ไม่เกี่ยวกับข้า?
ถานจี้จือมอสตรีที่งดงามหยาดเยิ้มปานเซียนบนสวรรค์ชั้นที่เก้าตรงหน้าอย่างเห็นขัน ตั้งแต่คราแรกที่ได้พบหลิ่วกุ้ยเฟย เขาก็รู้สึกว่าสตรีนางนี้น่าสนใจมาก นางไม่มีความทะเยอทะยาน และไม่สนใจความโปรดปรานของฮ่องเต้ นางอยู่ในวังหลังลึกประหนึ่งดอกบัวหิมะที่เติบโตอยู่บนยอดเขาเพียงคนเดียว สายตาเย่อหยิ่งที่เยือกเย็นใช้มองทุกชีวิตในวังหลวง
ในยามนั้นเขาคิดว่านี่เป็นวิธีการหนึ่งเพื่อให้นางได้รับความโปรดปราน เพราะถึงอย่างไรฝ่าบาทก็เคยชินกับการมีสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนมาคอยยั่วยวนพระองค์ สตรีงามที่มีนิสัยเย็นชา จึงดูมีแรงดึงดูดมากเป็นพิเศษ แต่ไม่นานเขาก็ค้นพบว่า นางไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เอาเสียเลยจริงๆ
เมื่อฮ่องเต้เสด็จมา นางก็ต้อนรับอย่างแกนๆ ฮ่องเต้ไม่เสด็จมานางก็ไม่ใสใจ หากนางสามารถรักษาความเป็นนางเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ เขาคงต้องนับถือสตรีนางนี้แล้ว แต่ถึงอย่างไร เขาก็หาจุดอ่อนของนางเจอ… ติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยา
หลิ่วกุ้ยเฟยมีใจรักม่อซิวเหยามากจริงๆ อีกทั้งยังแตกต่างจากความรักด้วยเหตุผลอันซับซ้อนของซูจุ้ยเตี๋ยผู้นั้นอีกด้วย นางรักเพียงม่อซิวเหยาผู้นี้ด้วยใจอันบริสุทธิ์ นางถึงขั้นไม่สนใจว่าม่อซิวเหยาเป็นเพียงคุณชายรองของตำหนักติ้งอ๋อง ท่านติ้งอ๋อง หรือเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา และไม่สนใจว่าม่อซิวเหยาเป็นคนพิการขาทั้งสองข้าง จนต้องนอนป่วยอยู่กับเตียงจากการที่ออกไปกรำศึกอยู่ในสนามรบ แม้แต่ถานจี้จือยังรู้สึกว่าตนซาบซึ้งไปกับหัวใจอันโง่งมของนาง
น่าเสียดาย ในสายตาของม่อซิวเหยาไม่เคยมีนางอยู่ หากหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างซูจุ้ยเตี๋ยที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายกับม่อซิวเหยามาตั้งแต่เด็ก ยังไม่สามารถเปิดใจม่อซิวเหยาได้ เช่นนั้นบุตรีตระกูลหลิ่วที่ม่อซิวเหยาไม่เห็นอยู่ในสายตาจะมีความหวังได้อย่างไร ถึงแม้หลิ่วกุ้ยเฟยจะมิได้มีตรงใดที่ด้อยไปกว่าซูจุ้ยเตี๋ยก็ตาม
เดิมทีหลิ่วกุ้ยเฟยอาจไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ด้วยเพราะนางไม่ได้ม่อซิวเหยา คนอื่นก็ไมได้เขาเช่นกัน นางถึงขั้นหลอกตัวเองว่า ม่อซิวเหยาไม่ได้ไม่รักนาง แต่เพราะเขาไม่สามารถรักนางได้ แต่ในยามนี้ ม่อซิวเหยาอยู่ที่ซีเป่ย และมีใจรักใคร่อย่างลึกซึ้งกับพระชายา อีกไม่นานบุตรของพวกเขาก็จะคลอดออกมาแล้ว เขาไม่เชื่อว่าหลิ่วกุ้ยเฟยจะอดทนไหว
เมื่อเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยไม่มีท่าทีอันใด ถานจี้จือจึงถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ค่อยๆ เอ่ยพร้อมลากเสียงยาวว่า “พระสนมกุ้ยเฟยทำใจอยู่ในวังลึกแห่งนี้ไปได้ตลอดชีวิตหรือ อีกสองเดือนซื่อจื่อของติ้งอ๋องก็จะคลอดแล้ว หึหึ…ติ้งอ๋องจะต้องรักใคร่ชายาติ้งอ๋องอย่างหัวปักหัวปำมากขึ้นอีกแน่ ถึงยามนั้น เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปอยู่ในดวงตาของติ้งอ๋องได้อีกแล้ว ข้าน้อยได้ยินว่า…ติ้งอ๋องได้ให้คำสัญญากับตระกูลสวีไว้ว่า ชีวิตนี้จะขอมีชายาติ้งอ๋องแต่เพียงผู้เดียว…”
หลิ่วกุ้ยเฟยหันขวับกลับมาทันที สายตาคมประหนึ่งลูกธนูในฤดูหนาวมองส่งไปทางบุรุษใต้แสงจันทร์ “ตระกูลสวี? ตระกูลสวีกับซิว…ติ้งอ๋องมีความเกี่ยวข้องกัน?”
“พระสนมคงมิได้เชื่อเรื่องที่ว่า ตระกูลสวีจะไม่ข้องเกี่ยวและช่วยเหลือผู้ใดกระมัง” ถานจี้จือเอ่ยกลั้วหัวเราะ “อย่าลืมเสีย…ตั้งแต่ติ้งอ๋องไปลงหลักปักฐานอยู่ที่หรู่หยาง แม้แต่เหลิ่งเฮ่าอวี่และมู่หยางยังปลอ่ยกลับมาแล้ว แต่กลับยังไม่มีข่าวของคุณชายรองตระกูลสวี สวีชิงเจ๋อมาเลย ในเมื่อม่อซิวเหยายอมปล่อยแม้กระทั่งเหลิ่งเฮ่าอวี่และมู่หยางกลับมา อย่างไรก็คงไม่จับตัวพี่เขยตนเองไว้หรอกกระมัง แน่นอนว่านั่นเพราะตัวสวีชิงเจ๋อเองไม่ยอมกลับมา”
หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร สวีหงเยี่ยนอยู่ที่เมืองหลวง ท่านชิงอวิ๋นและสวีหงอวี่อยู่ที่อวิ๋นโจว ขอเพียงสามท่านนี่ไม่มีท่าทีใดๆ คุณชายทั้งห้าของตระกูลสวีจะอยู่ที่หรู่หยางแล้วจะทำอันใดได้ ฝ่าบาทไม่มีทางผลีผลามทำอันใดตระกูลสวีหรอก”
ถานจี้จือหัวเราะเสียงต่ำ “พระสนมกุ้ยเฟยไม่ลองพูดเรื่องตระกูลสวีเมื่อตอนก่อตั้งแคว้นให้ฮ่องเต้ฟังดูเล่า บางทีฝ่าบาทอาจเข้าใจขึ้นได้ว่า ต่อให้มีสวีหงเยี่ยนและสวีชิงอวิ๋นอยู่ในมือ ก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัย”
หลิ่วกุ้ยเฟยมองเขาด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปพูดกับเขาเองเล่า หลายวันนี้เขาให้คนออกตามหาเจ้าไปทั่ว ยังคิดว่าเจ้าถูกติ้งอ๋องลอบทำร้ายไปแล้วเสียอีก”
ถานจี้จือยักไหล่อย่างทำอันใดไม่ได้ กัดฟันเอ่ยว่า “นังสารเลวซูจุ้ยเตี๋ยนั่นบอกเรื่องฐานะของข้ากับม่อซิวเหยา เมื่อใดก็ตามที่ข้าปรากฎตัวขึ้นในวังอีกครั้ง ก็มั่นใจได้ยากว่าม่อซิวเหยาจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงรับรู้”
หลิ่วกุ้ยเฟยยิ้มเยาะ “ที่แท้คุณชายถานกับซูจุ้ยเตี๋ยก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าเป็นอย่างที่ร่ำลือกันจริงหรือไม่”
ถานจี้จือเอ่ยว่า “แน่นอนว่าย่อมสู้พระสนมกุ้ยเฟยไม่ได้ ยามนี้นังสารเลวซูจุ้ยเตี๋ยไม่รู้ว่าถูกม่อซิวเหยาทรมานไปถึงไหนแล้ว น่าเสียดายเพียงคนของข้าหาโอกาสฆ่านางไม่ได้เลย!”
เมื่อเอ่ยถึงซูจุ้ยเตี๋ย ถานจี้จือก็รู้สึกเคียดแค้นนางขึ้นในใจ ยามเป็นเด็กหนุ่มคึกคะนอง ย่อมเห็นว่าคู่หมั้นของม่อซิวเหยางดงามกว่าสตรีนางอื่นอยู่สามส่วน ยามนี้ดูไปแล้ว หญิงงามเช่นหลิ่วกุ้ยเฟยต่างหากถึงจะเป็นความงามที่แท้จริง หากในโลกนี้มียารักษาอาการเสียใจทีหลัง ยามนั้นเขาไม่มีทางไปยุแหย่นังซูจุ้ยเตี๋ยนั่นอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นใบหน้าเยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็งของหลิ่วกุ้ยเฟย ถานจี้จือจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “พระสนมกุ้ยเฟยลองคิดดูให้ดี หากกำจัดตระกูลสวีไป ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลดีต่อพระสนมกุ้ยเฟยเลยเสียทีเดียวมิใช่หรือ ขอเพียงกำจัดตระกูลสวีไปได้ ก็เท่ากับตัดแขนข้างหนึ่งของชายาติ้งอ๋องทิ้งไป…”
เมื่อเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยนิ่งเงียบไม่ตอบ ถานจี้จือก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเริ่มโอนอ่อนแล้ว จึงเอ่ยต่อว่า “สมบัติลับของราชวงศ์ก่อนอยู่ในเขตซีเป่ยนี่เอง รวมถึงตราประทับหยกสืบทอดแคว้นและตำราพิชัยของปฐมฮ่องเต้กับทรัพย์สมบัติด้วย ยามนี้น่าจะตกไปเป็นของม่อซิวเหยาทั้งหมดแล้ว พระสนมกุ้ยเฟยสามารถนำข่าวนี้ไปทูลแก่ฝ่าบาทให้ทรงรู้ได้ และถือเป็นการตัดขาดบุญคุณระหว่างฮ่องเต้และขุนนางของเรา”
หลิ่วกุ้ยเฟยยิ้มเยาะ “เรื่องที่แม้แต่ม่อจิ่งฉีเองยังไม่รู้ ข้าจะอธิบายว่าข้าไปรู้มาได้อย่างไร”
ถานจี้จือเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “เช่นนั้นข้าก็จะไม่บังคับ เรื่องนี้ข้าไปขอให้ใต้เท้าหลิ่วจัดการก็แล้วกัน เดิมทีก็ไม่ควรรบกวนพระสนมกุ้ยเฟยอยู่แล้ว”
“เจ้าไปเถิด” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ย
ถานจี้จือถอนใจ “พระสนมกุ้ยเฟยช่างไร้ความรู้สึกเสียจริง…ถึงอย่างไรท่านกับข้าก็รู้จักกันมาหลายปี ข้าน้อย…”
“ฝ่าบาทเสด็จ!” ด้านนอกตำหนักมีเสียงแหลมสูงของขันทีดังขึ้น
ถานจี้จือตาเป็นประกาย “ดึกดื่นป่านนี้ ฝ่าบาทเสด็จมาได้อย่างไร”
หลิ่วกุ้ยเฟยลุกยืนขึ้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “เขาคือฮ่องเต้ เขาอยากมาเมื่อไรก็มา ผู้ใดจะไปบังคับเขาได้”
ถานจี้จือได้แต่ถอนใจ “ถึงว่าในโลกนี้ผู้ใดต่างก็อยากเป็นฮ่องเต้กันทั้งนั้น พระสนมรักษาตัวด้วย ข้าน้อยทูลลาก่อน”
เมื่อเห็นถานจี้จือหายตัวไปในความมืดแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยก็ก้มหน้าลงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “มิใช่ทุกคนเสียหน่อยที่สนใจในตำแหน่งนั้น” หากคนผู้นั้นสนใจในตำแหน่งนี้จริง นางก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้เขาทำให้สำเร็จ ขอเพียงเขาหันกลับมามองนางจริงๆ สักครั้ง…
นางค่อยๆ จัดเครื่องแต่งกายตนเอง ขบวนเสด็จของม่อจิ่งฉีก็มาถึงที่ด้านนอกตำหนักแล้ว เมื่อก้าวเข้ามาในตำหนัก ม่อจิ่งฉีเห็นความมืดสลัวภายในห้อง ก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดถึงไม่จุดตะเกียง บ่าวไพร่ไปเสียที่ใดกันหมด”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของม่อจิ่งฉี หลิ่วกุ้ยเฟยก็รู้ว่ายามนี้เขาอารมณ์ไม่ดีนัก ทุกคนต่างบอกว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานเหนือวังทั้งหก ฮ่องเต้มักมีเรื่องขัดกับฮองเฮาบ่อยๆ ก็เพราะนาง แต่มีเพียงตัวหลิ่วกุ้ยเฟยผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่า นั่นก็เพียงในช่วงที่ม่อจิ่งฉีอารมณ์ดีเท่านั้น
ยามที่ม่อจิ่งฉีอารมณ์ดี ย่อมโปรดปรานเป็นที่ยิ่ง แต่เมื่อใดก็ตามที่อารมณ์ไม่ดี คนที่โดนลงโทษก็คือคนที่อยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุด ดังนั้นหลิ่วกุ้ยเฟยจึงไม่เคยดูถูกฮองเฮาที่ถูกเมินเฉยมาก่อน
ม่อจิ่งฉีมิได้ให้ความรักความโปรดปรานกับฮองเฮา แต่กลับให้อำนาจในการควบคุมดูแลวังหลัง อีกทั้งไม่เคยระบายอารมณ์ใส่นาง ดังนั้น ฮองเฮาต่างหากที่เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังลึกแห่งนี้ด้วยความสบายใจที่สุด ถึงแม้เหตุผลแรกเริ่มจะเพียงเพราะกันไม่ให้ตระกูลฮว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง จึงไม่ยอมสนิทสนมกับฮองเฮาก็ตาม
“ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย หม่อมฉันให้พวกบ่าวออกไปเองเพคะ” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียบๆ
นางกำนัลและขันทีที่ติดตามม่อซิวเหยาค่อยๆ เข้ามาในตำหนักเงียบๆ จุดเทียนทุกที่ให้สว่างขึ้นก่อนถอยออกไปเงียบๆ แสงเทียนส่องสว่างไปทั่วตำหนักพร้อมด้วยกลิ่นกำยานอ่อนๆ
ม่อจิ่งฉีมองหลิ่วกุ้ยเฟยแล้วเอ่ยว่า “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดสนมรักยังไม่พักผ่อนหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ดอกถันฮวาที่ด้านนอกบานแล้ว หม่อมฉันมัวแต่ดูเพลินจนลืมเวลาไปเพคะ”
“อ้อ?” ม่อจิ่งฉีเลิกคิ้ว เดินไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน ก็เห็นว่าที่ด้านนอกหน้าต่าง ดอกถันฮวากำลังเบ่งบานอยู่ ถึงได้เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เช่นนั้นข้าก็มาขัดเวลาชมดอกไม้ของสนมรักแล้วสิ?”
หลิ่วกุ้ยเฟยนิ่งเงียบไม่ตอบ ถือเป็นการยอมรับ
ม่อจิ่งฉีเคยชินกับนิสัยของนางเสียนานแล้ว จึงมิได้สนใจ หากหลิ่วกุ้ยเฟยทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาสิ เขากลับยิ่งนึกสงสัย
ม่อจิ่งฉีมองสตรีที่งดงามตราตรึงใจภายใต้แสงจันทร์ แล้วสายตาม่อจิ่งฉีก็เกิดประกายหื่นกระหายขึ้น จับนางมากอดเข้ากับหน้าต่างแล้วก้มลงจูบอย่างรุนแรง ลิ้นและเรียวปากเกี่ยวกระหวัดกันร้อนแรงเสียจนหลิ่วกุ้ยเฟยหายใจไม่ทันถึงได้หยุดลง
ม่อจิ่งฉีก้มลงมองสตรีในอ้อมแขน ที่แววตายังคงเรียบเรื่อยไม่มีแวววูบไหว ประหนึ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเอง
ม่อจิ่งฉีจับจ้องใบหน้าอันงดงามของหลิ่วกุ้ยเฟย สีหน้าของม่อจิ่งฉีดูซับซ้อนยากจะคาดเดา ทั้งโกรธและไม่ยอมแพ้ ผสมกับความหลงใหลอย่างลึกซึ้งและความเคียดแค้น จนทำให้ความต้องการเมื่อครู่หายวับไปกับตา
“ดึกดื่นเช่นนี้ ฝ่าบาทมีธุระอันใดหรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยค่อยๆ ดันม่อจิ่งฉีออก แล้วเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ในตำหนักพร้อมเอ่ยถามขึ้น
ม่อจิ่งฉีหน้าบึ้งลงทันที เดินไปนั่งลงข้างหลิ่วกุ้ยเฟย แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “วันนี้ตาเฒ่าฮว่าเฉินเฟิงยื่นฎีกาบอกว่าจะขอนำทัพไปออกศึก!”
หลิ่วกุ้ยเฟยเหลือบตาขึ้นมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
ม่อจิ่งฉีส่งเสียงหึอย่างดูแคลน “มันฝันไปเถอะ! อายุตั้งเท่านั้นแล้วก็ควรอยู่สงบๆ ในบ้านเพื่อรอเวลาตาย ข้าเห็นแก่ฮองเฮากับฉางเล่อหรอกนะถึงได้ยอมให้เขาแก่ตาย! ม่อซิวเหยาเพิ่งพ้นจากเหตุร้ายมาได้ เขาก็มาคิดอยากจะได้อำนาจทางการทหาร ไม่ช้าก็เร็วข้าคงต้องให้มันไม่ได้ตายดี!”
หลิ่วกุ้ยเฟยฟังม่อจิ่งฉีก่นด่าฮว่ากั๋วกงและขุนนางในราชสำนักที่ออกโรงปกป้องติ้งอ๋องด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางไม่มีทางพูดถึงฮว่ากั๋วกงไม่ทางไม่ดี อีกทั้งม่อจิ่งฉีก็มิได้ต้องการให้นางร่วมด่าว่าฮว่ากั๋วกงอย่างเห็นเขาเป็นศัตรูเช่นเดียวกับเขา เขาต้องการเพียงคนที่จะฟังเขาพูดเท่านั้น