลับเช่นนี้ หรือว่า…หมู่บ้านแห่งนี้เองก็มีความลับซ่อนอยู่เช่นกันอย่างนั้นหรือ”
ท่านหมอหลินอึ้งไปเล็กน้อย สายตาที่มองเยี่ยหลีดูมีแววค้นหาและระแวดระวังขึ้นหลายส่วน เยี่ยหลีก็ไม่หลบไปไหน นั่งเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ หลุบตามองนิ้วมือที่เริ่มอวบนูนแต่ยังคงเรียวงาม มือคู่นี้ เมื่อหนึ่งเค่อก่อนหน้า เพิ่งหักคอคนมาได้อย่างง่ายดาย
“แม่หนู เจ้าเป็นใครกันแน่” ท่านหมอหลินจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดถึงได้เอ่ยปากถามขึ้น
เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “หากท่านอาจารย์มิได้ออกไปจากที่นี่มากว่ายี่สิบปีจริง เช่นนั้นข้าเป็นใครก็คงไม่มีความหมายอันใดกับท่านกระมัง”
ท่านหมอหลินสบตานาง เอ่ยว่า “อย่างน้อยข้าต้องรู้ก่อนว่า เจ้ามิใช่คนของราชวงศ์ต้าฉู่”
ในใจเยี่ยหลีนึกถอนใจ แค่เพียงคำถามนี้ของท่านหมอหลิน ก็เป็นการเปิดเผยคำตอบมากมายออกมาแล้ว
เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยด้วยความหนักแน่นว่า “ข้ามิใช่คนของราชวงศ์ต้าฉู่”
ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะแซ่ม่อ และถึงแม้จะมีบรรพบุรุษคนเดียวกับองค์ปฐมฮ่องเต้ของต้าฉู่ แต่หากว่ากันที่สายเลือด ถือว่าห่างออกมาไกลมากแล้ว หากเขามิได้มีบรรดาศักดิ์เป็นซื่อสี่ พวกเขาก็ถือว่าไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับราชวงศ์แล้ว และในความเข้าใจของทุกคน ก็ดูประหนึ่งจะแบ่งแยกกองทัพตระกูลม่อและราชวงศ์ต้าฉู่ออกจากกันอย่างชัดเจน ดังนั้นเยี่ยหลีจึงถือเอาว่านางกับราชวงศ์ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันทั้งสิ้น
เมื่อได้ฟังคำตอบของเยี่ยหลี สีหน้าท่านหมอหลินก็ดูผ่อนคลายลงมาก
เยี่ยหลีจ้องมองเขาด้วยสายตาจริงจัง แล้วเอ่ยคำถามที่ทำให้อีกฝ่ายต้องตกใจว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเกี่ยวข้องอันใดกับราชวงศ์ก่อนหรือ”
ท่านหมอหลินมองเยี่ยหลีอย่างอึ้งๆ ดูนึกไม่ถึงว่าเยี่ยหลีจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา พักใหญ่ถึงได้ถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้ามีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก่อน”
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ จับแก้วชาที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆ ในมือเล่น พลางเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์สนใจว่าข้าเป็นคนของราชวงศ์ก่อนหรือไม่ ทั้งยังตัดขาดจากโลกภายนอกมาอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าท่านกับราชวงศ์ต้าฉู่…ถึงแม้จะไม่ถึงกับมีความแค้นที่ฝังรากลึก แต่แน่นอนว่าคงมิได้มีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างแน่นอน และดูจากที่ที่แห่งนี้ยังคงอยู่ภายในอาณาเขตต้าฉู่ หนำซ้ำท่านอาจารย์เองก็ดูมิใช่คนนอกชนเผ่า อีกอย่าง…จากแม่น้ำสายนั้นที่ข้าตกจากหุบเขาลงมา จนมาถึงที่ที่ท่านอาจารย์ช่วยข้า เท่าที่ข้าคำนวณดู ต่อให้เป็นเส้นทางตรง อย่างน้อยก็ห่างกันอยู่มากกว่ายี่สิบลี้ ทางน้ำใต้ดินที่คนสร้างขึ้นและมิใช่ทางน้ำริมแม่น้ำเช่นนั้น จะมีผู้ใดสามารถสร้างขึ้นได้อีก อีกทั้งทางออกอีกด้านที่สร้างขึ้นก็ยังเป็นในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ข้าเห็นว่า…พวกเขามิได้บังเอิญตัดขาดโลกภายนอกมาอยู่ที่นี่ แต่พวกเขากำลัง…ปกป้องบางสิ่งบางอย่างอยู่ ถึงแม้จะเป็นไปได้มากที่ชาวบ้านในหมู่บ้านจำนวนมากจะไม่รู้เรื่องนี้แล้ว แต่อย่างไรก็ยังมีคนที่รู้เรื่องอยู่ใช่หรือไม่”
ท่านหมอหลินเห็นสตรีตรงหน้าเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจเช่นนั้น ก็อดถอนใจออกมาไม่ได้ “เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องผิด มองชายชราตรงหน้าด้วยตากลมโต “ท่านอาจารย์จะฆ่าข้าปิดปากหรือ เช่นเดียวกับสองคนเมื่อครู่?”
พูดจบ เยี่ยหลียังหันไปชี้ห้องหนังสือด้านหลัง
ท่านหมอหลินมุมปากกระตุกขึ้นอย่างอดไม่อยู่ ผู้ใดเป็นคนฆ่าสองคนนั้นกันแน่!
ท่านหมอหลินส่ายหน้าอย่างจนใจ “เจ้าไม่จำเป็นต้องทดสอบคนแก่อย่างข้า แค่ดูจากฝีมือเจ้าเมื่อครู่ เราสองคนผู้ใดจะฆ่าผู้ใดปิดปากก็ยังไม่รู้เลย”
เยี่ยหลียกถ้วยชาขึ้นพร้อมยิ้มตาหยี เมื่อนางหัวเราะออกมายิ่งทำให้ดูใจดีมีคุณธรรม “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน ถือเป็นอาจารย์ชั่วชีวิต ตัวศิษย์จะไม่มีทางทำเรื่องไม่ถูกไม่ควรเช่นนั้นแน่นอน ท่านอาจารย์ พวกเรามาคิดกันเถิดว่าต่อไปจะทำเช่นไร เห็นแก่ที่พวกเราคิดอยากมีชีวิตกันต่อไป”
ท่านหมอหลินถลึงตาใส่นางอย่างไม่เห็นขันด้วย “เจ้าน่ะสิที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าแก่ปูนนี้ ใช้ชีวิตมาจนพอแล้ว”
เยี่ยหลีอมยิ้ม เติมชาให้เขา “ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ยังใช้ชีวิตกันไม่พอเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงชาวบ้านที่ใสซื่อและจริงใจเหล่านี้ มือชายชราที่จับถ้วยชาอยู่ก็กำแน่นขึ้นทันที สีหน้าดูมีความลังเลและรู้สึกผิด “คนพวกนี้…พวกเขาต่างเป็นคนรุ่นหลังของขุนนางที่จงรักภักดี…เพียงแต่ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงลืมบรรพบุรุษของตนเองไปนานแล้ว อันที่จริงที่เป็นเช่นนี้ก็มิได้มีอันใดไม่ดี การใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เมื่อเทียบกับคนที่ด้านนอกเหล่านั้นแล้ว สบายใจกว่าตั้งเป็นร้อยเท่า? เพียงแต่…หากพวกเขาต้องมาเสียชีวิตด้วยเพราะเรื่องในอดีตเหล่านั้น…ข้าเองก็…” คงทำใจไม่ได้จริงๆ
ระหว่างที่ฟังท่านหมอหลิน เยี่ยหลีก็พยายามนึกถึงเรื่องในอดีตของราชวงศ์ก่อนที่ตนพอจะนึกออก เขตแดนในซีเป่ยส่วนนี้ ต่อให้เป็นในอดีตก็ถือว่าห่างไกลมาก อย่างน้อยเมื่อเทียบกับความรุ่งเรืองของเมืองหลวงและเจียงหนานแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเขตแดนที่ดีเด่อันใด เยี่ยหลีไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ราชวงศ์ก่อน มีเรื่องอันใดที่น่าจะเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้
พักใหญ่ ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในหัว เยี่ยหลีกะพริบตาปริบ พร้อมลองเอ่ยถามว่า “สุสานหลวงแห่งราชวงศ์ก่อน อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของท่านหมอหลิน เยี่ยหลีก็รู้ทันทีว่าตนเดาถูกเข้าเสียแล้ว
สุสานหลวงแห่งราชวงศ์ก่อน!
ในหัวเยี่ยหลีมีเรื่องราวในตำราประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์ก่อนเล่มแล้วเล่มเล่าวิ่งไปวิ่งมาในหัว ราชวงศ์ก่อนมีประวัติศาสตร์กว่าสามร้อยเจ็ดสิบปี มีฮ่องเต้ทั้งหมดยี่สิบเอ็ดพระองค์ ในบรรดาฮ่องเต้เหล่านั้น นอกจากฮ่องเต้องค์สุดท้ายที่ถูกปฐมฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ทำพิธีฝังศพตามตำแหน่งอ๋องแล้ว ที่เหลืออีกสิบเก้าพระองค์ไม่สิ้นพระชนม์ในสนามรบ หรือถูกปล้นสุสาน ก็ล้วนจะเสียหายไปหมด แต่มีสุสานของฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ที่มิมีผู้ใดรู้ว่าอยู่ที่ใด นั่นก็คือสุสานของปฐมฮ่องเต้ที่เป็นผู้ก่อตั้งแคว้นแห่งราชวงศ์ก่อน
เยี่ยหลีนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แซ่ประจำแคว้นแห่งราชวงศ์ก่อนดูเหมือนจะแซ่หลิน
ดูเหมือนท่านหมอหลินจะสังเกตเห็นถึงสายตาของเยี่ยหลี เขาสบตานางพร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “มิต้องคิดให้มากไป ข้ามิใช่สายเลือดของราชวงศ์ก่อน”
“เช่นนั้นคงมิใช่หลินย่วนกระมัง” หากสิ่งที่หลินย่วนตามหาคือสุสานหลวงแห่งฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน เช่นนั้นหากบอกว่าเป็นเขาก็ฟังดูเข้าเค้า
ท่านหมอหลินนิ่งเงียบไม่ตอบ
เยี่ยหลีนึกถามสวรรค์ในใจ เช่นนั้น…นางก็เดาถูกอีกแล้ว?