เฟิ่งจือเหยายกมุมปากขึ้นยิ้ม มองบรรดานักฆ่าที่อยู่ตรงข้าม เอ่ยกลั้วยิ้มขึ้นลอยๆ ว่า “อันที่จริงนอกจากนักฆ่าชั้นเลวแล้ว ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ต้องปิดหน้าทั้งที่กลางวันแสกๆ”
เยี่ยหลีอมยิ้มถามต่อว่า “ผู้ใดกัน”
เฟิ่งจือเหยายิ้ม “คนที่ให้คนเห็นหน้าไม่ได้ เช่นว่า…องครักษ์ในวัง!”
นักฆ่าทุกคนพากันเงียบกริบ แต่ก็มิอาจปกปิดแววตระหนกตกใจในแววตาได้มิด
ม่อซิวเอามือไพล่หลังก้าวออกมาด้านหน้า มองเหล่านักฆ่าที่ปิดล้อมพวกตนไว้ แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “องครักษ์ในวัง? ที่ม่อจิ่งฉีทำเช่นนี้เพราะอยากปกปิดหลักฐานสินะ ทำเกินจำเป็นไปจริงๆ”
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ก็ใช่น่ะสิ ตำหนักติ้งอ๋องของพวกเราตัดขาดความสัมพันธ์กับต้าฉู่แล้ว หากม่อจิ่งฉีคิดอยากฆ่าท่านอ๋องของพวกเรา ก็สามารถส่งคนมาได้อย่างเปิดเผย เช่นเดียวกับเมื่อครู่ที่ในเมือง ก็ดีออกมิใช่หรือ เหตุใดจะต้องทำลับๆ ล่อๆ ด้วย เพียงแต่ว่า…”
ฉินเฟิงเอ่ยเสียงเย็น “พวกเราคงคิดว่าต้าฉู่คิดอยากท้าทายกองทัพตระกูลม่อ”
เหล่านักฆ่าเกิดความลังเลขึ้นเล็กน้อย คนที่เป็นหัวหน้ายกดาบในมือขึ้นชี้ไปทางม่อซิวเหยา เอ่ยเสียงเข้มว่า “ท่านติ้งอ๋อง ไม่ต้องพูดให้มากความไป พวกเราได้รับพระบัญชามา หากไม่สามารถนำศีรษะของท่านอ๋องและพระชายากลับไปได้ พวกเราก็ต้องหัวหลุดจากบ่า ล่วงเกินแล้ว!”
พูดจบ เขาก็โบกมือให้ทุกคนพุ่งตัวเข้าใส่ม่อซิวเหยาทันที
ม่อซิวเหยาสีหน้านิ่งเรียบ เพียงแค่ยกมือขึ้นสะบัดแขนเสื้อ ลมแรงหอบใหญ่ก็พักนักฆ่าสองคนกระเด็นออกไปทันที
พอม่อซิวเหยาเริ่มลงมือ คนอื่นๆ ย่อมไม่อยู่เฉย แล้วทันใดนั้นเอง เสียงฆ่าฟันบนถนนหลวงก็ดังสนั่นขึ้นทันที
เมื่อนักฆ่าหลายคนรุมกันเข้ามาทำร้ายม่อซิวเหยาไม่สำเร็จ จึงคิดเปลี่ยนเป้าหมายไปยังเยี่ยหลีที่ม่อซิวเหยาปกป้องอยู่ในอ้อมแขน และยังมิได้ลงมือออกแรงเลยแม้สักน้อย
นักฆ่าสี่คนร่วมมือกันโจมตีอย่างหนักหน่วงเข้าใส่ม่อซิวเหยาเพื่อหันเหสมาธิของเขา ส่วนนักฆ่าอีกสองคนอาศัยจังหวะนั้นพุ่งดาบเข้าใส่เยี่ยหลี
เยี่ยหลีที่ม่อซิวเหยากอดเอาไว้อยู่ในอ้อมแขน เดิมทีก็มีพื้นที่ในการเคลื่อนตัวไม่มากนักอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าดาบสองเล่มนั้นใกล้จะแทงถูกเยี่ยหลี ในใจนักฆ่าที่ถือดาบอยู่ก็ลิงโลดขึ้นทันที แต่ทันใดนั้นๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นที่หน้าอก ชายาติ้งอ๋องที่ควรจะอยู่ในอ้อมแขนของม่อซิวเหยายามนี้ไม่รู้ไปอยู่เสียที่ใดแล้ว แต่บนหน้าอกของตนกลับมีกริชเล่มหนึ่งสะท้อนเป็นประกายเสียบปักอยู่ มือที่เรียวยาวประหนึ่งหยกจับแน่นอยู่ที่ปลายกริช ก่อนดึงออกอย่างไม่ลังเล
หยาดเลือดสาดกระเซ็นออกมาทันที สายตาของนักฆ่าที่ค่อยๆ ล้มลง มองหญิงงามที่อ่อนหวานราวสตรีที่สง่างามที่สุดของเมืองหลวงอย่างชายาติ้งอ๋องที่ในมือถือกริชที่อาบเลือดของตนอยู่ด้วยสายตาพร่าเลือน แล้วนางก็หมุนตัวหลบดาบอีกเล่มหนึ่งที่พุ่งตรงเข้ามา ประหนึ่งลมสีเขียวอ่อนที่พัดผ่านไป แล้วก็เช่นกัน บนลำคอของเขามีรอยแผลสีแดงยาวปรากฏขึ้นทันที
ชั่วเวลาเพียงแค่ดีดนิ้ว ก็สังหารนักฆ่าไปได้แล้วสองคน เยี่ยหลีสะบัดเลือดที่ติดอยู่บนกริชพลางขมวดคิ้ว หลายปีนี้อ่อนซ้อมไปสักหน่อยจริงๆ จึงออกอาวุธได้ไม่คล่องแคล้วนัก ดูท่าแม้ในชาตินี้นางจะศึกษาเล่าเรียนวิชาตัวเบาและกำลังภายใน แต่เกรงว่าอย่างไรก็คงกลับไปเป็นเหมือนสมัยที่รุ่งเรืองอย่างเมื่อชาติที่แล้วไม่ได้อีก แต่เมื่อ…เงยหน้าขึ้นไปเห็นว่าม่อซิวเหยาที่อยู่ห่างไปไม่ไกลจัดการนักฆ่าที่อยู่โดยรอบได้พอสมควรแล้ว เยี่ยหลีก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ ในชาตินี้อย่างไรก็ไม่เป็นเช่นในอดีต ต่อให้ไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเมื่อชาติที่แล้วสมัยที่ยังรุ่งเรืองได้ ก็คงไม่เป็นไรกระมัง
เมื่อม่อซิวเหยาจัดการนักฆ่าที่อยู่ใกล้เขากับเยี่ยหลีไปแล้ว ก็มิได้ลงมืออีก องครักษ์ที่อยู่รอบๆ ต่างก็ดึงนักฆ่าให้ออกห่างจากท่านอ๋องและพระชายา ดังนั้นพวกเขาทั้งสองนอกจากต้องออกแรงจัดการนักฆ่าที่เล็ดรอดออกมาได้คนสองคนแล้ว ก็ถือว่าเป็นสองคนที่สบายที่สุด ณ ที่นั้น
“พวกมันกำลังถ่วงเวลา” เยี่ยหลีหันมององครักษ์โดยรอบที่ติดพันอยู่กับนักฆ่าเหล่านั้น แล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “พวกมันคงคิดไม่ถึงว่าเจ้าเศษสวะกวานถิ่ง จะปล่อยให้พวกเราออกจากเมืองเล็กๆ แห่งนั้นมาได้ ครานี้เมื่อกำลังคนไม่พอ ก็ทำได้เพียงต้องถ่วงเวลาไว้”
หากคิดอยากจะต่อกรกับองครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีหน่วยกิเลนรวมอยู่ด้วย หากไม่มีกำลังมากกว่าสักสามหรือห้าเท่า ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ คนจำนวนเพียงร้อยกว่าคนที่มานี้ ยังไม่พอให้ต้องต่อสู้จนกัดฟันเลยด้วยซ้ำ
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเขา “ท่านกำลังคิดว่า…”
ม่อซิวเหยายิ้มเยาะ “รอ หากไม่ให้บทเรียนกับม่อจิ่งฉี เขาก็คงไม่รู้จักว่าคำว่าหยุด ถึงแม้พวกเราจะไม่เกรงกลัวเขา แต่หากมียุงหรือแมลงวันมากเกินไป ก็คงน่ารำคาญนัก”
เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ เชื่อว่าในใจเขาคงมีแผนที่คิดไว้ก่อนแล้ว เยี่ยหลีจึงมิได้พูดอันใดให้มากความอีก เพียงเอนตัวพิงม้ามองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
ม้าของตำหนักติ้งอ๋องทุกตัว ล้วนเป็นม้าชั้นเลิศที่คัดสรรมาแล้วอย่างดี ถึงแม้ยามนี้บนถนนหลวงจะมีการสู้รบกันทั่วไปหมด ม้าเหล่านั้นก็เพียงวิ่งไปยังผืนหญ้าด้านข้าง ยืนกินหญ้าอยู่อย่างสงบ โดยที่ไม่ตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย ม้าบางตัวถึงขั้นยืนอยู่บนถนนเช่นเดิม รอจังหวะเหยียบนักฆ่าในชุดดำที่ถูกอัดล้มลงกับพื้นเสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้บรรดานักฆ่าจะพยายามถ่วงเวลากันอย่างเต็มที่ แต่ก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อกับอีกเล็กน้อยเท่านั้น นักฆ่าทั้งหมดก็ล้มลงไปนอนกับพื้นเสียแล้ว
องครักษ์ที่ติตามม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีลงใต้มา หลายวันนี้พวกเขาต้องอดทนกับการที่ถูกผู้คนจับตามองไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดมาพอแล้ว วันนี้พอได้ขยับเขยื้อนร่างกายสักหน่อย ย่อมมีบ้างที่จะยั้งมือไม่อยู่ จนเมื่อหยุดมือลงแล้ว บนใบหน้ายังมีแววพร่ำบ่นว่าคู่ต่อสู้อ่อนหัดเกินไป ยังไม่หนำใจพออีกด้วย
ม่อซิวเหยาย่อมมิอาจหยุดรอให้อีกฝ่ายเข้ามาหาได้จริงๆ คณะเดินทางจึงจำต้องออกเดินทางต่อไป ส่วนศพที่กองเกลื่อนอยู่บนถนนหลวง กลับไม่มีผู้ใดสนใจ เพราะถึงอย่างไรชาวบ้านทั่วไปก็ไม่มีทางใช้ถนนหลวงอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ผู้ใดตกใจ
จนวันต่อมาที่คณะเดินทางใกล้ถึงท่านซุ่ยเสวี่ยเข้าไปทุกที พวกเขาก็ยังคงไม่เห็นว่ามีคนตามมาอีก ต่อให้บอกว่าคนของม่อจิ่งฉีทำงานเชื่องช้าเพียงไร ก็ไม่ควรจะล่าช้าถึงเพียงนี้
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว โบกมือสั่งการว่า “พวกเจ้าส่วนหนึ่งกลับไป ตามจับรองแม่ทัพที่วางกำลังอยู่ตรงชัยภูมิกลับมาให้ใหม่”
พวกหน่วยกิเลนเมื่อได้ยินคำสั่งก็ก้าวออกมา เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง ให้ฆ่าตายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “จับได้ก็จับ หากจับไม่ได้ก็ฆ่าเสีย”
“ข้าน้อยรับบัญชา!” พวกเขาหน่วยกิเลน มีหรือที่จะปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ พวกเขากลุ่มนั้นจึงนึกหมายมั่นในใจว่า จะต้องจับตัวรองแม่ทัพที่ประจำการอยู่ตามจุดต่างๆ ตามทางกว่าสิบกว่าจุดกลับซีเป่ยไปให้ได้ ถึงแม้จะนึกผิดหวังที่ท่านอ๋องไม่สั่งให้จับตัวแม่ทัพเลยก็ตาม พูดว่ารองแม่ทัพฟังดูแล้วมิได้มีความยากแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งจือเหยาก็เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “ท่านอ๋อง พวกมันมิได้ตามพวกเรามาหรอกหรือ ดูท่าก็ยังพอรู้เรื่องอยู่บ้างนะ”
ม่อจิ่งฉีไม่มีทางส่งนักฆ่ากลุ่มเดียวมาจัดการพวกเขาแล้วก็แล้วกันไป ตลอดทางมานี้พวกเขาก็มิได้กลบเกลื่อนร่องรอยการเดินทาง สิ่งเดียวที่พออธิบายได้นั่นก็คือ ผู้บัญชาการทหารที่ประจำการอยู่ตามเมืองต่างๆ เหล่านั้น ต่อหน้าทำเป็นรับราชโองการแต่ลับหลังกลับไม่ทำ และไม่คิดที่จะไล่ตามพวกเขา
มุมปากม่อซิวเหยายกขึ้นทำองศาเพียงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเย็นว่า “ปล่อยให้ข้ารอเก้อ ก็ต้องชดใช้”
เฟิ่งจือเหยาอดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายแล้ว ม่อจิ่งฉีก็ทำให้ท่านอ๋องโกรธจนได้กระมัง คิดไปคิดมาแล้ว หากมีข่าวว่าจู่ๆ รองแม่ทัพถูกจับตัวหายไปถูกส่งไปถึงเมืองหลวงของต้าฉู่แล้ว ม่อจิ่งฉีจะมีสีหน้าเช่นไร แค่เพียงคิดเฟิ่งจือเหยาก็อารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว หากสามารถจับตัวรองแม่ทัพไปได้ ก็สามารถจับตัวแม่ทัพได้เช่นกัน เชื่อว่ายามที่เขาเดินทางกลับจากหนานจ้าว การเดินทางจะต้องราบรื่นไปตลอดทางอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋อง ข้างหน้าก็คือด่านซุ่ยเสวี่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านว่าแม่ทัพมู่หรงจะ…”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “แม่ทัพมู่หรงเป็นคนตรงไปตรงมา ม่อจิ่งฉีไม่มีทางมีราชโองการเช่นนั้นถึงเขาอย่างแน่นอน ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย ถึงแม้จะมีคนของม่อจิ่งฉี แต่หากคิดอยากสั่งเคลื่อนพลโดยพลการ คงมิใช่เรื่องง่าย”
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “พูดเช่นนั้นก็ถูก”
ม่อซิวเหยาก้มลงไปเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “พวกเราพักผ่อนกันที่หย่งหลินหนึ่งวัน แล้ววันมะรืนค่อยข้ามด่านดีหรือไม่”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ท่านตัดสินใจก็แล้วกัน พี่ใหญ่ก็น่าจะรอพวกเราอยู่ที่หย่งหลิน”
เมื่อเห็นเมืองอยู่ข้างหน้าในระยะสายตาแล้ว ก็อดถอนใจด้วยความเสียใจไม่ได้ เพียงแค่ชั่วพริบตา วันเวลาก็ผ่านมาถึงห้าหกปีแล้ว เมื่อหกปีก่อนนางยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปกป้องเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไว้ให้ได้ แต่ในยามนี้ เมืองแห่งนี้กลับดูจะไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับพวกนางอีก