“เหตุใดพระชายาถึงไม่ก้าวมาดูด้วยตนเองเล่า”
ภายในห้องสุสานเงียบสงัด เยี่ยหลีมองข้ามไหล่ชายในชุดดำไปยังท่านหมอหลินที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าแข็งเกร็ง นางนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนลดกริชที่จ่ออยู่หลังชายในชุดดำลง พร้อมถอยออกมาหลายก้าว
เมื่อสบสายตาเข้ากับสายตาประหลาดใจของท่านหมอหลิน เยี่ยหลีก็อมยิ้มเอ่ยว่า “เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น ยามนี้พวกเราถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากยังมาทะเลาะกันอีก ไม่แน่ว่าพวกเราคงไม่ต้องคิดที่จะออกไปจากที่นี่กันแล้ว”
ชายในชุดดำอึ้งไปเล็กน้อย ก้มหน้าลงหัวเราะเสียงต่ำๆ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ต่างพูดกันว่าชายาติ้งอ๋องฉลาดเกินผู้ใด เดิมทีข้าน้อยไม่นึกเชื่อ แต่ในยามนี้ดูท่าคงจะจริงอย่างที่เขาว่ากัน ไม่แปลกใจที่ติ้งอ๋องยอมทำเพื่อพระชายา…”
เมื่อเอ่ยถึงม่อซิวเหยา เยี่ยหลีก็ใจกระตุกขึ้นทันที นางไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับม่อซิวเหยามานานเกินไปแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องสุขภาพและสภาพโดยรอบที่เขาอยู่ ก็อดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ แต่ในยามนี้ นางไม่สามารถแสดงความรู้สึกภายในจิตใจออกมาต่อหน้าชายหนุ่มที่ไม่รู้ที่มาที่ไปผู้นี้ ทำได้เพียงมองแผ่นหลังของชายในชุดดำที่หันหลังให้นางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ดูท่าข้ากับท่านจะรู้จักกันจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดถึงไม่หันหน้ามาพูดคุยกันเล่า”
ชายในชุดดำก็มิได้พูดอันใดมาก หมุนตัวหันมาเผชิญหน้ากับเยี่ยหลีทันที
เท่าที่เยี่ยหลีเข้าใจ หลินย่วนน่าจะมีอายุอยู่ในช่วงสามสิบต้นๆ แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับดูเหมือนมีอายุเพียงยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น เมื่ออยู่ในชุดสีดำทั้งชุดเช่นนี้ ยิ่งทำให้ดูผอมสูง เช่นเดียวกับใบหน้าที่เรียกได้ว่าหล่อเหลา ก็ทำให้ดูมุ่งร้ายและเย็นเยียบขึ้นกว่าเดิม เพียงแค่มองขา ก็ให้รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อยมองใบหน้าเขา ชายหนุ่มมิได้ว่าอันใด สายตาที่มองเยี่ยหลีหยุดลงบริเวณหน้าท้องที่ไม่เล็กแล้วของนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าน้อยคารวะพระชายาติ้งอ๋อง”
เยี่ยหลีจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยเรียกชื่อเขาเรียบๆ ว่า “ถาน จี้ จือ”
ชายในชุดดำสบตาเยี่ยหลี รอยยิ้มที่เคยมีอยู่จางๆ ดูจะมีความรื่นรมย์ขึ้นหลายส่วน “ไม่คิดเลยว่าพระชายาจะจดจำคนต่ำต้อยเช่นข้าน้อยได้ ข้าน้อยช่างมีบุญวาสนายิ่งนัก ข้าน้อยถานจี้จือ พระชายาจะเรียกข้าว่าหลินย่วนก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ใต้เท้าถาน ดูเหมือนยามนี้จะมิใช่เวลามารำลึกอดีต หากยังไม่รีบคิดหาวิธี…ท่านและข้าคงได้นอนหลับยาวๆ อยู่ที่นี่เป็นแน่”
ที่เยี่ยหลีเอ่ยเหน็บแนมเขาอย่างชัดเจนเช่นนี้ ถานจี้จือก็มิได้ถือสา เพียงเอ่ยด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่งว่า “พระชายากล่าวถูกต้องแล้ว” พูดจบ ก็หันไปมองเงาสีดำหน้าประตูที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้แต่นึกยินดีว่า สิ่งนั้นดูเหมือนจะชอบอยู่กันเป็นกลุ่มมากกว่าบินว่อนไปทั่ว มิเช่นนั้น พวกเขาคงยิ่งลำบากหนักกว่านี้
ถานจี้จือหันกลับมาถามเยี่ยหลีว่า “ในเมื่อพระชายาพอรู้จักสิ่งเหล่านี้อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าพอมีวิธีจัดการหรือไม่”
เยี่ยหลีรู้ดีว่ายามนี้มิใช่เวลาที่จะมาต่อปากต่อคำ จึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ของพวกนี้เมื่อโดนความร้อนจะกลายเป็นแมลง เมื่อเจอความเย็นจะกลายเป็นหยก ใต้เท้าถานคงมิต้องให้ข้าพูดมากกว่านี้กระมัง”
ถานจี้จือเอามือลูบคาง เอ่ยเสียงขรึมว่า “เย็นหรือ…เข้าใจแล้ว พระชายาโปรดรอสักครู่”
พูดจบ ถานจี้จือก็กระโดดกลับไปอีกฟากหนึ่งอีกครั้ง ดูว่าคิดอยากกลับไปหาอันใดบางอย่าง และเช่นเดียวกับคราแรก สิ่งที่ตามมาติดๆ นั้น คืออาวุธลับและลูกธนูคมกริบที่พุ่งเข้าใส่เขาไม่หยุด โชคดีที่ถานจี้จือดูจะรู้จักห้องสุสานแห่งนี้ดีอยู่พอสมควร ถึงแม้จะดูทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บ เขากระโดดขึ้นลงอยู่สองสามรอบ ก่อนหายไปในวังและกองอัญมณี
เยี่ยหลีดึงท่านหมอหลินในถอยไกลออกไปอีก ท่านหมอหลินดึงนางไว้ ก่อนก้าวขึ้นหน้ามานำทาง
ภายในห้องสุสานมิได้ปลอดภัยเช่นยามเดินอยู่ในทางเดินสุสานก่อนหน้านี้ มีค่ายกลและหลุมพรางหลายอันที่หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงมองไม่ออก
จนเมื่อไม่มีทางให้ถอยแล้ว ท่านหมอหลินถึงได้หยุดยืนแล้วหันมาเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “เจ้าคือชายาติ้งอ๋องรุ่นนี้หรือ”
เยี่ยหลียิ้มอย่างขอลุแก่โทษ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าปิดบังเรื่องนี้กับท่านอาจารย์ ขอได้โปรดอย่าถือโทษข้าเลยนะเจ้าคะ ข้าแซ่เยี่ย ชื่อคำเดียวว่าหลี”
ท่านหมอหลินส่งเสียงหึเบาๆ “เจ้าชื่อแซ่อันใดไม่เกี่ยวกับข้า เจ้ารู้จักหลินย่วนได้อย่างไร”
คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย “ข้ากับใต้เท้าถานเคยพบหน้ากันหนึ่งครั้ง เขาเป็นผู้เดินหนังสือในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ต้าฉู่ เป็นคนที่เขาเชื่อใจอย่างแท้จริง จะว่าไป…ที่ศิษย์ได้มาอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับใต้เท้าถาน”
ท่านหมอหลินขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงขรึมว่า “ฮ่องเต้ต้าฉู่กับตำหนักติ้งอ๋องผิดใจกันแล้วหรือ”
เยี่ยหลียักไหล่ไม่ตอบ ต่อให้มิได้ผิดใจกันอย่างเปิดเผย แต่ก็คงไม่ต่างกันมากนัก เพียงแค่ไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะถานจี้จือลงแรงไปกี่ส่วน
ในราชสำนักมีขุนนางสายบุ๋นสายบู๊ ท่านอ๋อง ท่านโหว แม่ทัพอยู่ตั้งเท่าไร แต่คนผู้นี้กลับทำให้ขุนนางเหล่านั้นถูกเมินเฉยเสียได้ ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักไม่ขาดนักรบยอดฝีมือ แต่ดูทุกคนจะมองคนผู้นี้ว่าเป็นหนอนหนังสือที่อ่อนแอ แม้แต่คนขี้ระแวงอย่างม่อจิ่งฉีก็ยังไม่นึกระแวงสงสัยเขาเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ คงมีฝีไม้ลายมือร้ายกาจไม่น้อยทีเดียว
ท่านหมอหลินมองเยี่ยหลี เอ่ยถามด้วยความแปลกใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดข้าถึงไม่เห็นท่าทีกังวลใจในความปลอดภัยของตัวเจ้าเองเลยเล่า”
เยี่ยหลีปิดปากยิ้มเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ขออภัยที่ศิษย์จะกล่าวคำพูดที่ฟังดูไม่เคารพท่าน ในสุสานโบราณแห่งนี้…ต่อให้ใต้เท้าถานทอดทิ้งผู้อาวุโสอย่างท่าน แต่ก็ไม่มีทางทอดทิ้งข้า ขอแค่มีความหวังเพียงเล็กน้อย เขาต้องคิดอยากให้ข้ามีชีวิตกลับออกไปอย่างแน่นอน”
คุณค่าของชายาติ้งอ๋องตัวเป็นๆ กับซื่อจื่อในอนาคตนั้น ห่างไกลกับศพเพียงหนึ่งศพอย่างไม่สามารถเทียบกันได้ หากนางกับลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ ถานจี้จือสามารถใช้พวกนางในการข่มขู่ม่อซิวเหยาและกองทัพตระกูลม่อได้ หรืออาจถึงขั้นใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับม่อซิวเหยาได้ แต่หากเป็นเพียงศพศพหนึ่ง ไม่แน่ว่าถานจี้จือจะกล้าส่งกลับไปหาม่อซิวเหยา เพราะนั่นคงทำให้ความอดกลั้นของม่อซิวเหยาถึงขีดสุด
ท่านหมอหลินก้มหน้าลง เห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยหลี เขาเลี้ยงดูหลินย่วนมาเกือบยี่สิบปี ย่อมเข้าใจความคิดของเขา ในสายตาของหลินย่วน ตนผู้ที่เลี้ยงดูเขามาอย่างบิดา ไม่แน่ว่าจะเทียบกับชายาติ้งอ๋องที่มีคุณค่าสามารถใช้ประโยชน์จากนางได้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ถานจี้จือก็กลับมา วิชาตัวเบาของเขาไม่เลวเลยทีเดียว อย่างน้อย หลังจากหลบหลีกอาวุธลับและลูกธนูมาหลายสิบระลอก เขาก็ยังคงดูคล่องแคล่วอยู่
เขาเหลือบมองพวกเยี่ยหลีทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงมุมสุดของแม่น้ำปรอท ก่อนเขาจะพุ่งตัวเข้าไปในความมืดมิดกลางอากาศอย่างไม่ลังเล
“เอ๊ะ? นั่นคืออันใดกัน” เยี่ยหลีมองสิ่งนั้นด้วยความตกใจ ผลึกน้ำแข็งสีขาวหนาๆ ชั้นหนึ่ง กำลังโอบล้อมเงามืดนั้นไว้ ถึงแม้พวกมันจะพยายามหลบหนี แต่ถานจี้จือที่ถือน้ำอยู่ในมือ ก็เอาน้ำรดลงบนผลึกน้ำแข็งเหล่านั้นไม่หยุด เพื่อให้ผลึกน้ำแข็งสีขาวเหล่านั้นหนาขึ้นและโอมล้อมเงาดำนั้นไว้ให้มิด
สีหน้าท่านหมอหลินดูไม่ดีนัก เอ่ยเสียงเย็นว่า “ไข่มุกหยกหิมะ”
เยี่ยหลีนิ่งไป เมื่อครั้งนางยังเด็กที่มีสวีซื่อและตระกูลสวีคอยอบรมสั่งสอน นางก็พอมีพื้นฐานเรื่องอัญมณี ของสะสมโบราณอยู่พอสมควร แต่นางไม่เคยได้ยินชื่อไข่มุกหยกหิมะมาก่อน
ท่านหมอหลินเอ่ยเสียงเยาะหยันว่า “อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ไข่มุกรักษาศพ แค่เพียงนำมันไปใส่ไว้ในปากของผู้ตาย ศพของผู้ตายก็จะถูกผลึกน้ำแข็งห่อหุ้มไว้ทันที และไม่เน่าเปื่อยไปเป็นร้อยปี เขาเข้าไปยุ่มย่ามกับสมบัติของบรรดานางสนมที่ฝังอยู่ในนี้”
เยี่ยหลียกมือลูบแก้มด้วยความอึดอัด ยิ้มให้ท่านหมอหลินแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ยามนี้สถานการณ์คับขัน…” สุสานแห่งนี้อย่างน้อยก็มีอายุกว่าห้าร้อยปีแล้ว การนำของออกจากปากศพที่มีอายุกว่าห้าร้อยปี…แม้แต่เยี่ยหลี ก็ยังยิ้มได้เพียงอย่างฝืดเฝื่อนเท่านั้น
แต่หากนั้นเป็นทางเดียวที่จะสามารถแก้สถานการณ์ตรงหน้าได้ เยี่ยหลีคงทำได้เพียงเอ่ยขออภัยต่อเหล่านางสนมที่ถูกนำมาฝังร่วมเหล่านั้น เพราะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า เงาดำๆ กลุ่มนั้นสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นเช่นไร เมื่อเห็นเงาดำๆ เหล่านั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยหลีก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่า สุดท้ายแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ที่พวกมันจะกัดกร่อนสุสานจนไม่เหลือหลอ รวมถึงพวกเขาที่หนีออกไปไม่ได้ด้วย
เมื่อเห็นว่าทางด้านนั้นแก้ปัญหาไปได้เกือบเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองถึงค่อยๆ เดินกลับไป ถานจี้จือมองทั้งสองคนแล้วอมยิ้ม เอ่ยกับท่านหมอหลินว่า “ท่านพ่อ ค่ายกลภายในสุสานทั้งหมดเริ่มทำงานแล้ว หากพวกเราอยากที่จะออกไปอย่างปลอดภัย ก็ต้องไขปริศนาลับและทรัพย์สมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ที่นี่ให้ได้เสียก่อนแล้ว”
ท่านหมอหลินเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย “นายน้อยเอ่ยเรียกข้าว่าท่านพ่อเช่นนี้ ข้าคงมิกล้ารับไว้ ข้าเองก็ไม่รู้อันใดเกี่ยวกับปริศนาและทรัพย์สมบัตินัก ในเมื่อนายน้อยเป็นเจ้าของสุสานหลวงแห่งนี้ หากต้องการทำอันใด ก็เชิญตามสบายท่านก็แล้วกัน”
สีหน้าถานจี้จือนิ่งขรึมลงเล็กน้อย เอ่ยเรียบๆ ว่า “เหตุใดท่านพอจึงต้องเล่นแง่กับข้าด้วย สิ่งที่ข้าทำก็คือสิ่งที่บรรพบุรุษทุกรุ่นคาดหวังไว้มิใช่หรือ ท่านพ่อไม่สนับสนุนข้าก็เอาเถิด แต่เหตุใดถึงต้องคอยขัดขวางข้าอยู่ตลอดด้วย”
สีหน้าท่านหมอหลินบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย หันหนีไปไม่พูดอันใดอีก