ถึงแม้เยี่ยอิ๋งจะมีความสัมพันธ์ฉันญาติพี่น้องกับเยี่ยหลี แต่เยี่ยหลีก็มิได้ให้คณะของม่อจิ่งหลีพักอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋อง แต่ได้จัดให้อยู่ในบ้านหลังหนึ่งในเมืองหรู่หยางที่จัดเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะแทน ซึ่งบ้านหลังนี้จัดเตรียมไว้เพื่อต้อนรับแขกชนชั้นสูงและคณะทูตจากแต่ละแคว้นโดยเฉพาะ
ถึงแม้กองทัพตระกูลม่อจะมิได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแต่ละแคว้นสักเท่าไรนัก แต่เรื่องการทำศึกก็มิใช่ว่าบอกจะเปิดศึกก็สามารถเปิดศึกได้เลยทันที เพราะถึงอย่างไรคนเราก็คงมิอาจไม่ติดต่อสื่อสารกันเลยมิใช่หรือ
เรือนหลังนี้ถึงแม้ความหรูหราจะเทียบไม่ได้กับบ้านพักรับรองคณะทูตของเมืองหลวง แต่ ณ ขณะนี้ก็ถือว่าไม่เลวและมีขนาดที่ใหญ่มากพอดู ต่อให้มีคนจากทั้งแคว้นต้าฉู่ เป่ยหรงและซีหลิงมา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะพักอาศัยกันไม่หมด
ยังไม่ทันจัดแจงให้คณะของม่อจิ่งหลีเข้าพักให้เรียบร้อย หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็เข้ามารายงานอีกครั้งว่า “ท่านอ๋อง พระชายา เจิ้นหนานอ๋องและเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งซีหลิงเดินทางมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยังมีองค์ชายรัชทายาทกับชายารัชทายาทและองค์ชายเจ็ดจากเป่ยหรงก็มาถึงแล้ว รัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าวก็เดินทางมาถึงแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”
ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีหันมาสบตากัน ครานี้ทั้งสี่แคว้นมาได้พร้อมเพรียงยิ่งนัก อีกทั้งคนที่ส่งมายังเป็นบุคคลที่มีฐานะสูงส่งพอดูอีกด้วย ซึ่งถือว่าให้เกียรติเยี่ยหลีและม่อซิวเหยามากพอดูทีเดียว และแน่นอนว่าหนึ่งในเหตุผลคงไม่อาจตัดเรื่องต้าฉู่กับกองทัพตระกูลม่อออกไปได้
นัยน์ตาม่อซิวเหยาเป็นประกายเย็นวาบ อมยิ้มลุกขึ้นจับมือเยี่ยหลี เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดูท่าวันนี้คงจะมีแต่แขกผู้ทรงเกียรติมากันเสียแล้ว อาหลี พวกเราออกไปต้อนรับกันเถิด”
เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ เดินตามม่อซิวเหยาออกไป
ด้านนอกประตูใหญ่ของตำหนักติ้งอ๋องครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน ไม่รู้ว่าด้วยเพราะบังเอิญหรือตั้งใจ แขกผู้ทรงเกียรติจากทั้งสามแคว้น ต่างเดินทางมาถึงตำหนักติ้งอ๋องพร้อมๆ กัน ดังนั้นหน้าประตูตำหนักติ้งอ๋องจึงคราคร่ำไปด้วยรถม้าและองครักษ์ผู้ติดตามทั้งหลาย จนแน่นขนัดไปหมด
เพียงแต่ที่หน้าประตูมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่แต่งกายในชุดดำ พร้อมแผ่รังสีน่ากลัวขึ้นกดดันคอยอารักขาอยู่ที่หน้าประตู แน่นอนว่าคนเหล่านี้อย่าได้หวังว่าจะได้เข้าใกล้ตำหนักติ้งอ๋องเลยแม้แต่ครึ่งก้าว
ประตูตำหนักติ้งอ๋องถูกเปิดออกจากด้านใน ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเดินจับจูงกันออกมา ภายใต้แสงอาทิตย์ ผมที่ขาวประดุจหิมสะท้อนเป็นประกายแสงเย็นวาบ คนที่เพิ่งก้าวลงจากรถม้า เมื่อได้เห็นเขาก็ต่างพากันอึ้งไป
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลที่สุดจากแต่ละแว่นแคว้น จึงย่อมได้ยินข่าวที่ม่อซิวเหยาผมขาวมาก่อนนานแล้ว แต่ก็เช่นเดียวกับม่อจิ่งหลี เมื่อได้มาเห็นบุรุษผมขาวกับตาตนเองให้ยามนี้ กลับปกปิดแววตื่นตกใจในสีหน้าไม่มิด แต่ที่ทำให้ผู้คนไม่เข้าใจก็คือ พระชายาที่เดิมตกหน้าผาหายตัวไปกลับไม่เป็นอันใด แต่เหตุใดเมื่อชายาติ้งอ๋องกลับมาแล้ว ท่านอ๋องกลับผมขาวในชั่วข้ามคืนไปเสียได้?
“ทุกท่านเดินทางมาไกล ข้าออกมาต้อนรับช้า หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย”
ม่อซิวเหยายิ้มอย่างขอลุแก่โทษ พร้อมปรายตามองทุกคนเรียบๆ
“มิกล้า พวกเรากับติ้งอ๋องก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกัน ติ้งอ๋องจะเกรงใจไปไย ท่านนี้คือชายาติ้งอ๋อง? เมื่อวันนี้ได้มาพบตัวจริง ช่างไม่ผิดจากที่เขาเล่าลือกันจริงๆ”
ชายวัยหนุ่มร่างกายกำยำสูงใหญ่แต่งกายอย่างเชื้อพระวงศ์ของเป่ยหรง ลักษณะท่าทางดูหยาบกระด้างและแข็งทื่อตามแบบฉบับคนเป่ยหรง มองดูแล้วมีรังสีที่ไม่ธรรมดา คนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาคือองค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรง เยียหลี่ว์เหยี่ย และองค์หญิงหรงหวาที่ยามนี้เป็นชายารัชทายาทแห่งเป่ยหรง ที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน
องค์หญิงหรงหวาหันไปพยักหน้าพร้อมยิ้มบางๆ ให้เยี่ยหลี ใบหน้างามมิได้ดูบอบบางขาวซีดและผ่านการตกแต่งมาอย่างประณีตงดงามเช่นยามอยู่ที่เมืองหลวงของต้าฉู่ แต่กลับดูมีเลือดฝาดและสุขภาพดีขึ้นหลายส่วน ดูท่าปีกว่ามานี้ องค์หญิงหรงหวาคงจะใช้ชีวิตอยู่ในเป่ยหรงได้ไม่เลวนัก
ผู้ที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่ย่อมเป็นองค์รัชทายาทแห่งเป่ยหรง นามเยียหลี่ว์หง
เยี่ยหลีแย้มยิ้มน้อยๆ “รัชทายาทแห่งเป่ยหรงท่านเอ่ยเกินไปแล้วเพคะ ข้าคงมิกล้ารับ ทุกท่านเดินทางกันมาไกล เชิญเข้าไปดื่มชาด้านในกันก่อนแล้วค่อยไปพักที่เรือนรับรองเถิด”
เยียหลี่ว์หงมองเยี่ยหลีด้วยความตกใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ขอบคุณพระชายา”
องค์หญิงอันซีก้าวขึ้นหน้ามาเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ชายาติ้งอ๋อง ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีหรือ”
เมื่อเยี่ยหลีเห็นรอยยิ้มสดใสขององค์หญิงอันซีแล้ว ก็อดรู้สึกเขินอายขึ้นไม่ได้ เมื่อครั้งที่นางอยู่ที่หนานจ้าว นางหลอกลวงองค์หญิงอันซีไว้ไม่ใช่เพียงหนึ่งครั้ง ยามนี้องค์หญิงอันซียังเอ่ยทักทายนางด้วยสีหน้ายินดีเช่นนี้ ไม่รู้เพราะเห็นแก่หน้าสวีชิงเฉินสักมากน้อยเพียงใด
นางพยักหน้าเอ่ยว่า “พี่สาวองค์หญิง สบายดีหรือไม่ พี่ใหญ่เองก็อยู่ที่หรู่หยางเช่นเดียวกัน องค์หญิงจะได้ไปพูดคุยเรื่องที่ผ่านมากับพี่ใหญ่ได้พอดี”
เป็นที่รู้กันดีว่า ตระกูลทางฝั่งมารดาของชายาติ้งอ๋องไม่มีพี่ชาย คนที่จะให้นางเรียกว่าพี่ชายได้ จะเป็นผู้ใดไปได้
เยี่ยหลีเองก็ไม่กลัวว่าทุกคนจะรู้เรื่องที่สวีชิงเฉินอยู่ที่ซีเป่ย เพราะเดิมก็ไม่ได้คิดอยากให้คนตระกูลสวีอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แล้ว ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วก็ต้องบอก สู้นางบอกออกมาเสียตั้งแต่ยามนี้ก็ไม่ได้เป็นอันใด
เป็นไปตามคาด เมื่อได้ยินข่าวของสวีชิงเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้าองค์หญิงอันซีก็ดูสดใสขึ้นหลายส่วน นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณน้องสาวพระชายามาก”
“ชายาติ้งอ๋อง สบายดีหรือไม่” ส่วนทางฟากซีหลิง ก็เป็นเหลยเถิงเฟิงที่ออกมาทักทาย จะว่าไปแล้วถึงแม้แต่ละแคว้นจะมีเรื่องไม่พอใจกองทัพตระกูลม่อ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ดูตะขิดตะขวงใจที่สุดดูจะเป็นซีหลิง เมื่อปีก่อนกองทัพของทั้งสองฝ่ายยังทำศึกใหญ่กันอีกด้วย ทัพใหญ่หลายแสนนายของซีหลิงก็ยังพ่ายแพ้ที่ซีเป่ย แน่นอนว่าเรื่องที่พระชายาตกหน้าผาหายตัวไปนั้น หนักหนากว่ามาก ดังนั้น ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะวางความขุ่นข้องใจต่อกันลงชั่วคราว แต่ในใจอย่างไรก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่หลายส่วน
ม่อซิวเหยาก้าวเข้ามาพร้อมเอามือข้างหนึ่งโอบเอวบางของเยี่ยหลีไว้ เอ่ยตอบเหลยเถิงเฟิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ลำบากซื่อจื่อเป็นกังวลแล้ว อาหลีมีบุญวาสนามากทีเดียว”
เหลยเถิงเฟิงเองก็จนใจเป็นอย่างยิ่ง คนที่ทำให้ชายาติ้งอ๋องตกหน้าผาไปไม่ใช่เขาเสียหน่อย แต่เมื่อเป็นบิดาของตนก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกันมากนัก จึงหัวเราะแห้งๆ ก่อนเอ่ยว่า “พระชายาเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี มีบุญวาสนามากจริงๆ”
เยี่ยหลีตบเบาๆ ลงบนหลังมือของม่อซิวเหยา แล้วหันไปส่งยิ้มให้กับทุกคน “ให้ทุกท่านมายืนพูดคุยอยู่หน้าตำหนักเช่นนี้ ถือว่าตำหนักติ้งอ๋องเสียมารยาทแล้ว ทุกท่านเชิญด้านในเถิด”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ปรายตามองเจิ้นหนานอ๋องที่ยืนสำรวจเยี่ยหลีอยู่ทีหนึ่ง แล้วถึงได้เบี่ยงตัวเชิญทุกคนเข้าไปด้านใด
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเจิ้นหนานอ๋องเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ไม่ได้พบกันมาหนึ่งปี วิทยายุทธของติ้งอ๋องดูจะฝึกได้ล้ำลึกขึ้นอีกขั้นแล้ว ไม่รู้ว่าหากพอมีเวลาจะสามารถประมือกันสักหน่อยได้หรือไม่”
ในมุมที่ทุกคนไม่ทันเห็น ม่อซิวเหยาแย้มยิ้มเป็นรอยยิ้มอันเ**้ยมโหด ผินหน้าไปหาเขาเล็กน้อย “ข้าพร้อมเสมอ”
“ชายาติ้งอ๋อง ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีหรือไม่” ดูเหมือนเขายั่วแหย่ม่อซิวเหยาแล้วจะยังไม่พอใจ เจิ้นหนานอ๋องจึงได้เบนสายตาไปทางเยี่ยหลี อมยิ้มมองเยี่ยหลีแล้วเอ่ยถามขึ้น
เยี่ยหลีเพียงพยักหน้าเรียบๆ “ลำบากเจิ้นหนานอ๋องเป็นห่วงแล้ว ข้าสบายดีทุกอย่าง แต่ที่ท่านอ๋องบาดเจ็บ…ไม่เป็นอันใดมากกระมัง”
เมื่อรับรู้ได้ถือแรงจากฝ่ามือของม่อซิวเหยาที่กระชับเอวนางแน่นขึ้น เยี่ยหลีก็ได้แต่นึกโกรธในใจว่า เหตุใดยามนั้น นางถึงไม่สามารถออกแรงเพิ่มอีกสักนิด แล้วปลิดชีวิตเขาทิ้งเสียเลย
ดูเหมือนเจิ้นหนานอ๋องจะนึกถึงแผลที่เยี่ยหลีฝากไว้ให้เขาได้ จึงยิ้มอย่างเสียดายเล็กน้อยว่า “แผลที่พระชายาฝากไว้ ทำให้ข้ายากนักที่จะลืมเลือนได้”
แววตาเยี่ยหลีครึ้มลงทันที เอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นหรือ ข้าเองก็ยากที่จะลืมเลือนเช่นกัน ครานั้นพลั้งมือไป จึงเล็งไม่ถูกจุดสำคัญ”
เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอขอบคุณที่พระชายายังออมมือ”
ในที่สุดเมื่อส่งคณะแขกไปพักผ่อนแล้ว ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีกลับมาถึงห้องหนังสืออีกทีก็เหลือเพียงสวีชิงเฉินอยู่ผู้เดียวแล้ว
เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ “พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “พี่ใหญ่ยังทำงานอยู่อีกหรือ ไม่ไปพบสหายสนิทของท่านหน่อยหรือ”
สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้น “อันซีมาแล้วหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ยามนี้ที่หนานจ้าว นอกจากองค์หญิงอันซีแล้ว ก็ดูจะส่งทูตท่านอื่นที่ดูพอมีฐานะมาไม่ได้แล้วกระมัง พี่ใหญ่ไม่ไปพบนางหน่อยหรือ เมื่อครู่ก่อนองค์หญิงอันซีจะกลับไป สีหน้านางดูผิดหวังน่าดูทีเดียว”
สวีชิงเฉินเหลือบตาขึ้นมองนางเรียบๆ เอ่ยว่า “ไว้ข้าจะไปเยี่ยมองค์หญิงอันซีด้วยตนเอง จะรีบร้อนพบไปไย”
เยี่ยหลีจนใจ ท่าทางของพี่ใหญ่ที่ทำประหนึ่งตนเป็นเทพเซียนที่มิอาจข้องแวะกับคนในมนุษย์โลกนั้น ช่างดูน่าหงุดหงิดใจเสียจริง ท่ามกลางดอกไม้ที่โปรยปลิว จะไม่มีกลีบดอกใดที่ต้องตัวเขาเลยหรือ ไม่ เขาไม่แม้แต่จะเดินไปท่ามกลางดอกไม้ด้วยซ้ำ แค่เพียงมองดูจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่านั้น ซึ่งทำให้รู้สึกใกล้ชิดและอบอุ่น ประหนึ่งใกล้เพียงเอื้อมอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อจะเอื้อมมือจับเข้าให้จริงๆ แล้ว กลับรู้สึกว่าเขาอยู่ไกลถึงสวรรค์ชั้นที่เก้า ทำได้เพียงมองแต่มิอาจสัมผัสถึง แม้แต่ป้าสะใภ้รองของนางยังนึกเป็นกังวลใจว่า จะมีวันใดที่พี่ใหญ่ปลงตกกับโลกมนุษย์และบำเพ็ญตนเป็นเซียนไปเสีย
แต่มิใช่ว่าเยี่ยหลีต้องการให้พี่ใหญ่กับองค์หญิงอันซีลงเอยกันให้ได้ เพียงแต่หลายปีนี้สตรีที่สามารถเข้าใกล้พี่ใหญ่ได้ ก็ดูเหมือนจะมีแต่องค์หญิงอันซีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิง เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ รัชทายาทเป่ยหรงกับองค์ชายเจ็ด รัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว และหลีอ๋องแห่งต้าฉู่…” เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยถึงแขกที่มาในครานี้ สวีชิงเฉินก็เอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ต่อให้เพื่อแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นอันใดนั้น แต่แขกที่มาก็ดูจะยิ่งใหญ่เกินไปสักหน่อย”
คนเหล่านี้ดูจะเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทมากที่สุดของแต่ละแคว้น เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงเป็นบุคคลสำคัญเสียยิ่งกว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงเสียอีก เมื่อคนเหล่านี้มารวมตัวกันที่หรู่หยาง หากจะว่าเพื่อแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น ก็ดูจะเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตกเกินไปสักหน่อย
เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “พี่ใหญ่มิได้เห็นว่าแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นมีความสำคัญอันใดมากนักเช่นเดียวกับซิวเหยา แต่ก็ไม่แน่ว่าคนอื่นจะคิดเห็นเช่นนั้น”
ที่ว่าแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น ผู้ที่ได้ครอบครอง คือผู้ที่ได้ครอบครองใต้หล้า เยี่ยหลีคิดมาตลอดว่า คำพูดนี้น่าจะเป็นการพูดที่กลับกัน ควรกล่าวว่า ผู้ที่ได้ครอบครองใต้หล้า คือผู้ที่ได้ครอบครองสิ่งนี้เสียมากกว่า ไม่ว่าจะย้อนกลับไปไกลหน่อยเป็นฮ่องเต้พระองค์แรก หรือใกล้หน่อยก็คือปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อน ผู้ใดบ้างที่มิได้ได้แผ่นดินในใต้หล้ามาครอบครองก่อน ถึงได้ครอบครองแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น หากในยามที่คนคนหนึ่งยังไม่มีอันใดเลย ต่อให้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นตกจากฟ้าลงมาสู่อ้อมแขน ก็คงเป็นได้เพียงดินปืนให้ผู้อื่นใช้ยิงเท่านั้น