งานเลี้ยงต้อนรับตระกูลสวีจัดขึ้นที่ตำหนักติ้งอ๋อง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจและความเคารพที่มีต่อตระกูลสวี ม่อซิวเหยาได้เชิญขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วทั้งหรู่หยาง และแม้กระทั่งแจ้งข่าวแก่คนสนิทยอดฝีมือของตำหนักติ้งอ๋องที่ประจำการอยู่ในซีเป่ยและเขตพื้นที่อื่นๆ และเพื่อเป็นการแนะนำคนตระกูลสวีให้เป็นที่รู้จักของนายทหารและเจ้าพนักงานทั้งหลายในซีเป่ยอย่างยิ่งใหญ่
และเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าตระกูลสวีมิได้เป็นเพียงบ้านทางฝ่ายมารดาของชายาติ้งอ๋องเท่านั้น แต่ในอนาคตพวกเขาจะมีฐานะที่หนักแน่นพอในพื้นที่เขตซีเป่ย และด้วยชื่อเสียงที่มีมาแต่เดิมของตระกูลสวี จึงย่อมไม่มีผู้ใดคิดกีดกันหรือริษยา ขอเพียงเป็นคนที่พอรู้เรื่องอันใดมาบ้างก็จะเข้าใจว่า ที่ตระกูลสวีมายังซีเป่ยในเวลานี้ มีแต่ข้อดีต่อตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อ
ภายในงานเลี้ยงย่อมครึกครื้นมากเป็นธรรมดา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสมัครสมานสามัคคีและยินดี ถึงแม้เยี่ยหลีจะต้องคอยดูแลลูกน้อย แต่ก็เพียงออกจากงานเร็วกว่าเล็กน้อยเท่านั้น
ระหว่างที่นางเดินนำคนกลับไป ยามเดินผ่านสวนดอกไม้ก็เห็นฉินเจิงกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่เพียงลำพังในศาลารับลมริมทะเลสาบ
เยี่ยหลีหยุดฝีเท้าลง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “พี่เจิงเอ๋อร์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ชิงอวี้ที่เดินตามหลังมาเอ่ยว่า “เมื่อครู่ในงานเลี้ยง ดูเหมือนคุณหนูฉินจะไม่สบายเล็กน้อย จึงได้ออกจากงานมาก่อนเพคะ”
ชิงซวงเอ่ยว่า “คุณหนูฉินมาที่ซีเป่ยแต่เพียงลำพัง คงมีเรื่องมากมายที่ยังไม่คุ้นชินกระมังเพคะ”
เยี่ยหลีย่นคิ้วคิดเล็กน้อย “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน”
เยี่ยหลีเดินเบาๆ เข้าไปในศาลารับลม เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “พี่เจิงเอ๋อร์มานั่งอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ดูฉินเจิงจะตกใจไม่น้อย เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นเยี่ยหลี ถึงได้ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ลุกขึ้นเอ่ยว่า “พระชายา…”
เยี่ยหลียื่นมือไปจับนางไม่ให้ลุกขึ้น ก่อนยิ้มอย่างจนใจว่า “ไม่ได้พบกันเพียงปีกว่า พี่เจิงเอ๋อร์ดูจะห่างเหินกับข้าขึ้นมาก”
ฉินเจิงมองดูเยี่ยหลีด้วยความลำบากใจ ไม่รู้จะพูดอันใดขึ้นมาชั่วขณะ
เยี่ยหลียิ้ม “หรือว่าพอพี่เจิงเอ๋อร์แต่งงานกับพี่รองแล้ว ก็จะเรียกข้าว่าพระชายาไปเรื่อยๆ หรือ”
ฉินเฟิงหน้าแดงระเรื่อขึ้น ได้แต่ถลึงตาใส่เยี่ยหลี และดูจะปล่อยตัวตามสบายขึ้นหลายส่วน
เมื่อกระเซ้าเย้าแหย่พอเป็นพิธีแล้ว เยี่ยหลีก็นั่งลง ยื่นมือไปจับมือฉินเจิงไว้ “ข้าเห็นพี่ฉินเจิงดูเศร้าหมองอารมณ์ไม่ดี มีตรงใดที่ไม่คุ้นชิน หรือที่ตำหนักมีตรงใดที่ละเลยพี่ไปหรือไม่”
ฉินเจิงรีบส่ายหน้าดิก ขอบตาแดงขึ้นเล็กน้อยเอ่ยเสียงต่ำว่า “ทุกคนดีกับข้ามาก เพียงแต่…แค่คิดถึงบ้านเล็กน้อยเท่านั้น ท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงข้ามาจนโต ตามใจข้ามาตลอด แต่ข้ากลับไม่มีโอกาสได้ตอบแทน แต่ต้องมาอยู่ห่างไกลท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้ ช่างไม่กตัญญูเอาเสียเลย”
เยี่ยหลีถอนใจ ตบเบาๆ ลงบนมือปลอบฉินเจิง เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ใต้เท้าฉินกับฉินฮูหยินยอมให้พี่ออกจากเมืองหลวง ย่อมเพราะเห็นแก่ความสุขของพี่ พี่แค่เพียงทำใจอยู่ที่ซีเป่ยก็พอ ต่อไปใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกเสียหน่อย ยามนี้เรื่องสำคัญที่สุดก็คือการแต่งงานของพี่รองกับพี่เจิงเอ๋อร์ เมื่อตอนกลางคืน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับท่านป้าสะใภ้รองเริ่มเอ่ยเรื่องนี้กับข้าแล้ว ดูท่าพี่รองกับท่านป้าสะใภ้รองเองก็คงรีบอยากแต่งพี่ฉินเจิงเร็วๆ เช่นกัน”
“หลีเอ๋อร์!” ใบหน้าเรียวสวยของฉินเจิงแดงก่ำขึ้นจนแทบจะมีเลือดหยดออกมา แต่กลับหนีรอยยิ้มล้อเลียนของเยี่ยหลีไม่พ้น ทำได้เพียงเอาสองมือปิดหน้าไว้ พร้อมเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ไม่ได้พบกันปีเดียว เหตุใดหลีเอ๋อร์ถึงได้เป็นเหมือนมู่หรงไปได้”
เยี่ยหลียิ้ม “เป็นอย่างมู่หรงแล้วมีอันใดไม่ดีกัน มีอันใดก็พูดอย่างนั้น ตัวเองจะได้ไม่อึดอัดใจตาย เอาล่ะ พี่ก็อย่าได้เขินอายไปเลย หากมิใช่เพราะเมื่อปีที่แล้ว พี่รองต้องมาเป็นเพื่อนข้าที่ซีเป่ย พวกพี่คงแต่งงานกันไปเสียนานแล้ว พี่เจิงเอ๋อร์เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวป้ายแดงให้สบายใจเถิด หลีเอ๋อร์จะต้องจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้กับพี่และพี่รองอย่างแน่นอน”
ฉินเจิงก้มหน้าลง ปิดบังรอยน้ำตาที่อยู่ในดวงตา เอ่ยเสียงต่ำว่า “หลีเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามาก”
เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอันใดต้องขอบใจกัน”
ฉินเจิงยิ้มน้อยๆ มิไดเอ่ยอันใด นางเป็นเด็กสาวอายุเพิ่งสิบกว่าปี ต้องแกล้งเสียชีวิตและแยกกับบิดามารดา ออกจากเมืองหลวงมาอยู่ไกลถึงซีเป่ย ในใจจะให้ไม่รู้สึกเป็นกังวลได้อย่างไร
ถึงแม้คนในตระกูลสวีจะมิได้เข้าหาได้ยาก สวีฮูหยินรองก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี แต่เมื่อไม่มีบิดามารดาให้คอยพึ่งพิง สำหรับฉินเฟิงที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมแล้ว อย่างไรก็อดรู้สึกกระวนกระวายใจไม่ได้ อีกอย่าง เดิมทีคุณชายสองตระกูลสวี สวีชิงเจ๋อก็เป็นคนเฉยชาอยู่แล้ว จึงย่อมไม่มีทางสอบถามฉินเจิงด้วยความเป็นห่วงเป็นไยแน่นอน นี่จึงยิ่งทำให้ฉินเจิงเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก
เมื่ออยู่ปลอบใจฉินเจิงเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เรียกสาวใช้ที่คอยติดตามฉินเจิงเข้ามาและให้ชิงอวี้ไปส่งฉินเจิงยังเรือนเล็กที่นางพักอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราวด้วยตนเอง
เมื่อกลับมาถึงห้อง กลับเห็นม่อซิวเหยาที่กลับมาถึงห้องแล้วกำลังทิ้งตัวอยู่ข้างเปลไกวจับแก้มเด็กน้อยเล่นด้วยหน้าประหนึ่งเบื่อหน่ายทุกอย่างในโลก
เยี่ยหลีอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “ท่านอ๋อง ท่านคิดจะหยิกหน้าลูกน้อยให้เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ไปเลยหรือ”
ยามที่นางเข้ามาเขาก็เล่นอยู่ จนนางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้ว เขาก็ยังเล่นอยู่ ต่อให้มิได้ออกแรง แต่ผิวที่บอบบางของเด็กน้อยอย่างไรก็ทนให้เขาหยอกล้อเช่นนี้ไม่ไหว
เมื่อเดินเข้าไปถึงเปลไกว ก็เห็นว่าเจ้าเด็กน้อยกำลังตื่นอยู่ กำลังลืมตาแป๋วจ้องมาที่นาง บางทีอาจเป็นเพราะเพิ่งตื่น หยาดน้ำในดวงตากลับทำให้ดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง นางโน้มตัวลงไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา ตบปลอบเขาเบาๆ ด้วยความรักใคร่ “เด็กดี พ่อเจ้านิสัยไม่ดี พวกเราอย่าไปสนใจเขา”
นางเอ่ยเสียงเบากับลูกน้อยไปพลาง เดินช้าๆ ไปรอบๆ ห้องพลางเขย่ากล่อมให้ลูกน้อยผล็อยหลับ โดยไม่เห็นสีหน้าใครบางคนที่อยู่ด้านหลังที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงอยู่ เขานิสัยไม่ดี? เจ้าเด็กบ้านี่เป็นคู่ปรับเขามาตั้งแต่เกิดจริงๆ เสียด้วย อาหลีถึงขั้นว่าเขาว่านิสัยไม่ดีเพราะมันเลยหรือ!
ความน้อยใจของม่อซิวเหยาในที่สุดก็ได้รับความสนใจจากเยี่ยหลี พอนางหันมาเห็นบุรุษที่นั่งอยู่ข้างเตียงกำลังจ้องเขม็งไปที่เด็กน้อยในอ้อมแขนของนางด้วยสีหน้าบึ้งตึง ก็ได้แต่นึกถอนใจ บุรุษผู้อื่นต่างเจ็บปวดที่ไม่อาจมีลูกชายที่รักได้ แต่คนที่อยู่ตรงหน้านางกลับดี ทำประหนึ่งบุตรชายของตนเป็นคู่อาฆาตมาตั้งแต่ชาติที่แล้วก็ไม่ปาน
นางวางลูกลงกับมือม่อซิวเหยา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านอ๋อง ท่านยังเป็นเด็กหรือ มาเอาแต่ใจอันใดกับเด็ก”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ อุ้มก้อนเนื้อในมือด้วยความไม่เอ็นดูแม้แต่น้อย “เจ้าเลี้ยงจนเขาอ้วนพีเช่นนี้ จะเอาไว้กินหรือ”
เยี่ยหลีกรอกตาบนใส่เขา ลูกน้อยผิวพรรณเต่งตึง ผิวขาวอวบอมชมพูก็จริง แต่ยังห่างไกลจากคำว่าอ้วนพีอยู่มากได้หรือไม่
ยังดีที่ม่อซิวเหยาเองก็รู้ว่าอาหลีของเขาไม่ชอบให้ผู้อื่นรังเกียจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนาง จึงมิได้พูดอันใดให้มากอีก เพียงแต่นึกรักเกียจเจ้าม่อตัวน้อยที่ยังไม่รู้ความและไม่มีเรี่ยวแรงอันใดในใจ พลางเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดถึงกลับมาช้าเช่นนี้”
เยี่ยหลีเล่าเรื่องที่เจอฉินเจิงในสวนดอกไม้ให้เขาฟัง เมื่อเล่าจบถึงได้ถามว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับท่านป้าสะใภ้รองตั้งใจจะจัดงานแต่งงานหลังจากงานเลี้ยงครบเดือนของลูก ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะให้พี่เจิงเอ๋อร์แต่งงานออกจากจวนท่านลุงใหญ่ แต่ความเห็นของข้าคิดว่าให้แต่งออกจากตำหนักติ้งอ๋องจะดีกว่า ท่านว่าอย่างไร” ถึงอย่างไรหากแต่งออกจากบ้านท่านลุงใหญ่ไปบ้านท่านลุงรอง ฟังแล้วก็ดูจะไม่ถูกไม่ควรสักเท่าไร
ม่อซิวเหยาคิดใคร่ครวญเล็กน้อย เอ่ยว่า “ที่ตำหนักของเราก็มิได้มีญาติผู้ใหญ่หรืออันใด จะให้เจ้าส่งตัวฉินเจิงก็คงไม่ได้กระมัง ว่ากันตามอายุแล้ว เจ้าอายุน้อยกว่านางเสียอีก เช่นนี้แล้วกัน…แม่ทัพหลี่ว์กับแม่ทัพจางกับญาติพี่น้องของพวกเขาล้วนอยู่ที่หรู่หยาง เจ้าลองดูว่าตระกูลใดเหมาะสมให้พวกเขารับฉินเจิงไปเป็นลูกบุญธรรม ถึงยามนั้นให้นางแต่งออกจากจวนแม่ทัพ แม่ทัพหลี่ว์และแม่ทัพจางล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งอันดับสองของกองทัพตระกูลม่อ ฉินเจิงเข้าไปเป็นคนของจวนพวกเขาก็ไม่ถือเป็นการหลู่เกียรตินาง เช่นนี้ ก็นับว่าตระกูลสวีสานสัมพันธ์กับกองทัพตระกูลม่อ ถึงอย่างไรตำหนักติ้งอ๋องก็เกิดขึ้นจากผลงานทางการทหารอยู่แล้ว หากมีความสัมพันธ์นี้เพิ่มขึ้นมา ต่อให้คนในตระกูลสวีจะทำอันใดในซีเป่ยก็คงสะดวกสบายขึ้นมาก”
ไม่ว่าจะเป็นจางฉี่หลันหรือหลี่ว์จิ้นเสียนก็ล้วนเป็นแม่ทัพเก่าแก่ที่มีอิทธิพลอย่างมากของกองทัพตระกูลม่อ หากมีพวกเขาคอยสนับสนุน ต่อไปความรู้สึกกีดกันของนายทหารในกองทัพตระกูลม่อที่มีต่อตระกูลสวีก็คงลดลงไปมาก จะว่าไปแล้ว…ขอเพียงเป็นคนที่อยู่ในกองทัพ ก็ไม่มีผู้ใดที่ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก
เยี่ยหลีคิดไม่ถึงว่า ชั่วเวลาเพียงครู่เดียว ม่อซิวเหยาจะคิดได้มากมายเช่นนี้ และโดยมากเป็นการวางแผนเพื่ออนาคตของตระกูลสวี ก็นึกซาบซึ้งขึ้นในใจ เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณท่านที่คิดเผื่อตระกูลสวีมากมายเช่นนี้”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ก้มหน้าลงเล่นกับบุตรชาย
เยี่ยหลีได้แต่ก้มหน้ามองบุรุษที่ก้มหน้าก้มตาไม่สนใจผู้ใด นึกอยากถามคำถามหนึ่งมากว่า ท่านอ๋อง ท่านเขินหรืออย่างไร
ข่าวการถือกำเนิดของซื่อจื่อน้อยแห่งตำหนักติ้งอ๋องแพร่ไปสู้แคว้นเพื่อนบ้านอย่างรวดเร็ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ม่อซิวเหยาส่งจดหมายเชิญไปยังผู้มีอิทธิพลของทุกแว่นแคว้นให้มาร่วมงานฉลองครบเดือนของซื่อจื่อน้อยอย่างยิ่งใหญ่เลย เมื่อได้รับจดหมายเชิญอันหรูหราพร้อมประทับตราตำหนักติ้งอ๋อง ไม่รู้มีคนจำนวนมากน้อยเพียงใดที่ทำลายข้าวของมีค่าโบราณภายในห้องหนังสือ
ตำหนักเจิ้นหนานอ๋อง แคว้นซีหลิน
ภายในห้องหนังสือ เจิ้นหนานอ๋องจับจ้องไปยังจดหมายเชิญอันหรูหราที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาหรี่ตาลงอย่างอันตราย
เจิ้นหนานอ๋องมิได้พูดอันใด คนอื่นๆ ในห้องหนังสือก็ย่อมไม่กล้าเอ่ยปาก บรรยากาศจึงหนักอึ้งขึ้นชั่วขณะ
พักใหญ่ เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ เหลยเถิงเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้หมายความเช่นไร จะแตกหักกับต้าฉู่จริงๆ หรือ”
ด้วยฐานะที่เป็นติ้งอ๋องแห่งต้าฉู่ ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องมีชื่อเสียงสะท้านฟ้าเพียงใด แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเชื้อเชิญผู้มีอิทธิพลของทุกแว่นแคว้น มาร่วมงานครบเดือนของซื่อจื่อตนเช่นนี้
อันที่จริง ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นใดก็ตาม ก็คงไม่มีผู้ใดเชิญผู้มีอิทธิพลจากทุกแว่นแคว้นมาร่วมงานครบเดือนของพระโอรส หรือต่อให้เป็นโอรสรัชทายาทก็ตาม แต่หากม่อซิวเหยาแตกหักกับต้าฉู่และตั้งตนขึ้นเป็นท่านอ๋องเองแล้ว เช่นนั้นเขาก็มีคุณสมบัติพอที่จะติดต่อกับเชื้อพระวงศ์ของทุกแว่นแคว้น เช่นนั้นจดหมายเชิญฉบับนี้ก็จะไม่ถือว่าเสียมารยาท เพราะเรื่องที่ม่อซิวเหยายินดีจัดงานเลี้ยงครบเดือนเช่นนี้ให้กับบุตรชายของตน ไม่ว่าผู้ใดก็ทำอันใดเขาไม่ได้
เจิ้นหนานอ๋องหัวเราะเสียงเย็น “ตำหนักติ้งอ๋องแตกหันกับต้าฉู่ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเกิดขึ้น ไม่ถือเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย เพียงแต่ไม่คิดว่า…ชายาติ้งอ๋องยังสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้อย่างปลอดภัยนี่สิ”
และที่ยิ่งเกินความคาดหมายคือ ชายาติ้งอ๋องตกลงไปจากผาสูงเช่นนั้น แต่ไม่เพียงชายาติ้งอ๋องที่ไม่เป็นอันใด แม้แต่ลูกในท้องก็ไม่เป็นอันใดเช่นนั้น ดวงชะตาของม่อซิวเหยาช่างดีเสียจนน่าโมโห!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าเจิ้นหนานอ๋องก็ดูย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก เขาไม่เพียงแพ้ให้กับสตรีนางหนึ่ง แต่ยังเป็นสตรีที่กำลังตั้งครรภ์อยู่อีกด้วย!
“เยี่ยหลี!” เจิ้นหนานอ๋องกัดฟังกรอด
เหลยเถิงเฟิงกวาดตามองสีหน้าโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นบิดา แต่ตัวเขากลับมิได้ดูโกรธเกรี้ยวเช่นเจิ้นหนานอ๋อง เมื่อคิดถึงสตรีร่างบางในชุดสีฟ้า ที่ดูสูงสง่าจนทำให้ทุกคนรู้สึกตะลึงงัน ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ครั้งแรกที่ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของชายาติ้งอ๋อง ในใจเหลยเถิงเฟิงก็อดรู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ไม่คิดว่าชายาติ้งอ๋องจะรอดจากเหตุร้ายกลับมาได้ หนำซ้ำยังคลอดติ้งอ๋องซื่อจื่อออกมาได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย
ในใจเหลยเถิงเฟิงเกิดความริษยาขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ปัดความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว “เสด็จพ่อ งานเลี้ยงครบเดือนของติ้งอ๋องซื่อจื่อ พวกเราจะไปหรือไม่ไปพ่ะย่ะค่ะ”
หรู่หยางถึงแม้จะห่างจากชายแดนของซีหลิงไม่ไกลนัก แต่ถือว่าไม่ใกล้กับวังหลวงของซีหลิง จดหมายเชิญฉบับนี้น่าจะให้ม้าเร็วส่งมาตั้งแต่ติ้งอ๋องซื่อจื่อคลอดออกมาได้ไม่เท่าไร เพราะแม้แต่ชื่อของซื่อจื่อน้อยก็ยังไม่มี แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น หากพวกเขาต้องการไปร่วมงานเลี้ยงครบเดือน ก็ควรออกเดินทางโดยทันที มิเช่นนั้นก็อาจจะไปไม่ทันร่วมงาน
“ไป! ต้องไปแน่นอน!” เจิ้นหนานอ๋องยิ้มเย็น เอ่ยว่า “เจ้าคิดหรือว่าติ้งอ๋องแค่จัดงานเพื่อฉลองครบเดือนของบุตรชายเท่านั้น ครานี้เกรงว่าเมืองหรู่หยางคงครึกครื้นกว่าปกติมากนัก”
เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วนิ่งคิด แล้วจึงเอ่ยอย่างเข้าใจทันทีว่า “เสด็จพ่อหมายถึงแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น กับทรัพย์สมบัติของราชวงศ์ก่อน?”
เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้า “ถูกต้อง หากจะให้คนลอบเข้าๆ ออกๆ ซีเป่ย สู้ให้เขาเปิดประตูเมืองเชิญทุกคนเข้าไปอย่างใจกว้างไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยคนเหล่านี้ยังอยู่ภายใต้การจับตาดูของเขา ม่อซิวเหยาช่างคิดได้ดีจริงๆ…”