ยามนี้เมื่อจู่ๆ ได้ยินเสียงเยี่ยหลีเอ่ยขึ้น ทุกคนจึงต่างเลื่อนสายตาไปจับจ้องที่เยี่ยหลี และมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่หันขึ้นไปมองพิจารณาคนเป่ยหรงที่อยู่ด้านบนเวที
คนเป่ยหรงรู้สึกไม่เป็นมิตรกับต้าฉู่นั้นพอเข้าใจได้ ดังนั้นก่อนหน้านี้ ที่คนผู้นั้นเอ่ยท้าทายเฉินอวิ๋น ทุกคนจึงมิได้เก็บมาคิดอันใดใส่ใจ แต่หากเป็นแม่ทัพใหญ่ที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อยามอยู่เป่ยหรง ยอดนักแม่นธนูจากเป่ยหรงมาท้าทายพลทหารธรรมดาๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงอันใดของกองทัพตระกูลม่อ เช่นนั้นก็คงจะฟังไม่ขึ้นเท่าไรนัก
“คารวะพระชายา!” คนที่อยู่หน้าเวทีประลองมีกว่าครึ่งที่เป็นราษฎรเมืองหรู่หยาง เมื่อเห็นเยี่ยหลีก็รีบก้าวเข้ามาทำความเคารพพร้อมเปิดทางให้นาง คนอื่นๆ จึงย่อมทำความเคารพตามไปด้วย ถึงแม้จะมิใช่ผู้บัญชาการทหารในกองทัพตระกูลม่อและตำหนักติ้งอ๋อง แต่อย่างไรผู้มาก็เป็นแขก จึงย่อมมีความเคารพต่อเจ้าบ้านอยู่บ้าง
เมื่อจู่ๆ ตนถูกเปิดเผยฐานะ ชายจากเป่ยหรงก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาเห็นสตรีสาวงามสง่าในชุดสีฟ้าเดินออกมา รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าก็อ่อนหวานเช่นเดียวกับคุณหนูตระกูลผู้ดีจากต้าฉู่ แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้เขารู้สึกเย็นวาบที่ด้านหลังอย่างบอกไม่ถูก
เขาส่งยิ้มให้เยี่ยหลี เอ่ยว่า “ ที่แท้ก็ชายาติ้งอ๋องนี่เอง พระชายาเรียกว่าแม่ทัพฮูเหยียนอันใดนั่น ข้าน้อยไม่ค่อยเข้าใจ”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ กระโดดขึ้นด้านบนเวทีท่ามกลางสายตาของทุกคน เอ่ยเรียบๆ ว่า “อดีตแม่ทัพฮูเหยียน ยอดนักแม่นธนูแห่งเป่ยหรง พวกเด็กๆ ลูกน้องข้าถึงแม้จะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว แต่ด้วยฐานะของท่านแม่ทัพ การลงมือชี้แนะพวกเขาด้วยตนเอง ก็ดูจะใช้ยอดฝีมือให้ทำงานเล็กเกินไปสักหน่อย ไว้ข้าจะต้องขอบคุณองค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรงให้ดีเสียแล้ว”
ความหมายในคำพูดนั้นก็คือ ฮูเหยียนลี่ว์มีชื่อเสียงโด่งดังมานาน แต่กลับมาท้าทางพลทหารเล็กๆ ของกองทัพตระกูลม่อต่อหน้าชุมชน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย
เยี่ยหลีอมยิ้มมองฮูเหยียนลี่ว์ ในแววตาที่นิ่งสงบมีประกายเย็นวาบน้อยๆ ฮูเหยียนลี่ว์คิดว่า เขาออกจากกองทัพของเป่ยหรงมานานหลายปี ก็จะไม่มีคนจำเขาได้แล้วอย่างนั้นหรือ ต่อให้ผู้อื่นจำเขาไม่ได้ องค์ชายจากเป่ยหรงก็ไม่มีทางจำไม่ได้อย่างแน่นอน
ฮูเหยียนลี่ว์ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อพระชายาต้องการประลอง ข้าน้อยย่อมยินดี เชิญพระชายาเถิด” เขาคิดจะให้นางข้ามเรื่องฐานะของเขาไป
เยี่ยหลีก็ไม่สนใจ ผินหน้าไปมองดาบสั้นฝังอัญมณีที่วางตั้งอยู่กลางเวที ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ของที่เป่ยหรงอ๋องเป็นผู้ประทาน เชื่อว่าคงมิใช่ของธรรมดาๆ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว”
ฮูเหยียนลี่ว์หน้าบึ้งลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ไว้รอให้พระชายาเอาชนะได้ก่อนค่อยว่ากันเถิด”
เขาเบี่ยงตัวหลบพร้อมหยิบคันธนูส่งให้เยี่ยหลี เรื่องคันธนู ฮูเหยียนลี่ว์ก็มิได้เอาเปรียบเยี่ยหลี เขาเองก็มิใช่คนโง่ หากยามนี้เขาเอาคันธนูที่แม้แต่ชายอกสามศอกยังง้างได้ยากไปให้นางต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ผู้คนก็จะคิดไปว่า เขารังแกสตรีอย่างชายาติ้งอ๋อง และตั้งใจกลั่นแกล้งนาง เช่นนั้นสู้เลือกคันธนูที่เหมาะกับนางให้นางพ่ายแพ้ไปเองเสียจะดีกว่า
กับเรื่องฝีมือการยิงธนูแล้ว ฮูเหยียนลี่ว์มีความมั่นใจในตนเองอย่างสูง ย่อมไม่เชื่อว่าสตรีที่บอบบางและดูอ่อนแอตรงหน้าจะมีฝีมือการยิงธนูที่แม่นประหนึ่งจับวาง เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องที่ชายาติ้งอ๋องใช้ธนูเพียงดอกเดียวทำให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นเสียขวัญจนร้องไห้มาแล้ว แต่สำหรับเขา ชายาติ้งอ๋องในยามนั้น แค่เพียงพอฝืนพูดได้ว่านางพอยิงธนูเป็นเท่านั้น
เยี่ยหลีรับคันธนูที่ฮูเหยียนลี่ว์ส่งมาให้ด้วยสีหน้าสบายๆ ลองชักคันธนูเล็กน้อย ก็ยิ้มเอ่ยเรียบๆ ว่า “ธนูดี”
ฮูเหยียนลี่ว์เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจว่า “ธนูของพวกเราชาวเป่ยหรงล้วนเป็นธนูที่ดีทั้งสิ้น”
บนต้นไม้ที่ห่างไปหลายสิบก้าว มีลวดทองแดงแขวนขึ้นใหม่แล้ว ฮูเหยียนลี่ว์เอ่ยว่า “พระชายาจะก้าวเข้าไปใกล้หน่อยแล้วค่อยยิงก็ได้”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณในความหวังดีของแม่ทัพฮูเหยียน”
หากเป็นผู้อื่นไม่แน่ว่าจะรับความหวังดีของฮูเหยียนลี่ว์ไว้จริงๆ แต่เยี่ยหลีกลับรู้ดีว่า การยิงธนูนั้นมิใช่ว่ายิ่งใกล้ก็จะยิ่งยิงได้ดี เช่นสถานการณ์ในยามนี้ หากไปยืนใต้ต้นไม้เสียเลย อย่าว่าแต่คัดเลือกนักธนูหนึ่งคนจากร้อยคนเลย ต่อให้เลือกหนึ่งคนจากหนึ่งหมื่นคนก็ไม่มีทางยิงลวดทองแดงให้ตกลงมาทั้งหมดได้
ภายใต้สายตาของผู้คน เยี่ยหลีสงบนิ่งตั้งแต่ยื่นมือไปหยิบลูกธนูสามดอกขึ้นมาประทับไว้กับหัวไหล่ ก่อนลองง้างคันธนู
ทุกคนพากันกลั้นหายใจ ชายาติ้งอ๋องถึงขนาดคิดจะยิงธนูพร้อมกันทีเดียวสามดอกเลยหรือ
เยี่ยหลีลองง้างคันธนูเพื่อให้คุ้นชิน ขยับปรับตำแหน่งเล็กน้อยก่อนปล่อยมือออกอย่างไม่ลังเล ได้ยินเพียงเสียงลูกธนูวิ่งแหวกอากาศออกไป ประกายสีเงินบนหัวธนูสะท้อนเป็นประกายท่ามกลางแสงจากโคมไฟ วิ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียงลวดทองแดงตกกระทบลงกับพื้นเป็นเสียงกังวานใส
มือเยี่ยหลีไม่หยุดขยับแม้แต่น้อย แม้แต่จะหันไปมองว่ายิงถูกไปกี่เส้นก็ไม่มี นางเอื้อมมือกลับไปหยิบลูกธนูออกมาอีกสามดอก ง้างออก ยิง…
เกิดเสียงกังวานใสดังขึ้นอีกครั้ง ยังไม่ทันตั้งสติกลับมาได้ ก็ได้ยินเสียงเยี่ยหลีง้างคันธนูอีกครั้ง ครานี้นางขดตัวลง คุกเข่าลงกับพื้น ยิงธนูอีกสามดอกเสยขึ้นด้านบน
ชั่วเวลาเพียงพริบตา ธนูสิบดอกก็เหลืออยู่เพียงหนึ่งดอก ทุกคนหันมองไปใต้ต้นไม้ ใต้ต้นไม้มีลวดทองแดงแขวนอยู่อีกห้าเส้น มีหลายคนที่เริ่มร้อนใจแทนเยี่ยหลี การประลองครั้งนี้ไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นเช่นไร ก็ไม่มีทางมีผู้ใดนึกสงสัยในฝีมือการยิงธนูของกองทัพตระกูลม่ออีกแล้ว
ห่างไปไม่ไกล ภายในห้องด้านข้างของหนิงเซียงเก๋อ หน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่ มองลงมาเห็นเวทีประลองที่อยู่ด้านล่างพอดี มีบุรุษสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน สีหน้าที่มองไปยังลานประลองดูหลากหลายและยากจะคาดเดา
“หลีอ๋อง ท่านว่า…ธนูดอกสุดท้ายของชายาติ้งอ๋องจะเป็นเช่นไร”
หลีอ๋องเงยหน้ากระดกสุรารสเลิศในจอกทีเดียวหมด แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “เยี่ยหลีจะแพ้หรือชนะเกี่ยวอันใดกับข้า ชื่อเสียงของกองทัพตระกูลม่อมิใช่ของข้า ดาบเสี้ยวเย่ว์นั่นก็มิใช่ของข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยียหลี่ว์เหยี่ยก็ส่ายหน้าพร้อมถอนใจเอ่ยว่า “ติ้งอ๋องช่างมีบุญวาสนาเหลือเกิน การได้สตรีเช่นนี้เป็นภรรยา ถือว่าชาตินี้โชคดีมากทีเดียว”
ปัง! จอกเหล้าในมือม่อจิ่งหลีวางกระแทกลงกับโต๊ะอย่างแรง จนกาเหล้าและถ้วยจานบนโต๊ะสั่นสะเทือนไปหมด
เยียหลี่ว์เหยี่ยอมยิ้มมองสีหน้าบึ้งตึงประหนึ่งมีเมฆครึ้มมาบดบังของม่อจิ่งหลี เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “จะว่าไป เดิมทีชายาติ้งอ๋องก็เป็นคู่หมั้นที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้แก่หลีอ๋อง ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน…”
เพล้ง…จอกเหล้าในมือม่อจิ่งหลีแตกเป็นเสี่ยงๆ คามือทันที
ภายในอีกห้องหนึ่ง เหลยเถิงเฟิงกับเจิ้นหนานอ๋องก็กำลังจับตาดูเหตุการณ์บนเวทีประลองที่อยู่ตรงข้ามเช่นกัน
เหลยเถิงเฟิงอมยิ้มเอ่ยชื่นชมว่า “ไม่คิดว่าชายาติ้งอ๋องจะพัฒนาขึ้นได้รวดเร็วเช่นนี้ จำได้ว่าเมื่อสองเดือนก่อน แม้แต่จะง้างคันธนู ชายาติ้งอ๋องยังดูไม่ชำนาญเลย เสด็จพ่อ ท่านว่าผู้ใดจะชนะ”
เจิ้นหนานอ๋องประหนึ่งไม่ได้ยินที่เขาพูด เอาแต่จับจ้องไปยังสตรีในชุดสีฟ้าที่อยู่บนเวทีเท่านั้น นัยน์ตามีประกายประหลาด
เหลยเถิงเฟิงเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงมิได้พูดอันใดต่อ หลุบตาลงเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
บนเวทีประลอง ฮูเหยียนลี่ว์จับจ้องไปยังสตรีในชุดสีฟ้าตรงหน้า และพยายามบดบังความตระหนกที่เกิดขึ้นในใจ “ชายาติ้งอ๋อง นี่เป็นลูกธนูดอกสุดท้ายแล้ว”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ค่อยๆ หยิบลูกธนูขึ้นมา ครานี้นางกลับไม่รีบร้อน ค่อยๆ กระทับธนูขึ้นเล็งอย่างละเอียด
ทุกคนต่างกลั้นหายใจ จ้องมองลวดทองแดงที่เหลืออยู่บนต้นไม้เพียงไม่กี่เส้น ก็เห็นว่าเยี่ยหลีกระโดดขึ้นจากพื้นขึ้นไปหยุดบนโต๊ะเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดลอยตัวขึ้นด้านบน แล้วง้างธนูกลางอากาศและยิงออกไปอย่างรวดเร็ว ฟุบ…
ลูกธนูปักลงบนต้นไม้ใหญ่ ทุกคนต่างมองไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ว่างเปล่าวด้วยสีหน้านิ่งตะลึง ลวดทองแดงที่เคยแขวนอยู่บนต้นไม้หายวับไปจนไม่มีเหลือ คนที่มีสายตาแหลมคมมองเห็นว่ายังมีเชือกยาวบ้างสั้นบ้างแขวนอยู่ใต้ต้นไม้เช่นเดิม
ธนูดอกสุดท้ายของชายาติ้งอ๋องยิงถูกลวดเส้นเล็กๆ บางๆ ได้ถึงห้าเส้นพร้อมกันจริงๆ ฝีมือการยิงธนูและสายตาที่เฉียบคมเช่นนี้จะไม่ให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร
เยี่ยหลีหันกลับไปมองฮูเหยียนลี่ว์ที่ใบหน้าขาวซีด ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “กติกาเดียวกัน หากแม่ทัพฮูเหยียนสามารถทำได้เช่นเดียวกันนี้ ก็จะถือว่าข้าแพ้!”
ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นทันที ก่อนหน้านี้เป็นฮูเหยียนลี่ว์ที่จัดเวทีประลองขึ้นท้าทายทุกคน แต่มายามนี้ สถานการณ์กลับกลายเป็นว่าชายาติ้งอ๋องเอ่ยท้าทายฮูเหยียนลี่ว์ นักแม่นธนูอันดับหนึ่งแห่งเป่ยหรงต่อหน้าทุกคน
ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ อวิ๋นถิงที่เมื่อครู่ยังทำหน้านิ่ง เวลานี้กลับดูคึกคักขึ้นผิดหูผิดตา “ว่าอย่างไรแม่ทัพฮูเหยียน คงมิใช่ว่าท่านไม่กล้ารับคำท้าของพระชายาเราหรอกกระมัง”
ฮูเหยียนลี่ว์หน้าถอดสีลงทันที เขาไม่กล้าจริงๆ
ที่ฮูเหยียนลี่ว์เมื่อได้ชื่อว่าเป็นนักแม่นธนูอันดับหนึ่งของเป่ยหรง แสดงว่าเขาย่อมมีความสามารถอยู่พอตัว วิธีการยิงธนูอย่างเยี่ยหลีเมื่อครู่ หากให้เวลาเขาสักหน่อย บางทีเขาอาจจะทำได้ แต่เขาในยามนี้ไม่สามารถทำได้จริงๆ เขาสามารถยิงธนูทีละดอก และรับประกันว่าสามารถยิงลวดทองแดงทั้งหมดให้ตกลงได้ แต่เขาไม่อาจควบคุมการยิงธนูทั้งสามดอกพร้อมกันให้ไปถูกลวดทองแดงทีเดียวเจ็ดแปดเส้น หรือมากกว่านั้นได้ ดูเหมือนเยี่ยหลีจะรู้ถึงข้อนี้ จึงมิได้ตั้งกติกาให้เขายากเช่นนี้
“แม่ทัพฮูเหยียน?” เยี่ยหลีอมยิ้มเรียกเตือน
“ข้าน้อยขอยอมแพ้!” ฮูเหยียนลี่ว์กัดฟันเอ่ย
ด้านล่างเวทีเกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที
เยี่ยหลีเดินไปกลางเวทีประลอง หยิบดาบที่วางอยู่บนแท่นวางขึ้นมาดึงออก ลมเย็นวูบหนึ่งพัดเข้าใส่หน้าทันที แสงจากตัวดาบเป็นเงาวาววับสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน คมดาบทั้งคมกริบและเย็นเยียบ ยิ่งทำให้รู้ว่าดาบเล่มนี้เคยดื่มเลือดคนมาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน
เยี่ยหลีเพียงวาดคมดาบเล่นๆ แท่นที่วางดาบตรงหน้าก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที เยี่ยหลีเก็บดาบเข้าฝัก เอ่ยชมว่า “เป็นดามที่ดีจริงๆ เช่นนั้นก็ขอบคุณแม่ทัพฮูเหยียนมากแล้ว”
เมื่อเห็นเยี่ยหลีเก็บดาบเข้าแขนเสื้อ ฮูเหยียนลี่ว์ก็สีหน้าดำคล้ำแต่มิอาจพูดอันใดได้ ทำได้เพียงมองเยี่ยหลีลงจากเวทีประลองไปพร้อมกับดาบที่เขาภาคภูมิใจนักภาคภูมิใจหนา