ข่าวที่กองทัพตระกูลม่อประกาศตัดขาดกับต้าฉู่ ขจรกระจายไปรวดเร็วประหนึ่งลมหอบ ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ข่าวนี้ก็แพร่ไปถึงทั่วทั้งต้าฉู่และแคว้นต่างๆ โดยรอบ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ม่อจิ่งฉีคาดเดาไว้อย่างแน่นอน ซึ่งมิได้มีเพียงชาวบ้านสามัญชนและบัณฑิตที่รู้สึกว่าตนถูกหลอกลวงจนทำให้ไม่พอใจราชสำนักเป็นอย่างมากเท่านั้น แต่แม้แต่ท่านอ๋องที่ได้รับคำสั่งให้ไปอยู่ตามที่ต่างๆ ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบริเวณชายแดนที่ติดกับแคว้นต่างๆ ก็เริ่มมีการเคลื่อนทัพกันบ่อยครั้งขึ้นอีกด้วย
ไม่ต้องพูดถึงแคว้นอย่างเป่ยหรงที่มีการคิดทำอันใดเช่นนี้ แต่แม้แต่ชนเฝ่าเล็กๆ กลุ่มหนึ่งทางตอนเหนือ ก็เริ่มมีการเคลื่อนทัพเข้ามาท้าทายที่บริเวณชายแดนอยู่เป็นพักๆ อีกด้วย
บัณฑิตและขุนนางบางคนในเมืองหลวงอาจยังก่นด่าพวกเขาด้วยความโกรธแค้นอยู่บ้าง แต่ชาวบ้านที่อยู่บริเวณชายแดนของต้าฉู่ทั้งหลาย กลับสัมผัสได้แล้วว่า การสูญเสียกองทัพตระกูลม่อไปนั้น มีความหมายเช่นไรกับต้าฉู่
“ม่อซิวเหยา! ไอ้ม่อซิวเหยาตัวดี…ไอ้ตำหนักติ้งอ๋องตัวดี! ต้องมีสักวันที่ข้าจะได้ฆ่าล้างโคตรเจ้า!” ภายในห้องทรงพระอักษร ม่อจิ่งฉีทำลายเครื่องเรือนทั้งหลายที่วางประดับอยู่ในห้องจนพังพินาศไปหมด ครานี้เขาถูกม่อซิวเหยาเล่นงามจนไม่เหลือกำลังแรงจะไปต่อสู้กับเขาเลยแม้แต่น้อย
ม่อซิวเหยาขว้างสายฟ้าฟาดลูกใหญ่ลงมาในงานเลี้ยงครบเดือนของบุตรชายตน กว่าข่าวจะส่งมาถึงเมืองหลวง ก็แทบจะแพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้ว อย่าว่าแต่ม่อจิ่งฉีคิดอยากโต้แย้งหรือตอบโต้เลย ทุกวันนี้ยามออกว่าราชการ ก็จะมีบัณฑิตจำนวนมากที่รวมตัวกันยื่นหนังสือถึงเขา ฎีกาที่ว่านั่นหากบอกว่าเป็นหนังสือ สู้เรียกว่าเป็นการไต่สวนเสียจะเหมาะกว่า แต่กระนั้นหลักฐานที่ซีเป่ยใช้ในการยืนยันข้อเท็จจริงนั้น ก็แน่นหนาเสียจนไม่มีรูรั่วเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เขาแก้ตัวอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
ทุกวันนี้เพียงแค่เห็นฎีกาที่พับมา ม่อจิ่งฉีก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาตุบๆ แล้ว พวกบัณฑิตและชาวบ้านเหล่านี้ก็ถูกความโกรธเกรี้ยวจากการที่ถูกประมุขของตนหลอกลวง และความเป็นกังวลที่ต้องเสียกองทัพตระกูลม่อไป ทำให้พากันลืมเลือนไปหมดว่า การที่ตำหนักติ้งอ๋องประกาศแยกตัวออกจากต้าฉู่นั้น มีประเด็นในเรื่องศีลธรรมและความถูกต้องแฝงอยู่
“ใครก็ได้! ถ่ายทอดราชโองการข้าลงไป รีบเคลื่อนทัพจำนวนห้าแสนนายไปปราบกบฏม่อซิวเหยาบัดเดี๋ยวนี้!” ม่อจิ่งฉีที่โกรธเกรี้ยวจนหัวหมุนไปหมด ตะโกนเสียงดังขึ้นมาด้วยความโกรธ
ยามนี้เขาไม่คิดจะใคร่ครวญอันใดอีกแล้ว เขาเพียงต้องการสังหารกองทัพตระกูลม่อให้สิ้นซาก และกวาดล้างตำหนักติ้งอ๋องไม่ให้เหลือหรอ เพื่อมาดับความแค้นในจิตใจของเขาเท่านั้น
เสนาบดีหลิ่วที่ยืนหลบมุมอยู่ มองอาการคลุ้มคลั่งของม่อจิ่งฉีแล้วถึงกับขมวดคิ้ว ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยโน้มน้าวว่า “ฝ่าบาท ยามนี้คนของเป่ยหรงกำลังจ้องตาเป็นมันอยู่ที่ชายแดน พื้นที่ที่ติดต่อกับซีหนานและซีหลิงก็ไม่สงบเรียบร้อยนัก อีกอย่าง…ติ้งอ๋อง…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ม่อจิ่งฉีเอ่ยขัดเขาทันทีว่า “มันคือกบฏม่อซิวเหยา!”
เสนาบดีหลิ่วพยักหน้า “ม่อซิวเหยาส่งกองกำลังทหารจำนวนสองแสนนายไปประจำการอยู่ที่ด่านเฟยหง หากพวกเราคิดจะ…เกรงว่าคงจะไม่ง่ายเช่นนั้น ขอฝ่าบาทได้โปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ทหารกองทัพตระกูลม่อภายในเขตซีเป่ย อย่างน้อยๆ มีอยู่กว่าสี่แสนนาย ถึงแม้กำลังทหารของต้าฉู่จะมีมากกว่ากองทัพตระกูลม่ออยู่หลายเท่า แต่คนที่สามารถต่อกรกับกองทัพตระกูลม่อกลับมีอยู่ไม่มากนัก หรือหากคิดอยากกวาดล้างซีเป่ย ต้าฉู่คงต้องเดิมพันด้วยแคว้นทั้งแคว้น แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้มค่า
ม่อจิ่งฉีมีหรือจะไม่รู้ถึงเหตุผลข้อนี้ แต่ด้วยเพราะเขารู้ถึงเหตุผลข้อนี้ จึงยิ่งทำให้เขาโกรธแค้นเข้าไปใหญ่
“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้หมด!” ม่อจิ่งฉีตะโกนออกมาด้วยความโกรธ พร้อมหยิบของบนโต๊ะที่อยู่ใกล้มือมาขว้างลงไปด้วย
เสนาบดีหลิ่วอายุอานามก็เท่านี้แล้ว ถึงแม้แท่นฝนหมึกที่ลอยมาจะไม่ถูกตัวเขา แต่ก็ยังตกใจไม่น้อย เขาหันมองม่อจิ่งฉีที่ยืนเอามือเท้าโต๊ะอยู่ด้วยใบหน้าโกรธจัด แววตาเสนาบดีหลิ่วขรึมลงเล็กน้อย ก่อนรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีรับจดหมายที่จั๋วจิ้งยื่นมาให้พร้อมเลิกคิ้ว จดหมายนี้เป็นจดหมายที่ถานจี้จือให้คนนำมาให้ แน่นอนว่าส่งมาเพื่อเตือนให้เยี่ยหลีปล่อยตัวซูม่านหลินที่ถูกพวกนางคุมตัวเอาไว้นานแล้วออกมาเสียที
ถึงแม้เสิ่นหยางกับท่านหมอหลินได้ช่วยกันพิสูจน์แล้วว่า ดอกปี้ลั่วที่นำกลับมาจากเมืองหลวงเป็นของจริง แต่ก่อนที่จะค้นคว้าตัวยาออกมาได้นั้น เยี่ยหลีก็ยังคงกักตัวซูม่านหลินไว้ไม่ยอมปล่อยออกไป
จั๋วจิ้งเอ่ยถามว่า “พระชายา จะตอบกลับจดหมายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีอมยิ้ม พับจดหมายเก็บกลับเข้าซองจนเรียบร้อย แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “บอกถานจี้จือไปว่า มิใช่ว่าข้าไม่ยอมปล่อยตัวนาง แต่เพราะในยามนี้องค์หญิงอันซีแห่งหนานจ้าวมาเป็นแขกอยู่ที่เมืองหลี หากนางเกิดรู้เข้าว่าธิดาเทพแห่งหนานเจียงมาอยู่เสียที่นี่ คงจะไม่ดีนัก บอกให้เขาช่วยรอไปอีกสักพัก ขอเพียงองค์หญิงอันซีไปจากซีเป่ยแล้ว ข้าจะปล่อยตัวนางทันที บอกเขาได้โปรดวางใจ หลายเดือนที่ผ่านมานี้ พวกเรามิได้ทำอันใดไม่ดีต่อซูม่านหลินแม้แต่น้อย”
จั๋วจิ้งพยักหน้า หยุดคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามว่า “หลายวันนี้ ผู้มีอิทธิพลจากทุกฝ่ายลอบกระจายคนออกไปทั่วซีเป่ย แม้แต่ที่ตำหนักติ้งอ๋องเองก็มีมาไม่หยุดหย่อน พวกเราควรปล่อยข่าวเรื่องแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นออกไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “มิเช่นนั้นข้าจะบอกว่าพบถานจี้จือในซีเป่ยไปไย กระจายข่าวออกไปเถิด เรื่องฐานะของถานจี้จือและที่อยู่ของแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น อีกอย่าง…บอกว่าที่เขามาซีเป่ยในยามนี้ก็เพื่อมาเอาแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นและสมบัติลับ ในเมื่อเดิมทีข่าวนี้เป็นข่าวที่เขาปล่อยออกมา ยามนี้ก็ให้เขารับมือเองก็แล้วกัน”
จั๋วจิ้งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พระชายาหลักแหลมนักพ่ะย่ะค่ะ” แค่เพียงจินตนาการภาพว่าถานจี้จือถูกผู้มีอิทธิพลจากรอบด้านไล่ตามทั้งอย่างลับๆ และอย่างโจ่งแจ้งแล้ว จั๋วจิ้งก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที การเห็นผู้อื่นโชคร้ายช่างง่ายต่อการทำให้อารมณ์ดีเสียจริง
“พระชายา ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…บัณฑิตขี้โรคจากสำนักเยี่ยนอ๋องมาปรากฏตัวที่ซีเป่ยพ่ะย่ะค่ะ เข้าเมืองมาตั้งแต่ตอนเช้าวันนี้ และเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยเรื่องถานจี้จือจบ จั๋วจิ้งก็เปลี่ยนหัวข้อไปอีกเรื่องหนึ่งทันที
แน่นอนว่า บัณฑิตขี้โรคเป็นคนสำคัญที่ตำหนักติ้งอ๋องจะต้องคอยจับตาดูให้ดี ไม่ว่าด้วยนิสัยของเขาหรือความแค้นที่เขามีต่อตำหนักติ้งอ๋อง หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าหลิงเถี่ยหานรวมถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างหลิงเถี่ยหานกับสวีเชิงเฉินแล้ว เยี่ยหลีก็ไม่รังเกียจที่จะลงมือสังหารคนผู้นี้ก่อนอย่างแน่นอน
“ส่งคนไปจับตาดูเขาไว้ แล้วก็ไปบอกบัณฑิตขี้โรคว่า หากเขาทำอันใดที่ไม่ควรทำให้เมืองหลี อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้าสำนักเยี่ยนอ๋อง”
จั๋วจิ้งรับคำแล้วถอยออกไป
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว คิดถึงเรื่องที่ได้ดอกปี้ลั่วมาจากเมืองหลวงกว่าครึ่งเดือนแล้ว เสิ่นหยางกับท่านหมอหลินปิดประตูศึกษาเรื่องนี้กันโดยที่ไม่ออกไปที่ใด ไม่รู้ว่าจะได้ผลลัพธ์ออกมาเมื่อใด ถึงแม้ตามปกติจะดูไม่ออกว่าม่อซิวเหยามีตรงใดที่ไม่ปกติ แต่เยี่ยหลีก็ยังรู้ดีว่าด้วยพิษในร่างกายและอาการบาดเจ็บเก่าๆ เหล่านั้น ม่อซิวเหยาไม่มีทางสบายดีสักเท่าไรอย่างแน่นอน
เมื่อคิดแล้ว เยี่ยหลีก็ลุกขึ้นเดินออกไปทางเรือนที่เสิ่นหยางและท่านหมอหลินพักอยู่ทันที
เมื่อเข้าไปก็ได้ยินเสียงเสิ่นหยางกับท่านหมอหลินกำลังทุ่มเถียงกันอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน ยามปกติเสิ่นหยางมักสำรวมท่าทางประหนึ่งบัณฑิต ต่อให้บางครั้งจะมีปากจัดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีทางที่จะพูดกับผู้ใดโดยไม่รักษากิริยาเช่นนี้
ส่วนท่านหมอหลินที่แม้จะมีนิสัยประหลาด แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกันมาเป็นเวลาหลายเดือน เยี่ยหลีก็ไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นในยามนี้ที่แทบจะม้วนแขนเสื้อขึ้นต่อยตีกับผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน
เมื่อก้าวเข้าไปในบริเวณเรือน เยี่ยหลีก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านเสิ่น ท่านอาจารย์ นี่ท่านทั้งสองเป็นอันใดกันหรือ”
เสิ่นหยางส่งเสียงหึ ก่อนเชิดคางขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งว่า “ข้าหมอเทวดามีความรู้ความอ่านไม่เหมือนหมอที่มาจากป่าจากเขา”
ท่านหมอหลินเองก็ไม่เกรงใจ มองค้อนเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจและดูแคลนเป็นที่สุด “เป็นหมอจากป่าจากเขาต่างหากที่ไม่อยากมีความรู้ความอ่านเช่นเจ้า ยึดติดกับอันใดผิดๆ แล้วยังกล้าเรียกตนเองว่าหมอเทวดาอีก? หลายปีมานี้คงมีคนที่เจ้ารักษาตายไปหลายคนแล้วกระมัง”
เสิ่นหยางหัวร้อนขึ้นมาทันที ถลึงตัวขึ้นมาเอ่ยด้วยความโกรธว่า “ตาแก่หลิน! เจ้าอย่าคิดว่าแก่แล้วข้าจะไม่กล้าทำอันใดเจ้านะ! นี่เจ้าถึงขั้นกล้าใส่ร้ายจรรยาบรรณหมอของข้าเชียวหรือ!”
ท่านหมอหลินยิ้มเยาะ “ข้ากลัวเจ้าหรือไร เมื่อวานที่ท้องเสียไป ยังไหวอยู่กระมัง”
เยี่ยหลีอดปิดหน้าลอบหัวเราะไม่ได้ สุภาษิตว่าไว้ เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เรือนหลังนี้ก็คงมีหมอเทวดาสองคนอยู่ร่วมกันไม่ได้เช่นกัน คราแรกทั้งสองคนยังพูดคุยกันด้วยความเสียดายว่าน่าจะรู้จักกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เหตุใดผ่านมาไม่ทันกี่เดือน กลับถึงขั้นวางยากันเสียแล้ว
นางรีบคว้าตัวทั้งสองที่กำลังจะลงมือเข้าใส่กันไว้ “ท่านเสิ่น เย็นไว้ เย็นไว้ ท่านอาจารย์…ไม่โกรธ ไม่โกรธ มีอันใดพูดกันดีๆ”
ท่านหมอหลินส่งเสียงหึเบาๆ มองค้อนเสิ่นหยางแล้วเอ่ยว่า “เห็นแก่หน้าชายาติ้งอ๋องหรอกนะ ข้าจะไม่ถือสาเจ้า”
เสิ่นหยางส่งเสียงหึดังเสียยิ่งกว่าเขา สะบัดมือประคองแขนเสื้อ แล้วกลับมารักษากิริยาเยี่ยงบัณฑิตของตนเช่นเดิม ก่อนหันไปเอ่ยถามว่า “พระชายามีเวลามาที่นี่ได้อย่างไร”
เยี่ยหลีไม่ตอบ หากข้ายังไม่มา พวกท่านสองคนจะไม่ทำจนอีกฝ่ายตายกันไปข้างหนึ่งหรอกหรือ
อันที่จริงเยี่ยหลีคิดมากไปเอง ช่วงหลายวันมานี้ ทั้งสองคนมักมีความเห็นไม่ตรงกันอยู่เสมอ บ่าวไพร่ในเรือนต่างเห็นกันจนชินเสียแล้ว พอเห็นพวกเขาเริ่มจะทะเลาะกัน ก็ต่างหลบหลีกกันไปไกลด้วยกลัวจะโดนลูกหลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดเอาอีกฝ่ายจนถึงตาย
ทั้งสามพากันนั่งลง เสิ่นหยางมองเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจดีว่าที่พระชายามานี้ด้วยเหตุอันใด”
เยี่ยหลีพยักหน้า ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เช่นนั้นเชื่อว่าท่านเสิ่นกับท่านอาจารย์คงพอมีความคืบหน้าแล้ว?”
เสิ่นหยางกับท่านหมอหลินหันมองอีกฝ่าย ก่อนต่างฝ่ายต่างระบายลมหายใจออกมา ที่พวกเขาทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้ก็ด้วยเพราะมีความคืบหน้า แต่ความเห็นของทั้งสองฝ่ายกลับไม่อาจเห็นพ้องต้องกันได้ และกระนั้นก็ไม่มีฝ่ายใดที่สามารถเอ่ยโน้มนาวใจอีกฝ่ายได้
สูตรยาที่ใช้ดอกปี้ลั่วนี้ หายสาบสูญไปเกือบพันปีแล้ว อีกทั้งยังเป็นสูตรที่ซับซ้อนมาก และในสูตรยังมีหลายจุดที่เขียนไว้เหมือนจะใช่ แต่ก็ไม่น่าใช่ และหากมีตรงใดผิดพลาดไปแม้สักเล็กน้อย ผลลัพธ์ที่ออกมาคงมิอาจคาดเดาได้
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ท่านเสิ่นพูด เยี่ยหลีก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นางเข้าใจดีว่า ทุกสิ่งในโลกไม่มีอันใดที่สามารถแก้ไขได้ง่ายดายเพียงนั้น และยิ่งไม่ต้องพูดถึงสูตรยาที่หายสาบสูญไปแล้วเป็นพันปี อีกทั้งดอกปี้ลั่วก็มิใช่ตัวยาที่สามารถพบได้ทั่วไป จึงไม่มีโอกาสให้ทดลองยาก่อนอยู่แล้ว
“ท่านเสิ่นกับท่านอาจารย์มีความเห็นเช่นไรกันหรือ” เมื่อเก็บความผิดหวังที่ผุดขึ้นมาในใจของตนไปแล้ว เยี่ยหลีก็เอ่ยถามขึ้น
เสิ่นหยางมองเยี่ยหลีด้วยความชื่นชม ก่อนเอ่ยว่า “ใช้วิธีที่ค่อนข้างดั้งเดิม ใช้ดอกปี้ลั่วผสมลงไปในตัวยาให้สามารถควบคุมพิษร้อนและเย็นในกายท่านอ๋องไว้ชั่วคราว สามารถรับประกันได้ว่า ภายในระยะเวลาหลายปี ท่านอ๋องจะปลอดภัยไม่เป็นอันใด”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ปฏิเสธวิธีการของเสิ่นหยาง ขอเพียงเป็นคนที่มีสายตาที่แหลมคนก็จะรู้ได้ทันทีว่า ช่วงเวลาหลังจากนั้นจะไม่สงบเรียบร้อยอย่างแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของม่อซิวเหยาเกิดปัญหาขึ้นมาอีก เช่นนั้นสู้ให้กองทัพตระกูลม่อและคนในตำหนักติ้งอ๋องตายไปเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ยังจะสบายกว่า อีกอย่าง ในโลกนี้ยังมีที่ใดมีดอกปี้ลั่วให้ไปหาอีกหรือ
เยี่ยหลีนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ แล้วถึงเอ่ยว่า “สุขภาพของท่านอ๋องยามนี้ยังไม่เป็นอันใด รบกวนท่านทั้งสองช่วยศึกษาต่อก็แล้วกัน”
อันที่จริงทั้งสองก็มิได้อยากใช้วิธีการรักษาแบบดั้งเดิมเช่นเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าเอาชีวิตของม่อซิวเหยามาล้อเล่นจริงๆ เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ จึงย่อมตอบรับโดยทันที
เมื่อออกจากเรือนเสิ่นหยาง จิตใจเยี่ยหลีห่อเ**่ยวเล็กน้อย ระหว่างที่เดินทอดน่องช้าๆ ไปตามระเบียงทางเดิน จู่ๆ เยี่ยหลีก็หยุดฝีเท้าลง หันไปเอ่ยเสียงขรึมว่า “ฉินเฟิง ไปเชิญบัณฑิตขี้โรคมาที ข้าอยากพบเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยรับบัญชา”
ในด้านศาสตร์ยาพิษ บัณฑิตขี้โรคถือได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ในด้านวิทยายุทธ ด้วยเพราะเหตุผลด้านสุขภาพ ทำให้ทำอันใดไม่ได้อย่างที่ใจคิด ในเมื่อฉินเฟิงรู้ถึงความพิเศษและจุดอ่อนของเขา หากหน่วยกิเลนต้องการเชิญใครคนหนึ่งมาเป็นแขก ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก