เมื่อได้เห็นสีทองอร่ามและความโอ่อ่าหรูหราของสุสานตรงหน้า ก็ประหนึ่งได้เห็นพระราชวังขนาดย่อม เยี่ยหลีอดนึกถึงประโยคสั้นๆ ที่บันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์นั้นอีกไม่ได้…สุสานหลวงในสมัยโบราณไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ล้วนเป็นเช่นนี้อย่างนั่นหรือ
“ใกล้ๆ สุสานหลวงคงมิได้มีรูปปั้นทหารม้าดินเผาด้วยกระมัง” เยี่ยหลีเอ่ยงึมงำเสียงเบา ระหว่างเดินตามท่านหมอหลินไปด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้ของตรงหน้าทุกชิ้นจะให้สมบัติล้ำค่าหายาก แต่นางก็ไม่คิดที่จะแตะต้องพวกมันเลยแม้แต่น้อย
ท่านหมอหลินหันกลับมามองนาง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีรูปปั้นทหารม้าดินเผา”
เยี่ยหลีอึ้งไป “มีจริงๆ หรือ” ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนผู้นี้ คงมิใช่จิ๋นซีฮ่องเต้กลับชาติมาเกิดหรอกกระมัง
เยี่ยหลีส่ายหน้า ไล่ความคิดเรื่อยเปื่อยในหัวของตนออกไป จิ๋นซีฮ่องเต้กวาดล้างและรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว ส่วนปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนถึงแม้จะมีวิทยายุทธเก่งกาจอย่างหาตัวจับยาก แต่ก็ยังถือว่าห่างชั้นกันอยู่เล็กน้อย
ท่านหมอหลินมองประเมินนางรอบหนึ่ง ก่อนหันไปเดินหน้าต่อไป พลางเอ่ยว่า “ตามที่บันทึกอยู่ในบันทึกของบรรพบุรุษนั้น มีอยู่จริง เพียงแต่ในยามนั้นเพิ่งสร้างแผ่นดินได้ไม่เท่าไร จึงยังไม่สามารถใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลเช่นนั้นในการสร้างสุสานหลวงได้ ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ว สุสานในความคิดขององค์ปฐมฮ่องเต้ จึงถูกตัดออกไปสองในสามส่วน รูปปั้นทหารม้าดินเผาจึงเหลืออยู่เพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น และมีกล่าวถึงอยู่เพียงในบันทึกลับของปฐมฮ่องเต้เท่านั้นด้วย”
เยี่ยหลีสูดหายใจเข้าด้วยความประหลาดใจ สุสานขนาดนี้ยังเป็นเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น หากเขาสร้างขึ้นตามขนาดที่คิดไว้จริง ไม่แน่ว่าราชวงศ์ก่อนคงได้ล่มสลายเร็วขึ้นสักร้อยสองร้อยปีเป็นแน่
“อันที่จริงเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลว ลูกหลานรุ่นต่อๆ มาหากเกิดตกอับขึ้นมา มาเปิดสุสานหลวงก็คงพอใช้อยู่มากทีเดียว” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆ
เสียงหึเย็นๆ ของท่านหมอหลินดังลอยมาจากด้านหน้า “ต่อให้เป็นลูกหลานที่ไม่กตัญญูเพียงใด ก็ไม่มีทางมาเปิดสุสานของบรรพบุรุษหรอก”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ “แก้วแหวนเงินทองจำนวนมากเช่นนี้นำมาฝังไว้ที่นี่ไปเพื่ออันใดกัน” เรื่องเหตุผลนางย่อมรู้ดี แต่เป็นได้ว่าคนที่ไม่เคยขึ้นเป็นฮ่องเต้มาก่อน คงไม่มีวันเข้าใจความหมายของการสร้างสุสานหลวง มีเงินมากเช่นนี้ สู้เก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ใช้ยามจำเป็นไม่ดีกว่าหรือ
ตลอดทางไม่มีใครพูดอันใดกันอีก ถึงแม้จะมีท่านหมอหลินค่อยนำทาง แต่ทั้งสองก็ยังเดินหลบหลีกอ้อมค่ายกลไปหลายอันด้วยความระมัดระวัง กว่าจะเดินทางมาถึงตำหนักที่ตั้งอยู่ใจกลางของสุสาน
เยี่ยหลีเข้าใจทันทีว่า ที่นั่นคือที่ที่วางหลุมศพของท่านเจ้าของสุสานเอาไว้ สิ่งก่อสร้างหลังนี้สร้างขึ้นจากหยกขาวที่แกะสลักขึ้นทั้งหมด ตั้งอยู่กึ่งกลางของสุสาน ถึงแม้จะมองจากที่ไกลๆ ก็ยังสามารถมองเห็นตำหนักสีขาวสะอาดประหนึ่งหิมะแห่งนี้
เมื่อเข้ามามองใกล้ๆ ก็จะเห็นกรอบหน้าต่างที่ได้รับการแกะสลักอย่างประณีตบรรจง บนส่วนชายคามีมังกรนั่งอยู่ ใต้ชายคามีดอกไม้และต้นไม้ที่แกะสลักจากหยกปานประหนึ่งของจริงห้อยประดับไว้ ส่วนบันใดแกะสลักเป็นลวดลายหงส์และมังกรที่ดุดันและวิจิตรงดงาม และที่สำคัญที่สุดคือ มีมังกรสีขาวขนาดมหึมาที่ทอดตัวรายล้อมตำหนักสีขาวแห่งนี้อยู่ ส่วนหัวมังกรวางอยู่เหนือหลังคาตำหนัก โดยนำไข่มุกราตรียักษ์มาประดับเป็นลูกนัยน์ตา และกำลังจับจ้องแขกผู้มาเยือนด้วยสายตาดุดัน
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้มาเห็นสิ่งที่เรียกได้ว่าหรูหรา โอ่อ่า และยิ่งใหญ่อยู่รวมกันเช่นนี้ เยี่ยหลีก็อดกระตุกมุมปากขึ้นไม่ได้ ในใจก็เกิดความรู้สึกประหลาดอย่างยิ่งขึ้น แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าตื่นเต้นชื่นชมและหวนนึกถึงเรื่องเก่าๆ ของท่านหมอหลินแล้ว เยี่ยหลีก็ตัดสินใจว่าจะไม่พูดอันใดให้มากจะดีกว่า
“ท่านอาจารย์ จะเข้าไปหรือไม่” เมื่อเห็นท่านหมอหลินกำลังเหม่อมองอย่างใจลอย เยี่ยหลีก็อดถามขึ้นไม่ได้
ท่านหมอหลินตั้งสติกลับมาได้ ก็รีบเก็บสีหน้ากลับมาด้วยความเสียดาย ก่อนหันมองอาคารสีขาวสะอาดตรงหน้าอีกครั้ง แล้วพยักหน้า
ทั้งสองยืนนิ่งอยู่หน้าประตูตำหนัก ประตูปิดสนิทมิดชิด โดยไม่มีทั้งกุญแจหรือสิ่งอื่นๆ คอยขวางกั้น มีเพียงก้อนหยกที่แกะสลักเป็นรูปตัวอักษร และมีมังกรขดพันอยู่โดยรอบ
ทั้งสองสังเกตโดยละเอียด มีเพียงตัวอักษรกลุ่มหนึ่งที่วางเรียงกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ กละตัวอักษรเหล่านี้สามารถเคลื่อนย้ายได้ เห็นได้ชัดว่า ต้องการให้คนมาจัดเรียงใหม่
เยี่ยหลีเลิกคิ้วเรียวขึ้น มองตัวอักษรเหล่านั้น… ล้าง ดิน แผ่น ปก หล้า กวาด ครอง ใต้ ปริศนาตัวอักษรง่ายๆ เพียงแปดตัว เมื่อนำมาเรียงกันแล้ว ก็น่าจะเป็น กวาดล้างแผ่นดิน ปกครองใต้หล้า
นางมองท่านหมอหลินก้าวเข้าไปขยับตัวอักษรบนประตู คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ด้วยเกิดความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง แต่เมื่อลองสังเกตอยู่นาน ก็ยังไม่เห็นว่ามีอันใดผิดปกติ เยี่ยหลีจึงทำได้เพียงยืนมองท่านหมอหลินด้วยความระมัดระวังเท่านั้น
ในชั่วพริบตานั้นเอง เยี่ยหลีประหนึ่งมองเห็นว่า ตัวอักษรตัวหนึ่งดูมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ เกิดขึ้น เยี่ยหลีพยายามกะพริบตา เพื่อให้แน่ใจว่าตนตาฝาดหรือมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจริง นางเพ่งมองไปที่ตัวอักษรตัวนั้น ในที่สุดก็พบว่า ด้านล่างของตัวอักษรดูบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย และเมื่อยิ่งมองให้ดี ก็จะพบว่ามีอันใดบางอย่างกำลังค่อยๆ ถูกกัดกร่อนไป เยี่ยหลีใจหายวาบ เกิดความคิดหนึ่งพุ่งขึ้นมาในหัว นางไม่ทันได้คิดอันใดมาก รีบยื่นมือไปดึงท่านหมอหลินที่กำลังก้มหน้าก้มตาสลับตัวอักษรเหล่านั้นออกมาทันที
“เอ้ย…” ท่านหมอหลินอุทานด้วยความตกใจ ไม่ต้องให้เยี่ยหลีดึง ตัวเขาเองก็ถอยหลังออกมาหลายก้าวติดๆ กัน มองนิ้วมือของตนด้วยความตื่นตระหนก บนนิ้วมือสองนิ้วของเขามีบางสิ่งหน้าตาประหลาดสีดำติดอยู่ และดูมีการขยับตัวอย่างช้าๆ และนิ้วมือของเขาเองก็กำลังถูดกัดกร่อนไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าท่านหมอหลินเปลี่ยนไปทันที เยี่ยหลีไม่ทันได้คิดอันใดให้ละเอียด นางรีบจับมือท่านหมอหลินมา วาดกริชอันคมกริบในมือลงสองครั้ง หนังบนนิ้วมือและเนื้อส่วนที่โดนกัดของท่านหมอหลิน ก็ถูกตัดลงไปตกที่พื้น แล้วทั้งสองก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เนื้อส่วนที่โดนกัดเมื่อตกลงถึงพื้นแล้ว ก็ยังกัดพื้นที่ทำจากหยกต่อไปไม่หยุดอีกด้วย
ทั้งสองหันมองไปทางประตูใหญ่พร้อมๆ กัน บนประตูใหญ่ค่อยๆ มีเงาดำเล็กๆ จำนวนมากกว่าเดิมกำลังขยับเขยื้อนอยู่บนประตู ดูพวกมันต้องการกระจายออกจากตัวมันเอง
เยี่ยหลีดึงท่านหมอหลินให้ถอยหลังเร็วๆ ออกมาอีกสองก้าว “ท่านอาจารย์ เรื่องใหญ่แล้ว รีบไปกันเถิด”
ท่านหมอหลินมองมือขวาของตนที่ยังคงมีเลือดไหล สีหน้าดูย่ำแย่อย่างหนัก “ในบันทึกลับที่สืบทอดกันมาของบรรพบุรุษไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ไว้เลย”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ก็เห็นๆ อยู่ บรรพบุรุรษท่านนั้นของราชวงศ์ก่อน เล่นพวกท่านเสียแล้ว”
“นั่นคืออันใดกัน” ทั้งสองรีบลงจากบันไดตำหนักเพื่อออกไปด้านนอก แต่เห็นได้ชัดว่า ท่านเจ้าของสุสานไม่คิดจะปล่อยผู้ที่บุกรุกสุสานของเขาออกไปง่ายๆ เช่นนั้น
สะพานที่เดิมมีไว้ให้คนข้ามแม่น้ำปรอท กลับจมลงไปอย่างรวดเร็ว เยี่ยหลีได้ยินแม้กระทั่งเสียงดังครึกครักมาจากหลายที่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงเริ่มทำงานของกลไกบางอย่าง อย่าว่าแต่ที่ยามนี้พวกเขาไม่มีผู้ใดสามารถข้ามแม่น้ำปรอทไปได้เลย ต่อให้ข้ามไปได้ ค่ายกลและอาวุธลับที่ตามมา เกรงว่าก็คงรับมือได้ไม่ง่ายนัก ผู้ที่ออกแบบห้องสุสานแห่งนี้ ไม่มีทางคิดไม่ถึงว่า มีความเป็นไปได้ที่คนที่บุกรุกเข้ามาในสุสานจะเป็นคนที่มีวิทยายุทธขั้นสูง
ทั้งสองหันมองกลับไปทางปากประตู บางอย่างสีดำนั้นเริ่มขยายใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อครู่ จนมองไม่เห็นตัวอักษรทางด้านบนอีกแล้ว และบางส่วนเริ่มแยกตัวออกจากก้อนเดิม ดูประหนึ่งเป็นแมลงตัวเล็กๆ ที่บินออกมาด้านนอก
ทั้งคู่ต่างประจักษ์ถึงความร้ายกาจของแมลงตัวเล็กๆ เหล่านั้นแล้ว ท่านหมอหลินเพียงไปสัมผัสโดนเข้าเล็กน้อย นิ้วมือทั้งสองก็ถูกกัดกร่อนลงทันที แล้วยังหยกขาวที่พื้นที่ถูกกัดจนมีรูขนาดเท่าจอกเหล้านั่นอีก หากปล่อยให้พวกมันมาถูกตัวเข้า ทั้งสองไม่เพียงแต่จะเอาชีวิตไม่รอดเท่านั้น แต่ยังคงได้ตายอย่างน่าสมเพชอีกด้วย
“นั่นคืออันใดกัน…” ท่านหมอหลินขมวดคิ้ว ถึงแม้ตระกูลของพวเขาจะมิได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับสุสานมานานแล้ว แต่บันทึกในเรื่องนี้ของตระกูลก็มีอยู่ไม่น้อย แต่เขาสามารถยืนยันได้ว่า ไม่เคยเห็นเอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้มาก่อน
เยี่ยหลีดึงท่านหมอหลินถอยไปหาที่หลบ พลางจับจ้องไปทางกลุ่มเงาสีดำกลุ่มนั้น “หนาวเป็นแมลงร้อนเป็นต้นหญ้า ท่านอาจารย์รู้จักหรือไม่”
ท่านหมอหลินไม่เข้าใจ “หนาวเป็นแมลง ร้อนเป็นต้นหญ้า สิ่งนี้เกี่ยวกันใดกับหนาวเป็นแมลงร้อนเป็นต้นหญ้าหรือ”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “หน้าหนาวเป็นแมลง หน้าร้อนเป็นต้นหญ้า สิ่งนี้ก็เช่นกัน ยามอุ่นเป็นแมลง ยามเย็นประหนึ่งหยก เมื่อครู่ที่ท่านอาจารย์จับตัวอักษรขยับนั้น ความอบอุ่นจากนิ้วมือทำให้เจ้าเล็กๆ พวกนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ท่านอาจารย์มีวิธีจัดการหรือไม่”
ท่านหมอหลินเอ่ยอย่างจนใจว่า “ข้าไม่แม้แต่จะเคยเห็นเจ้าของประหลาดเหล่านี้ จะมีวิธีจัดการอันใดได้”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็คงเรื่องใหญ่แล้ว หากเจ้าเล็กๆ พวกนี้บินไปทั่วล่ะก็ ไม่เพียงพวกเราที่จะซวย แต่ทรัพย์สมบัติทั้งสุสานคงได้สูญสิ้นไปด้วยเป็นแน่”
“ยามนี้เจ้ายังมีแก่ใจมาคิดเรื่องพวกนี้อีกหรือ” ท่านหมอหลินมองค้อนนางทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่เห็นขันด้วย
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะบางๆ ว่า “ข้าไม่คิด ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่คิดนี่”
ท่านหมอหลินอึ้งไป “คนอื่นอันใดกัน” พูดจบไม่ทันไร ก็มีเงาดำร่างหนึ่งพุ่งเข้ามา จากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียงสวบๆ แหวกอากาศ พร้อมลูกธนูอันแหลมคมที่พุ่งตัวเข้าใส่เงาดำร่างนั้น
ชายในชุดดำตีลังกากลางอากาศหลบลูกธนูไปได้อย่างหวุดหวิด แต่แล้วด้านบนเพดานก็มีแผ่นไม้พร้อมเหล็กแหลมขนาดใหญ่ หล่นลงมาทันที ชายในชุดดำที่อยู่กลางอากาศ ตัวยังไม่ทันตกถึงพื้น ก็จำต้องตีลังกาหลบหลีกไม้กระดานนั้นอีกครั้ง ก่อนเกิดเสียงฉีกขาดดังขึ้น คงมีเหล็กแหลมบางส่วนที่ไปเกี่ยวโดนเสื้อผ้าเข้า แล้วจึงค่อยเห็นชายชุดดำกระโดดลงมาในฝั่งที่พวกนางอยู่ด้วยสภาพทุลักทุเล ตัวเขาโงนเงนไปมาเล็กน้อยก่อนจะยืนได้มั่นคง
เยี่ยหลีออกอาวุธรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า กริชในมือสะท้อนเป็นประกายเย็นเยียบ ชายในชุดดำเพิ่งยืนได้มั่น คมมีดที่เย็นเฉียบก็จ่อเข้ามาที่หลังเสียแล้ว “อย่าขยับ หากข้าลงน้ำหนักมือไป ถึงแม้ไม่แน่ว่าจะเอาชีวิตเจ้าได้ แต่ก็เกรงว่าเจ้าคงได้นอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต”
ชายในชุดดำผินหน้ามามองเล็กน้อย “ชายาติ้งอ๋อง? ที่แท้ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่?”
เยี่ยหลีคลี่ยิ้ม “ที่แท้ก็คนรู้จักกันหรือนี่? เพียงแต่…ในบรรดาคนที่ข้ารู้จัก ดูเหมือนจะไม่มีท่านอยู่ในนั้นนะ?”
ชายหนุ่มยกมือขึ้น ก่อนโยนอาวุธในมือลงกับพื้น “พระชายา ท่านไม่ต้องตื่นตกใจไป ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก และจะไม่มีทางฆ่าท่านเป็นแน่ อย่างน้อย…ก็ไม่มีทางให้ท่านตายอยู่ที่นี่”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม “ช่างน่าซาบซึ้งใจเสียจริง เพียงแต่ก่อนอื่น ท่านบอกกล่าวที่มาของท่านเสียหน่อยก็แล้วกัน มิเช่นนั้น…ข้าคงไม่รับประกันว่าท่านจะไม่ตายอยู่ที่นี่”
ระหว่างที่พูด มือหนึ่งเยี่ยหลีกระชับกริชในมือ ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับตัวชายหนุ่มให้หันไปอีกทาง ให้เขาหันหน้าไปทางท่านหมอหลิน แล้วเอ่ยถามกลั้วหัวเราะว่า “ท่านอาจารย์ รู้จักหรือไม่”
ท่านหมอหลินมองชายในชุดดำตรงหน้าด้วยสายตาหลากหลาย พักใหญ่ถึงได้ถอนหายใจออกมา “ในที่สุดเจ้าก็มาจนได้”
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเห็นเป็นสิ่งที่ถูกต้องว่า “ข้าเพียงมาเอาของที่เป็นของข้าอยู่แล้วเท่านั้น มีอันใดไม่ถูกต้องหรือ”
เยี่ยหลีหันหน้าไปมองทั้งสองคน เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าชักยิ่งสงสัยแล้วสิว่าท่านคือผู้ใดกันแน่”
ชายหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เหตุใดพระชายาถึงไม่ก้าวมาดูด้วยตาตนเองเล่า?”