หลินย่วนต่อให้ได้สมบัติในสุสานหลวงไป ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสังหารคนในหมู่บ้านเพื่อปิดปาก ด้วยเพราะคนเหล่านั้น เดิมทีก็เป็นทายาทรุ่นหลังของขุนนางผู้ภักดีต่อปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อน
ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ตัวหลินย่วนที่มีสายเลือดของราชวงศ์ก่อนกลับไม่รู้ความลับของสุสานหลวง แต่กลับเป็นท่านหมอหลิน ผู้เลี้ยงดูหลินย่วนมาที่เป็นผู้ล่วงรู้ความลับนี้ แน่นอนว่า…หากจะบอกว่าในยามนั้นหลินย่วนอายุยังน้อยก็อาจจะพอฟังขึ้นอยู่บ้าง เพียงแต่…หากท่านหมอหลินไม่มีความหวังอยากให้เขากอบกู้แคว้น ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเผยฐานะให้เขารู้ เพราะยามที่หลินย่วนมาถึงหมู่บ้านนี้ เพิ่งมีอายุได้เพียงขวบปีเดียวเท่านั้น ไม่มีทางจำอันใดได้อยู่แล้ว
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองท่านหมอหลินที่นั่งใจลอยอยู่อีกด้านหนึ่ง นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หลินย่วนผู้นี้…นางมักรู้สึกตะหงิดใจบางอย่าง แล้วยังสมบัติลับของปฐมฮ่องเต้นั่นอีก ดูท่าคงจะมิใช่แก้วแหวนเงินทองหรือสมบัติโบราณเก่าแก่ธรรมดาๆ และดูเหมือนจะมิใช่ตำราพิชัยสงครามลับ ดาบหรือกระบี่อันทรงคุณค่าอันใดที่เป็นสมบัติในตำนานเทือกๆ นั้น เช่นนั้น…เป็นของประเภทใดกันแน่?
เยี่ยหลีก้มลงมองหน้าท้องของตนด้วยความเสียดาย หากมิใช่เพราะกำลังตั้งครรภ์ทำให้ขยับเขยื้อนร่างกายได้ไม่สะดวก นางก็คงไม่นึกรังเกียจที่จะสำรวจสมบัติและความลับของปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนเสียหน่อย
เมื่อพักผ่อนจนพอแล้ว ทั้งสองก็ลุกขึ้นเดินตามเส้นทางที่แสดงอยู่บนแผนที่ต่อไป ไม่ว่าสุสานหลวงแห่งนี้จะมีอันตรายหรือไม่ แต่ภายในสถานที่ที่ปิดมิดชิดเช่นนี้ ก็ทำให้คนที่อยู่ด้านในไม่รู้สึกรื่นรมย์เท่าไรนัก
ระหว่างทาง เยี่ยหลีจดจำเส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านมาไปตามความเคยชิน ด้วยเพราะในชาติที่แล้ว นางเป็นทหารบกหน่วยพิเศษ จึงจำเป็นต้องมีความสามารถเรื่องทิศทางที่เป็นเลิศ อย่างน้อยไม่ว่าจะอยู่ที่ใด นางก็ไม่เคยวิตกว่าตนจะหลงทาง
ทั้งสองเดินต่อไปเงียบๆ เยี่ยหลีหันมองโดยรอบ เมื่อเห็นว่าการตกแต่งดูหรูหราขึ้นเรื่อยๆ ก็อดขมวดคิ้วน้อยๆ ขึ้นมาไม่ได้ นางเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราเดินผิดทางหรือไม่”
ท่านหมอหลินก้มหน้าลงมองเส้นทางบนแผนที่ในมือ แล้วผินหน้ามองนาง “อ้อ? ทำไมหรือ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนพวกเรากำลังเดินมาทางห้องกลางของสุสานหลวง ที่อยู่คนละทิศกับทางออก” ต่อให้ในสุสานหลวงจะไม่มีเส้นทางตรงๆ แต่ก็ไม่มีทางที่จะไปทางตรงกันข้ามกันกระมัง ต่อให้โลกเป็นวงกลม แต่สุสานหลวงแห่งนี้ อย่างไรก็มิได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลกอยู่ดี
ท่านหมอหลินหันมองนางแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ผู้ใดบอกกันว่าทางออกอยู่ที่หงโจว”
เยี่ยหลีนิ่งไป มองท่านหมอหลินเงียบๆ ต่อให้มิได้อยู่ที่หงโจว ก็ไม่มีทางที่อยู่ตรงส่วนกลางของสุสานหรอกกระมัง
เมื่อถูกเยี่ยหลีมองด้วยสายตาเช่นนั้น ท่านหมอหลินก็เริ่มอยู่ไม่สุข เอ่ยว่า ”เอาเถิด ข้าจะไปเอาของสิ่งหนึ่งก่อน แล้วค่อยออกไป หากเจ้าไม่อยากไปด้วย จะรอข้าอยู่ที่นี่ หรือเจ้าจะลองดูแผนที่นี้ คัดลอกไปแล้วออกไปก่อนก็ได้”
เยี่ยหลีลอบถอนใจในใจ หากกล่าวเช่นนี้ อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ว่า ท่านอาจารย์ที่ได้มาโดยบังเอิญท่านนี้มิได้คิดที่จะทำร้ายนาง มิเช่นนั้นแล้ว…ถึงแม้นางจะมั่นใจว่าตนสามารถจัดการเขาได้ แต่ในสถานที่เช่นสุสานหลวงที่มีอายุหลายร้อยปีนี้ จะต้องพบเจอกันอันใดบ้าง ก็ยากจะคาดเดาได้นัก
เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามด้วยความลังเลว่า “หลินย่วน…มีหนทางอื่นที่จะเข้ามาที่นี่ได้อีกใช่หรือไม่”
ดูท่าท่านหมอหลินจะไม่ยินดีให้หลินย่วนได้ของสิ่งนั้นไป ถึงจะได้รีบไปนำของสิ่งนั้นออกมาก่อน
ท่านหมอหลินนิ่งไป แค่เพียงมองจากสีหน้าของเขา เยี่ยหลีก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว ที่แท้…ที่ว่ากันว่าทางออกมีเพียงทางเดียว ก็เชื่อถือไม่ได้มาตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับที่ว่ากันว่าในอดีต คนงานที่ก่อสร้างสุสานหลวง มักสร้างทางลับไว้ให้ตนเอง เผื่อราชวงศ์ต้องการฆ่าตนเพื่อปิดปาก
เยี่ยหลียักไหล่ พร้อมอมยิ้มบางๆ “ข้าไปกับท่านอาจารย์จะดีกว่า เผื่อเกิดหลงทางแล้วออกไปไม่ได้ จะทำเช่นไร”
“เจ้าคิดดีแล้วนะ เท่าที่ข้ารู้สุสานหลวงแห่งนี้ไม่ถือว่าอันตรายนัก เจ้าจะไปรอข้าที่ทางออกก็ได้ หรือหากสองวันแล้วข้ายังไปไม่ถึง เจ้าเปิดประดูค่ายกลออกไปเองเลยก็ได้เช่นกัน”
เยี่ยหลีหันมองโดยรอบ เอ่ยว่า “เดิมทีที่นี่อันตรายหรือไม่ข้าไม่รู้ เพียงแต่ยามนี้คงไม่แน่เสียแล้ว ข้าเป็นเพียงสตรี เดินคนเดียวอยู่ในสุสานเช่นนี้อย่างไรก็ยังนึกกลัวอยู่บ้าง ติดตามท่านอาจารย์ไปฝึกใจให้กล้าสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
ท่านหมอหลินจ้องนางอยู่นาน ถอนใจเบาๆ ก่อนหมุนตัวเดินหน้าต่อไป “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กสาวอย่างเจ้าถึงจะต้องมาติดตามข้า หากเจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วยก็อย่ามาว่าคนแก่อย่างข้าก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีอมยิ้มเดินตามขึ้นหน้าไปสองก้าว ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “ก็เพราะท่านเป็นอาจารย์ของข้าอย่างไร ข้ารู้ว่าท่านอาจารย์เป็นคนดี”
ท่านหมอหลินส่งเสียงหึเบาๆ “ข้าหาใช่คนดีไม่ เจ้าเองก็อย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อหน้าข้าเลย คนแก่อย่างข้าในชีวิตพบเจอคนมาไม่น้อย คนที่ข้ามองตื้นลึกหนาบางไม่ออกมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
เยี่ยหลีแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขากำลังพูดแดกดันนาง นางกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์กำลังชมข้าหรือ”
ศิษย์และอาจารย์เดินๆ หยุดๆ เพราะต้องคอยตรวจสภาพร่างกายของเยี่ยหลี อีกทั้งอายุของท่านหมอหลินก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว จึงเดินกันได้ไม่เร็วนัก
เมื่ออยู่ภายในสุสานหลวงไม่รู้วันรู้คืน เยี่ยหลีจึงทำได้เพียงกะเวลาคร่าวๆ เท่านั้น ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในสุสานหลวง ก็เดินๆ หยุดๆ กันมาสามสี่ชั่วยามแล้ว แล้วยังนั่งพักอยู่ในห้องศิลาอีกหลายชั่วยาม เท่ากับว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งวันแล้ว แต่ทั้งสองกลับเพิ่งเดินถึงสุสานหลวงส่วนในเท่านั้น
เมื่อมาหยุดยืนดูตรงหน้าประตูวังอันโอ่โถง ท่านหมอหลินหันกลับมาพูดกับเยี่ยหลีว่า “เข้าไปแล้ว อย่าได้ไปแตะต้องอันใดที่ไม่ควรแตะต้องเข้าล่ะ หากไปถูกค่ายกลเข้า อย่าหากว่าข้าไม่เตือน”
เยี่ยหลีสบตาเขา “เมื่อครู่ท่านอาจารย์ยังบอกว่าที่นี่ไม่มีอันตรายอยู่เลยนี่”
ท่านหมอหลินส่งเสียงหึเบาๆ สีหน้าดูมีความภูมิใจขึ้นหลายส่วน “มากับอาจารย์อย่างข้าย่อมไม่อันตราย แต่หากไปกับผู้อื่นก็คงไม่แน่ ก่อนหน้านี้ที่รอบนอกของสุสานหลวง เป็นเพียงการพรางตาเท่านั้น ค่ายกลและหลุมพรางที่อยู่ด้านใน อย่างน้อยก็มีมากกว่าด้านนอกนั่นห้าเท่าได้”
เยี่ยหลีปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผาก “ท่านอาจารย์ ศิษย์รู้สึกเหมือนตกหลุมพรางเข้าเสียแล้ว หากก่อนหน้านี้ข้าไม่ตามท่านเข้ามาที่นี่ จะเป็นเช่นไร”
ท่านหมอหลินมองนาง กระตุกมุมปากโดยไม่เห็นขันเลยแม้แต่น้อย “ค่ายกลที่ทางออกมีไม่น้อยไปกว่าที่นี่ อีกอย่าง วิธีการถอดสลักค่ายกลก็อยู่ที่เดียวกับทรัพย์สมบัติ”
“รู้ดีเสียจริง” เยี่ยหลีเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ
ภายในสุสานหลวงนั้นเงียบสงัด เสียงของเยี่ยหลี ท่านหมอหลินย่อมได้ยินอย่างชัดเจน จึงเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างได้ใจว่า “สุสานแห่งนี้ บรรพบุรุษของข้าเป็นผู้วางแบบและก่อสร้างขึ้น เจ้าคิดว่าในใต้หล้านี้จะยังมีผู้ใดรู้จักที่นี่ดีไปกว่าข้าอีกหรือ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว รีบก้าวตามท่านหมอหลินเข้าไปติดๆ
เมื่อเข้าไปด้านใน เยี่ยหลีถึงได้กระจ่างแจ้งแก่ใจว่า สิ่งใดที่เรียกว่าสุสานหลวง ภายในสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นเช่นไร มิมีผู้ใดล่วงรู้ ในชาติที่แล้ว สุสานหลวงที่เยี่ยหลีเคยพบเห็นโดยมากมักถูกโจรปล้นสุสานปล้นไปจนหมด หรือไม่ก็ถูกเปิดจนเหลือเพียงซากทางประวัติศาสตร์เท่านั้น
เยี่ยหลีจำได้ว่า ในประวัติศาสตร์เคยมีการบันทึกเกี่ยวกับสุสานหลวงของจิ๋นซีฮ่องเต้ไว้ว่า “ลึกลงไปสามชั้น ล้อมรอบด้วยทองแดงแล้วจึงค่อยวางโลงศพ พร้อมขุนนางนับร้อยรายรอบพระราชวังใต้ดิน ทรัพย์สมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาล ปรอทแทนแม่น้ำและทะเลขนาดใหญ่ มีกลไกคอยหมุนวนไม่ให้หยุดนิ่ง บนเพดาน จำลองแผนภูมิดาราศาสตร์ ด้านล่างจำลองทิวทัศน์แม่น้ำและภูเขา เทียนไขปลาวาฬที่ยากจะดับมอด คอยให้ความสว่างไสว”
นางไม่รู้ว่าสุสานหลวงแห่งนี้ เทียบกับความยิ่งใหญ่อลังการณ์ของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้หรือไม่ แต่ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตายามนี้ อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่า เขาร่ำรวยกว่าจิ๋นซีฮ่องเต้อยู่มากทีเดียว
พื้นและกำแพงทำจากหินอ่อนที่มีการแกะสลักอย่างประณีตงดงาม แม่น้ำปรอทแยกเป็นสาย และมีการประดับตกแต่งเป็นรูปหมู่ดาวภายในห้องสุสานที่ใหญ่โตโอ่อ่า เมื่อเงยหน้าขึ้นไปบนเพดาน พร่างพราวไปด้วยหมู่ดาว ซึ่งดวงดาวเหล่านั้น ใช้อัญมณีสารพัดชนิดสรรค์สร้างขึ้นเป็นแผนผังดวงดาว เครื่องใช้ที่ร่วมฝังอยู่ ณ ที่นี้ ก็มิใช้เครื่องใช้ที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ แต่เป็นเครื่องทอง เครื่องหยก และอัญมณีที่ทำขึ้นอย่างประณีตงดงาม มีแท่นไฟบูชาวางอยู่โดยรอบ เมื่อสะท้อนเข้ากับเครื่องทอง ไข่มุกราตรีและสมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนที่วางอยู่ในห้องแล้ว ก็ทำให้ภายในห้องสุสานสว่างไสวประหนึ่งอยู่ในยามกลางวัน