ท่านหมอหลินหันมองเยี่ยหลี เอ่ยว่า ที่ยามนี้เจ้าไม่ร้อนใจเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะเจ้ามั่นใจว่าจะสามารถหนีออกไปจาที่นี่ได้ ใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีมองเขาด้วยความเสียดาย “หากเป็นเมื่อก่อน สถานที่เช่นนี้คงกักตัวข้าไว้ไม่ได้จริงๆ แต่ในยามนี้…ท่านอาจารย์ จะให้สตรีตัวคนเดียวที่ตั้งครรภ์อยู่เจ็ดเดือนหลบหนีออกไปจากปากเสือ ศิษย์คงไม่มีความสามารถเช่นนั้น อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเหล่านี้ หากถานจี้จือฉลาดจริงๆ ก็ควรรู้ว่าจะใช้หมากในมือให้ได้ประโยชน์อันใดบ้าง ส่วนม่อซิวเหยา…”
เมื่อคิดถึงม่อซิวเหยา แววตาของเยี่ยหลีก็ดูอ่อนโยนลงมาก “ต่อให้ต้องยอมเสียอันใดบ้าง…ข้าเชื่อว่าเขาคงไม่ถือสา ขอเพียงใต้เท้าถานไม่เอ่ยปากขอในเรื่องที่มากเกินไป คิดสร้างเงื่อนไขที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ใต้เท้าถาน ท่านว่าถูกหรือไม่”
ถานจี้จือเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง แน่นอนว่าย่อมมีซูม่านหลิน ธิดาเทพผู้แสนงดงามแห่งหนานเจียงติดตามมาด้วย
ถานจี้จือมองเยี่ยหลีที่นั่งอย่างสบายใจอยู่บนเก้าอี้ที่มีฟูกอ่อนวางไว่ให้ เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ผู้รู้จังหวะที่เหมาะสมนั้นคือผู้ฉลาด พระชายาทำให้ข้าน้อยต้องมองท่านใหม่เสียแล้ว”
เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มรับคำชมของเขา “ปลาตายแหขาด พ่ายแพ้ต่างฝ่ายต่างเสียหายที่ชาวบ้านสมัยนั้นเขาพูดกัน อีกอย่าง ข้าในยามนี้ แม้แต่จะให้เสียหายทั้งสองฝ่ายยังทำไม่ได้เลย”
ถานจี้จือหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “พระชายาถ่อมตนเกินไปแล้ว ใช่สิ ข้าจะบอกข่าวดีให้พระชายาได้รู้ คงทำให้พระชายารู้สึกยินดีไม่น้อย วันนี้…จู่ๆ ก็มีทหารจากกองทัพตระกูลม่อมาปรากฏตัวขึ้นที่เมืองนี้ พระชายาคิดว่า…นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
สีหน้าเยี่ยหลียังคงสงบนิ่ง เพียงทำประหนึ่งไม่เห็นสายตาเค้นหาความจริงที่ส่งมา นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องนี้ควรถามใต้เท้าถานเสียมากกว่ากระมัง หากใต้เท้าถานนึกสงสัยจริงๆ ว่าข้าทำอันใดไป ข้าก็ทำอันใดไม่ได้มิใช่หรือ ท่านเป็นปังตอ ข้าเป็นเนื้อปลาอยู่แล้วนี่…”
ถานจี้จือส่งเสียงหึเบาๆ “พระชายารู้สถานการณ์ของตนก็ดีแล้ว ทางที่ดีท่าน…อย่าได้เอาซื่อจื่อน้อยมาเสี่ยงจะดีกว่า หากเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น คงมิได้มีเพียงติ้งอ๋อง แม้แต่ข้าน้อยเองก็คงเสียใจไม่น้อย”
เยี่ยหลียกถ้วยชาในมือขึ้นไปทางถานจี้จือ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณใต้เท้าถานมากที่เตือนสติ ในเมื่อใต้เท้าถานเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็จะให้คำแนะนำใต้เท้าถานข้อหนึ่งก็แล้วกัน ทางที่ดีรีบไปจากซีเป่ยเสีย หากดึงดูดความสนใจติ้งอ๋องมาแล้ว กองทัพตระกูลม่ออาจรับมือได้ไม่ยากเท่าไร แต่องครักษ์ลับคงมิใช่คนที่ใต้เท้าถานรับมือได้ง่ายเพียงนั้น และหากยิ่งดึงดูดหน่วยกิเลนมาด้วยแล้ว…ใต้เท้าถาน ข้าไม่อยากพูดจริงๆ ว่า การเดินทางในครานี้ท่านจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์”
หางตาถานจี้จือกระตุกเล็กน้อย หลายปีที่เขาติดตามม่อจิ่งฉี ย่อมเคยประมือกับองครักษ์ลับมาไม่น้อย จะไม่รู้ว่าพวกเขาเก่งกาจเพียงใดได้อย่างไร ส่วนหน่วยกิเลน…ถึงแม้จะไม่เคยประมือกันมาก่อน แต่ครึ่งปีมานี้ หน่วยกิเลนกลับมือชื่อเสียงโด่งดังไปถึงภายนอก ทำให้ถานจี้จือจำต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว
ถานจี้จือหันมองท่านหมอหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าถานจี้จือดูมีแววไม่ยินยอม
ซูม่านหลินเองก็ดูไม่เห็นด้วย ลุกขึ้นเอ่ยว่า “จี้จือ อย่าลืมเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราสิ หากกลับไปเช่นนี้แล้ว…”
แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น สัญลักษณ์แห่งบัญชาสวรรค์ ว่ากันว่าสมัยที่ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนกรำศึกอยู่หลายปี ได้สะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากสถาปนาแคว้นสำเร็จ ก็ได้นำทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปซ่อนไว้ในสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ทั้งยังมีตำราพิชัยลับในตำนานอีกด้วย ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนบัญชาการทหารได้ประหนึ่งเทพ แต่ฮ่องเต้รุ่นต่อๆ มากลับไม่เหลือตำราพิชัยแม้สักบทของเขาให้ได้เห็น ว่ากันว่าตำราเหล่านั้น…องค์ปฐมฮ่องเต้ได้นำไปซ่อนเอาไว้ แค่เพียงรอให้ลูกหลานรุ่นหลังไปหาให้พบเท่านั้น ขอเพียงมีตำราเหล่านี้ จะกังวลไปไยว่าการใหญ่จะไม่สำเร็จ
ถานจี้จือกันฟันกรอด โบกมือแล้วเอ่ยว่า “ใครก็ได้ มาจับตัวท่านหมอหลินออกไป!”
ชายสองคนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู รับคำสั่งและเข้ามาจับตัวท่านหมอหลินเตรียมนำออกไปด้านนอก
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ใต้เท้าถาน หากท่านนำตัวท่านหมอหลินไปแล้ว ข้าจะทำเช่นไร”
ถานจี้จือสบตานาง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ชายาติ้งอ๋องวางใจเถิด ข้าน้อยและหลินเอ๋อร์ต่างก็พอเป็นวิชาแพทย์อยู่บ้าง หากไปจากซีเป่ย ข้าน้อยจะต้องหาหมอที่มีชื่อเสียงมาคอยติดตามดูแลพระชายาอย่างแน่นอน”
“เขาเป็นบิดาท่านนะ!” เยี่ยหลีหันมองสีหน้าเรียบเฉยของท่านหมอหลิน แล้วเอ่ยเสียงขรึมขึ้น
ซูม่านหลินส่งเสียงหึเบาๆ “เขานับเป็นบิดาที่ไหนกัน ก็แค่อาศัยว่าเลี้ยงดูจี้จือมาจนโตก็เท่านั้น จี้จือเป็นทายาทของราชวงศ์ก่อนเชียวนะ เขาก็เป็นแค่บ่าวไพร่ของราชวงศ์เท่านั้นเอง จี้จือเห็นแก่ที่เขาเลี้ยงดูมา จึงให้ความเคารพเขาอยู่หลายส่วน เขาก็เลยถือเอาว่าตนเองเป็นอันใดกับจี้จือจริงๆ อย่างนั้นหรือ พาตัวออกไป!”
เมื่อเห็นท่านหมอหลินถูกนำตัวออกไปแล้ว เยี่ยหลีก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน นางจ้องนิ่งไปที่ถานจี้จือพร้อมเอ่ยเสียงขรึมว่า “แล้วท่านจะเสียใจ”
ถานจี้จือพ่นลมหายใจออกมาอย่างดูแคลน “พระชายาพักผ่อนให้สบายเถิด พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า” พูดจบก็หันไปโอบซูม่าหลินแล้วหมุนตัวเดินออกไป
ซูม่านหลินหันกลับมาส่งสายตาท้าทายให้เยี่ยหลี
เยี่ยหลีเพียงปรายตามองนาง ไม่มีอารมณ์จะมาสนใจสตรีที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนั้น
กลางดึก ด้านนอกเมืองหรู่หยางมีม้าเร็ววิ่งห้อเข้ามาอย่างรวดเร็ว นายทหารที่รักษาการณ์อยู่บนกำแพงเมืองต่างดูระแวดระวังกันขึ้นทันที
คนที่อยู่ด้านนอกกำแพงดูเหมือนจะเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เขาโยนของสิ่งหนึ่งขึ้นบนกำแพง ทหารที่รักษาการณ์อยู่รับมาตรวจสอบดูจนมั่นใจ แล้วจึงโบกมือบอกว่า “เปิดทางเร็วเข้า!”
จากนั้นไม่นาน ประตูเมืองก็เปิดออก คนที่อยู่บนหลังม้ามิได้สนใจอย่างอื่น รีบสะบัดบังเ**ยนในมือ บังคับม้าให้วิ่งเข้าเมืองไปอย่างรวดเร็ว
ภายในเมืองในส่วนที่หน่วยกิเลนปักหลักอยู่ ฉินเฟิงที่นอนหลับอยู่ถูกคนปลุกขึ้นมา สีหน้าดูบูดบึ้งเล็กน้อย เขาก้าวเร็วๆ เข้าไปในห้องหนังสือ ที่มีม่อหวารออยู่ เอ่ยถามว่า “ดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือ”
สีหน้าม่อหวาดูแปลกประหลาด นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงได้หยิบกระดาษที่พับอยู่ออกมาจากหน้าอก ยื่นส่งให้เขา “องครักษ์ลับส่งนี่มา ท่านลองดูเอาเถิด”
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว กระดาษในมือเป็นใบสั่งยาหน้าตาธรรมดาๆ ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นกระดาษที่ใช้หรือลายมือที่เขียนอยู่บนนั้น ล้วนดูไม่มีอันใดผิดปกติ เขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามว่า “ใบยามีอันใดผิดปกติหรือ”
ม่อหยาเอ่ยว่า “นี่ถูกส่งมาจากสายลับของเทียนอี้เก๋อ หลายวันก่อนมีบุรุษสองคนกับสตรีหนึ่งคนเดินทางมาที่เมืองเล็กๆ แห่งนั้น สตรีนางนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่หลายเดือน และทั้งสามได้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โรงเตี๊ยมแห่งนั้นเป็นโรงเตี๊ยมที่เทียนอี้เก๋อกำลังจับตาดูอยู่พอดี วันก่อนคนจากโรงเตี๊ยมออกไปหาซื้อยา ซึ่งก็คือใบยาบำรุงครรภ์แผ่นนี้ แต่ในนั้นมีตัวยาสองตัวที่ใส่จำนวนมากอย่างเห็นได้ชัด ท่านหมอที่จ่ายยาอยู่จึงตรวจสอบใบยานั้นดูด้วยความระมัดระวัง ก็พบว่าในนั้นมีรอยอักษรประหลาดรวมอยู่ แต่พวกเขาไม่สามารถถอดรหัสนั้นได้”
ฉินเฟิงถึงกับใจเต้น หันมองม่อหวาด้วยความตื่นเต้น ส่วนม่อหวานิ่งขรึมไป
ทั้งสองนั่งนิ่งกันอยู่พักใหญ่ ฉินเฟิงหยิบใบยาขึ้นมาดู จับขึ้นส่องกับแสงเทียนแล้วค่อยๆ อ่านทีละตัว บนใบยาที่เดิมสะอาดเรียบร้อย ก็ค่อยๆปรากฏตัวอักษรขึ้นสองแถวลางๆ
ถึงแม้จะเห็นเพียงลางๆ แต่นั่นกลับไม่เป็นอุปสรรคต่อฉินเฟิงที่จะอ่านลายมืออันคุ้นเคยและพิเศษนั้น
เขาเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “เร็ว! รีบไปพบท่านอ๋อง มีข่าวของพระชายาแล้ว!”